วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

ทำไงเมื่อเป็นสิว 9 เทคนิค เพื่อหน้าใสไร้รอยสิว

ทำไงเมื่อเป็นสิว 9 เทคนิค เพื่อหน้าใสไร้รอยสิว
เมื่อสิวบนใบหน้าหายไป สิ่งที่ทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า ที่ยิ่งดูแล้วยิ่งช้ำใจก็คือรอยแผลหรือจุดด่างดำจากสิวนั่นเอง จะทำอย่างไรเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดจุดด่างดำจากสิวเหล่านี้ได้ ลองมาดูกันค่ะ

1. ล้างหน้าให้สะอาด

ในวันหนึ่ง ๆ เราควรล้างหน้าให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือตอนเช้าและตอนเย็น โดยเฉพาะในเวลาเย็นยิ่งต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ เพราะบนใบหน้ามีทั้งเครื่องสำอาง คราบเหงื่อไคล รวมทั้งฝุ่นละอองจากมลภาวะต่าง ๆ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้คลีนซิ่งเพื่อล้างสิ่งเหล่านี้ออกให้หมด โดยเลือกใช้คลีนซิ่งที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ เช็ดด้วยสำลีจนไม่มีคราบหลงเหลือให้เห็น แล้วจึงล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ซับหน้าให้สะอาด จากนั้นจึงทาครีมบำรุงผิวหน้า รวมผลิตภัณฑ์รักษาสิวและลดรอยด่างดำที่คุณใช้อยู่

2. หลบแดด

หลบเลี่ยงการเผชิญกับแดดจ้าหรืออยู่กลางแดดเป็นเวลานาน เพราะรังสียูวีในแสงแดดนอกจากจะทำให้ผิวแห้ง และระคายเคืองจากการอาการแพ้แดดแล้ว ยังทำให้ผิวคล้ำเสีย ซึ่งทำให้รอยแผลและจุดด่างดำดูเข้มขึ้นกว่าเดิมด้วย

3. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว ซึ่งนำมาสู่การเกิดแผลและรอยด่างดำเมื่อสิวหาย

เมื่อรอยแผลที่ไม่พึงปรารถนา มีที่มาจากการเกิดสิว การป้องกันตั้งแต่สาเหตุแรกเริ่มน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด โดยทำได้ตามวิธีเหล่านี้

สระผมให้สะอาด เป็นประจำ เพื่อไม่ให้เป็นที่หมักหมมของน้ำมันจากหนังศีรษะ รวมถึงฝุ่นละอองและมลภาวะต่าง ๆ รวมทั้งไม่ปล่อยให้ผมตกลงมาระใบหน้า ซึ่งจะนำพาให้เกิดสิวได้

ไม่แต่งหน้ามากจนเกินไป เนื่องจากเครื่องสำอางต่าง ๆ จะเคลือบปิดรูขุมขนทำให้ผิวหน้าหายใจไม่ออก รวมถึงพยายามเลือกใช้เครื่องสำอางที่เป็นสูตรอ่อนโยน หรือที่มีส่วนผสมมาจากธรรมชาติซึ่งจะเป็นมิตรกับผิวหน้ามากกว่า

4. รักษาสิวทันทีที่ผุดขึ้นบนใบหน้า

การรักษาสิวทันทีที่รู้สึกว่ามันกำลังจะผุดขึ้นบนใบหน้า เป็นอีกวิธีที่จะหลบเลี่ยงรอยแผลจากสิวได้ ยิ่งไหวตัวรักษาสิวเร็วเท่าไหร่ โอกาสจะมีรอยด่างดำจากสิวก็น้อยลงเท่านั้น

5. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้สิวอักเสบ

เมื่อสิวอักเสบ เป็นหนอง สิ่งที่ตามมาแน่นอนเมื่อสิวหายก็คือรอยแผล เพราะฉะนั้นหากสามารถทำให้อาการอักเสบทุเลาลงได้โดยเร็วก็จะยิ่งดี ซึ่งทำได้โดย

การรับประทานอาหารที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์อย่างวิตามินเอ ซี และ อี ซึ่งวิตามินเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของผิวหนังได้

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าที่เป็นเนื้อเจลแทนเนื้อครีม จะเหมาะกับผิวที่กำลังมีสิวอักเสบ เนื่องไม่เพิ่มความมันของผิวหน้า รวมถึงการมากส์หน้าด้วยโคลนก็ช่วยดูดซับความมันส่วนเกินได้ดีเช่นกัน

หลีกเลี่ยงการโกนหากผิวบริเวณนั้นเป็นสิว หรือถ้าจำเป็นต้องโกนจริง ๆ หลีกเลี่ยงการลากใบมีดไปโดยบริเวณที่เป็นสิว และเปลี่ยนใบมีดใหม่ก่อนทำการโกน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการอักเสบ ติดเชื้อ ที่อาจเกิดขึ้นได้

6. ไม่บีบสิว

ไม่บีบ หรือเค้น แคะ แกะ เกา บริเวณที่เป็นสิวเด็ดขาด เพราะยิ่งบีบยิ่งสัมผัสก็ยิ่งทำให้แบคทีเรียกระจายออกไป แถมยังเปิดรูขุมขนให้สัมผัสสิ่งสกปรกได้ง่ายขึ้น รวมทั้งยิ่งบีบยิ่งเค้นก็จะทำให้ผิวช้ำ และรอยแผลเป็นก็จะตามมานั่นเอง

7. ดูแลผิวหน้าเป็นพิเศษหากผิวเสี่ยงที่จะเป็นแผลเป็นง่าย

บางคนเมื่อเป็นแผลแล้วจะหายช้ากว่าคนทั่วไป แถมยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นแผลเป็นได้ง่ายด้วย สิ่งเหล่านี้นอกจากจะขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์แล้ว ยังขึ้นอยู่กับสภาพผิวและช่วงวัย หากคุณรู้ว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นแผลเป็นได้ง่าย ก็ยิ่งต้องดูแลผิวตัวเองให้มากเป็นพิเศษ

8. เลือกใช้ชีวิตแบบสุขภาพดี

การเลือกใช้ไลฟ์สไตล์แบบสุขภาพดี ไม่ว่าจะทานอาหารมีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ รวมถึงออกกำลังกาย จะช่วยป้องกันการเกิดสิว การอักเสบ รวมถึงโอกาสที่จะเกิดรอยแผลจากสิวได้ การเลือกรับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูง จะช่วยลดความรุนของอาการผิวหนังอักเสบ รวมถึงสิวอักเสบ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะทำให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมเซลส่วนที่เสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้รอยแผลจากสิวค่อย ๆ จางลงได้ ส่วนการออกกำลังกายต่าง ๆ เช่นการเล่นโยคะ ก็จะทำให้เลือดสูบฉีดทั่วร่างรวมถึงบริเวณใบหน้า ซึ่งจะช่วยขับของเสียออกจากรูขุมขน และทำให้ผิวสามารถดูดซับรับสารอาหารที่มีประโยชน์ได้ดีขึ้นนั่นเอง

9. พบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษา

หากลองทำมาหลายวิธีแล้ว ยังไม่ได้ผลที่น่าพอใจ ควรเข้าปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ และจะได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้อย่าลืมทำตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด เพื่อให้รอยแผลและจุดด่างดำจากสิว จางลงโดยเร็วค่ะ

ได้รู้วิธีการรับมือและป้องกันรอยแผลและจุดด่างดำจากสิวแล้ว อย่าลืมนำไปใช้เพื่อผิวหน้าเนียนใสของคุณนะคะ :)
ข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น