วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อ่านละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 1(ต่อ) วันที่ 22 มิ.ย. 55

ณ แปลงทดลองปลูกข้าวโพดขนาดใหญ่ที่ปากช่อง...อาทิตย์สาดแสงอ่อนๆ ไล้ยอดข้าวโพดที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมเหมือนคลื่นน้อยๆ โลดไล่กันไปในทะเลสีเขียว

นักเรียนเกษตรประมาณ 20 คน กำลังกระจายกันไปตามไร่ข้าวโพดที่กำลังออกฝัก ทุกคนขะมักเขม้นกับการเก็บข้อมูล จดรายงานการเจริญเติบโตของต้นข้าวโพด ต่างยังจดจำคำให้โอวาทของอธิการบดีในวันรับประกาศนียบัตรได้ขึ้นใจ

“อาจารย์ มีความยินดีกับนักเรียนเกษตรฯทุกคนที่จบการศึกษาในวันนี้ หลังจากที่บากบั่นพากเพียรกันมากว่า 5 ปี อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักเรียนทุกคน จะได้นำวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวมาเป็นเครื่องเตือนใจว่า...”

อาจารย์หยุดนิดหนึ่งก่อนอัญเชิญพระราชดำรัสว่า

“ปัญญา นั้นมีอยู่ 2 ลักษณะ คือปัญญาที่เกิดจากการเล่าเรียนจดจำอย่างหนึ่ง กับปัญญาที่เกิดจากการศึกษา สังเกตและพิจารณาจนรู้ชัดอย่างหนึ่ง นักเรียนเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาดีแล้ว จึงต้องสังเกตและศึกษาให้มาก ไม่มองข้ามแม้สิ่งเล็กน้อย เพราะแม้แต่ต้นหญ้าก็สามารถนำมาเทียบเคียงให้เป็นประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต ได้”

สุดท้ายอาจารย์อวยพรแก่นักเรียนที่เรียนจบว่า “ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิต และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรให้แก่ประเทศชาติสืบไป”

ระหว่าง นักเรียนกำลังเก็บข้อมูลกันนั้น อาจารย์เดินมาที่ข้างหลังนักเรียนคนหนึ่งถามหาอาทิจ นักเรียนสองสามคนตรงนั้นช่วยกันถามหา มองหาและร้องเรียก “อาทิจ...อาทิจ...อาจารย์เรียก”

ครู่เดียวต้นข้าวโพดก็ไหวยวบเปิดเป็นทางเพราะอาทิจแหวกออกมา เขารีบวิ่งเข้าไปหาอาจารย์ถามอย่างกระตือรือร้น

“อาจารย์มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”

“พรุ่ง นี้อาจารย์จะขึ้นไปสัมมนาที่พิพิธภัณฑ์โรงงานที่ฝาง เธอสนใจจะไปศึกษางานกับอาจารย์ไหม อาจารย์บอกเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่า อาจจะมีนักเรียนที่ได้ทุนเรียนดีขึ้นไปดูงานด้วย 3 คน หรือว่าจะกลับไปบ้านเลย”

“ไปสิครับ ผมอยากไป” อาทิจรีบบอกอย่างตื่นเต้นดีใจ

“ดีแล้ว ไปดูงานที่ในหลวงท่านทรงไว้ จะได้นำ ความรู้ไปใช้ให้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง”

“ครับ...ขอบคุณมากครับอาจารย์” อาทิจยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อาจารย์ยิ้มตบบ่าเขาเบา ก่อนเดินออกไป

อาทิจหันมาสบตากับเพื่อนๆพากันตะโกน “เย้ๆๆๆ” กระโดดโลดเต้น โยนสมุดรายงานในมือขึ้นฟ้ากันอย่างร่าเริง...

ooooooo

รุ่ง ขึ้น ที่หน้า “พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวง” ที่ฝาง อาทิจกับเพื่อนนักเรียนอีก 2 คน รวมทั้งนักท่องเที่ยวอีก 10 คน เดินตามเจ้าหน้าที่นำชมโครงการ เริ่มจากความหมายของตราสัญลักษณ์ของโรงงานและประวัติความเป็นมาของโรงงาน

อาทิจจดบันทึกอย่างสนใจมาก

ขณะนั้น มีรถกระบะขนส้มคันหนึ่งแล่นเข้ามาแบบกระตุกๆ พุ่งผ่านหลังอาทิจไปจอดส่งของที่ข้างโรงงาน

ทันที ที่รถจอด ดรุณี สาววัย 17 ท่าทางทะมัดทะแมง กระโดดลงจากฝั่งที่นั่งคนขับ หยิบกระเป๋าสะพายเก๋ๆแบบชาวเขาจะวิ่งไป แต่นึกอะไรได้วิ่งกลับมาที่รถร้องเรียก “ลุงเกร็ง...ลุงเกร็งงงง...”

ลุง เกร็งค่อยๆลืมตาขึ้นถามทั้งที่ยังนั่งเกร็งอยู่เพราะหวาดเสียวกับการขับรถ ของดรุณี ถอนใจโล่งอกเมื่อรู้ว่าถึงที่หมายรอดปลอดภัยแล้ว ดรุณีบอกลุงเกร็งให้ช่วยจัดเจ้าหน้าที่เอาส้มลง ตนจะไปชมพิพิธภัณฑ์หน่อย ว่าแล้ววิ่งตื๋อไปเลย

ooooooo

ดรุณีจ้ำอ้าวไปที่ลานกิจกรรมแต่ไม่เห็นใครแล้ว รีบเดินเข้าไปด้านใน เห็นเจ้าหน้าที่กำลังเชิญทุกคนไปชมอีกห้องหนึ่ง เธอรีบตามไป

เจ้า หน้าที่นำนักเรียนและนักท่องเที่ยวเข้าไปในห้องที่แสดงชีวิตชายขอบ เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนนั่ง อาทิจกับเพื่อนๆเลือกมานั่งที่แถวหน้าประสาคนรักเรียนใฝ่รู้ อาทิจนั่งกลางเพื่อนทั้งสองนั่งขนาบ

ดรุณีเดินเข้ามา พอดีอาทิจเอาปากกาออกมาเตรียมจดปรากฏว่าเขียนไม่ออก หันไปถามเพื่อนว่ามีปากกาอีกด้ามไหมขอยืมหน่อย เพื่อนควานหาปากกาในกระเป๋า ทำให้ปากกาตัวเองหล่นกลิ้งไปเลยลุกไปหยิบ

ดรุณีเห็นมีที่ว่างจึงเข้า ไปนั่งแทน อาทิจเหล่ๆเห็นปากกาในมือดรุณีนึกว่าเพื่อนส่งให้ยืม เอ่ยขอบใจแล้วหยิบปากกาไป พลางหันไปคุยกับเพื่อนอีกคน

เจ้าหน้าที่ปิดไฟในห้องเพื่อให้ทุกคนได้ชมวีดิทัศน์ เพื่อนคนนั้นที่ลุกไปหยิบปากกาเลยหาที่นั่งใหม่เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิคนอื่น

ดรุณี ดูสารคดีอย่างตั้งใจ จนจบไฟเปิดสว่าง เธอหันไปมองอาทิจที่เอาปากกาตนไป อาทิจรู้สึกมีคนมองอยู่จึงหันมายิ้มให้อย่างมีไมตรีไม่เฉลียวใจสักนิดว่าตน หยิบปากกาใครมา ดรุณีกำลังจะเอ่ยปากทวงปากกา ก็พอดีเจ้าหน้าที่เชิญไปพบกับคำตอบที่อยู่อีกห้องหนึ่ง

อาทิจลุกตามเจ้าหน้าที่ไป ดรุณีมองเคืองๆ บ่นตามหลัง “เอาของเขาไปแล้วยังจะมายิ้มให้อีก” พลางจ้ำตามไป
พอเข้าไปในห้องภาพเฉลย เจ้าหน้าที่เฉลยว่า “ผู้ที่มากับเฮลิคอปเตอร์นั้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

จาก นั้นเชิญไปยังห้องโรงงานชั่วคราว ระหว่างนั้นเพื่อนนักเรียนกระซิบบอกอาทิจว่าผู้หญิงคนนั้นแอบมองเขาบ่อยๆ อีกคนบอกว่าไม่ใช่แอบมองเท่านั้นยังแอบเดินตามด้วย

อึดใจเดียว ดรุณีก็ทนไม่ได้เดินเข้าใกล้อาทิจร้องบอก “เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป” เพื่อนทั้งสองนึกว่าอาทิจเจอดีแน่แล้วต่างบอกว่าจะไปรอข้างนอกแล้วเลี่ยงไป เหมือนเปิดโอกาสให้เพื่อน ดรุณีเดินเข้าไปหาอาทิจบอกเขาว่า

“ช่วยเอาปากกาที่นายถือวิสาสะดึงจากมือฉันไปคืนมาด้วย”

อาทิ จทำหน้าเหวอๆ พอนึกได้ก็รีบขอโทษและส่งปากกาคืนให้บอกว่านึกว่าของเพื่อนตน ดรุณีถามอย่างไม่ยอมให้แก้ตัวง่ายๆ ว่าตนนั่งอยู่ข้างเขาแล้วจะนึกว่าเป็นเพื่อนได้ยังไง อาทิจตอบอย่างไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดว่า

“คือ...ก็...เพื่อนผมเขานั่งตรงที่ที่คุณนั่งก่อน... เออ...เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกันครับ”

“ทีหลังจะทำอะไรก็หัดดูตาม้าตาเรือซะบ้าง” ว่าแล้วก็สะบัดพรืดไป อาทิจมองตาปรอยพึมพำอ่อยๆ

“แค่ปากกานี้เนี่ยนะ?...”

ooooooo

เมื่อเข้ามาในห้องโรงงานชั่วคราว เจ้าหน้าที่เล่าถึงระยะแรกของการทำอาหารกระป๋องในโรงงานชั่วคราวประกอบภาพสไลด์มัลติวิชั่น

ดรุณี สนใจการทำอาหารกระป๋อง จึงเดินแทรกเข้าไปยืนด้านหน้าสุดข้างๆเพื่อนอาทิจ เธอมีสมาธิในการศึกษามาก ก้มๆเงยๆจดๆดูๆภาพเงาและฟังเสียงบรรยาย

นัก ท่องเที่ยวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่าอยากเห็นเครื่องกระป๋องที่แปรรูป เจ้าหน้าที่จึงเชิญไปยังห้องที่มีจำหน่ายและให้ชิม นักท่องเที่ยวทยอยกันเดินตามเจ้าหน้าที่ไป

อาทิจศึกษาอย่างสนใจ ตามองที่ภาพปากพูดกับเพื่อนว่าเทคนิคน่าสนใจดี ดูแล้วเข้าใจง่าย เพื่อนคนหนึ่งทำเสียงอือเห็นด้วย แล้วเดินตามเจ้าหน้าที่ไปกับเพื่อนอีกคน อาทิจนึกว่าเพื่อนยังอยู่ เขาคุยไปเรื่อย ดรุณียืนอยู่ติดกันเหล่มองด่าด้วยสายตาทำนองว่า “อีตาบ้านี่อีกละ” แล้วจะผละไป

พลันเธอก็ชะงักกึกยืนตัวแข็งทื่อเมื่อถูกอาทิจรั้งไว้ แล้วเอามือโอบไหล่บอกว่าอย่าเพิ่งไป ชวนดูภาพที่ฉายต่อ ดรุณีกัดฟันกรอด อาทิจเห็นเงียบไปเลยหันมอง เขาผงะยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ตนโอบไหล่อยู่เป็นใคร เขารีบขอโทษบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ นึกว่าเพื่อน ว่าแล้วก็รีบจ้ำอ้าวไป ทั้งอายทั้งกลัวโดนด่า

ดรุณีโกรธจนอยากจะกรี๊ดให้ลั่นห้องแต่ไม่กล้า เลยได้แต่ยืนสูดลมหายใจลึกๆ ลึกๆ สะกดอารมณ์เต็มที่
ooooooo
ที่สวนส้มเนื้อที่กว้างขวางของย่าแดง ที่ทุกคนเรียกท่านว่าคุณย่า ปกติจะเงียบสงบเพราะแถวนั้นคนงานอยู่ประมาณ 20 คน ทุกคนทำงานขยันขันแข็ง แต่วันนี้มีเสียงแผดกรี๊ดดดด เสียงแหลมแหวกอากาศไปทั่วสวนส้ม
พวกคนงานพากันวิ่งมาดูว่าเกิดอะไร ขึ้น พอมาถึงเห็นน้าแก้ววัย 60 เศษ ญาติห่างๆของคุณย่าที่มาดูแลคุณย่า จึงเป็นทั้งญาติและคนคอยรับใช้คุณย่า ยืนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอยู่ ใกล้ๆนั้นดรุณีที่เพิ่งแผดเสียงกรี๊ดจนคนงานแตกตื่น ยืนทำหน้าง้ำ พวกคนงานพากันโล่งอก
“หนูโมโหจริงๆนะคะ น้าแก้วขำอะไร”
“ก็น้าแก้วกำลังสงสัยน่ะสิคะว่า คุณณีโดนพ่อหนุ่มคนนั้นโอบไหล่เฉยๆ หรือว่าโดนจุ๊บมากันแน่ ถึงได้กรี๊ดลั่นสวนยาว 3 รอบอย่างนี้”
ดรุณี ทำฮึดฮัดบอกว่าก็ลองดูสิ ตนจะได้ชกให้ บ่นว่าผู้ชายอะไรซุ่มซ่ามบ้ากาม ถ้าไม่คิดว่าเป็นสถานที่ที่ต้องเคารพ จะโวยแล้วอัดเสียให้จุกไปเลย
“เขา คงไม่ได้ตั้งใจหรอกแม่ณี สถานที่ศึกษาหา ความรู้อย่างนั้น คงไม่มีใครคิดจะเข้าไปทำอะไรไม่ดีไม่งาม หรอกน่า” ย่าแดงที่กำลังตัดแต่งกิ่งส้มอยู่ติง แล้วไล่พวกคนงานให้ไปทำงานเสีย หันมาบอกดรุณีว่า “เราก็เหมือนกัน จะมายืนอารมณ์เสียอยู่ทำไม มาช่วยย่าแต่งกิ่งส้มนี่ เดี๋ยวก็อารมณ์ดีขึ้นเอง ได้ประโยชน์ด้วย”
ดรุณีจำต้องหันไปหยิบกรรไกรตัดแต่งกิ่งส้ม งับกรรไกรฉับๆๆ บ่นลอดไรฟัน
“อย่างนี้มันโรคจิตชัดๆ เป็นพวกขาดความรักแหงๆ”
ooooooo
ที่ บ้านพักนายประวิทย์ ปลัดอำเภอ พ่อของอาทิจ ชายหนุ่มก้าวเข้ามา เห็นนิตยาและภาณี น้องสาวสองคนกำลังพาน้องๆรดน้ำต้นไม้และพรวนดินที่แปลงพืชผักสวนครัวอยู่ หน้าบ้าน นิตยาเหลือบเห็นอาทิจก็ร้องออกมาอย่างดีใจสุดๆ
“พี่อาทิจ!!”
สิ้น เสียงนิตยา น้องๆก็วิ่งกรูกันมาห้อมล้อมอาทิจเป็นพรวน เพราะเขาเป็นพี่คนโตและมีน้องๆอีกถึง 9 คน ภาณีวิ่งไปบอกพ่อกับแม่ว่าอาทิจกลับมาแล้ว ส่วนอาทิจ ยังถูกน้องๆมะรุมมะตุ้มจับแขนกอดขา ดึงเสื้ออยู่ที่หน้าบ้าน
อาทิจกอดและโอบน้องๆไว้บอกว่า “พี่คิดถึงทุกคนที่สุดเลยรู้ไหม”
ประ วิทย์และพูนทรัพย์ผู้เป็นแม่เดินอ้าวออกมาโดยพูนทรัพย์อุ้มลูกวัย 8 เดือน น้องคนเล็กของอาทิจ ออกมาด้วย ทุกคนดีใจมากกับการเรียนจบและกลับมาของเขา บรรยากาศอบอุ่นเปี่ยมด้วยความรักของคนในครอบครัว
อาทิจบอกพ่อว่าที่ จริงตนอยากเรียกต่ออีกสักสองปีจะได้รับปริญญา แต่สงสารนิตยากับภาณีที่เสียสละหยุดเรียนเพื่อให้ตนได้เรียน เลยเปลี่ยนใจมาหางานทำเพื่อส่งน้องๆเรียนดีกว่า
พูนทรัพย์ถามว่าเขา อยากทำอะไร อาทิจบอกว่าอยากเป็นชาวไร่ชาวนาเป็นเกษตรกร พูนทรัพย์ติงว่าทุนรอนเราไม่มี ที่ดินสักกระแบะมือก็ไม่มี จะทำได้อย่างไร ประวิทย์ตัดบทว่า ตำแหน่งเกษตรอำเภอที่นี่ว่างอยู่ พรุ่งนี้จะลองคุยกับนายอำเภอดู ตนปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริตมานาน ท่านต้องเห็นใจและเมตตาแน่ๆ
การพูดคุยยุติลงทั้งที่อาทิจไม่อยากทำงานที่พ่อจะขอให้เลย
ooooooo
รุ่ง ขึ้น ขณะประวิทย์จะออกไปทำงาน พูนทรัพย์ จึงบอกให้อาทิจลองคุยกับพ่อดู เขาบอกพ่อว่าอาชีพรับราชการเงินเดือนคงไม่พอที่จะส่งน้องเรียน แต่ประวิทย์ชี้ให้เห็นว่าถึงเงินเดือนจะน้อยแต่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และสวัสดิการ
เมื่ออาทิจชี้แจงเหตุผลและความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อประเทศชาติ ทำให้เขาอยากเป็นเกษตรกรให้พ่อฟังแล้ว ประวิทย์ตัดบทว่า
“อย่า เพิ่งฝันล้มๆแล้งๆกับอุดมคติที่ยังจับต้องไม่ได้ สิ่งที่ลูกเรียนมามันยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของความยากลำบากที่ต้องเผชิญในความ เป็นจริง ลูกยังไม่เคยเจอสภาพ ไม่เคยรับรู้ว่าการเกิดมาเป็นชาวนาจริงๆมันทุกข์ยากขนาดไหน...พ่อบอกได้เลย ว่า มันไม่น่าพิสมัยนักหรอก” น้ำเสียงประวิทย์ขมขื่นจนอาทิจแปลกใจ
แต่ เมื่อประวิทย์ไปคุยกับนายอำเภอด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่จะฝากลูกชายเข้า เป็นเกษตรอำเภอ ซึ่งนายอำเภอก็ยินดีที่เด็กรุ่นใหม่สนใจการเกษตร แต่พอประวิทย์ถามว่าจะเริ่มงานได้วันไหนดี นายอำเภอบอกว่าเริ่มได้ทันทีถ้าหาเงิน 3 แสนมาได้ ทั้งยังขู่ๆว่ารีบๆหน่อยก็แล้วกันเพราะคนที่มาฝากลูกหลานมีหลายคน
ประวิทย์ที่หน้าตาแจ่มใสเปี่ยมด้วยความหวังในตอนแรก บัดนี้ ห่อเหี่ยวหมองคล้ำไปในพริบตา...
ความรู้สึกเสียใจผิดหวังกับข้าราชการบางคนที่กินนอกกินในกินใต้โต๊ะ ทำให้ประวิทย์ไม่คาดหวังงานราชการกับอาทิจอีก บอกลูกว่า
“พ่อ ว่าบางทีลูกอาจจะคิดถูก เรื่องที่ลูกอยากทำไร่ทำนา บางทีความเหนื่อยยากแต่เป็นอิสรเสรีอาจจะทำให้ลูกมีความสุขมากกว่าต้องมาทน กับระบบพวกพ้องและการประจบเอาหน้าแบบข้าราชการก็ได้”
อาทิจดีใจมาก เขาบอกพ่อว่าจะไปทำงานอย่างอื่นก่อนเก็บเงินมาซื้อที่สักแปลงค่อยผันตัวเองมาเป็นเกษตรกร
พูนทรัพย์ถามว่าจะไปเช่าที่เขาทำหรือ หาได้เท่าไรก็ไปจมอยู่กับค่าเช่าหมด
“มัน อาจจะไม่ยากเย็นขนาดนั้นก็ได้แม่ พ่อพอมีหนทาง ว่าแต่...ลูกจะทนลำบากกับงานในไร่ในสวนได้แน่เหรอ” เมื่ออาทิจยืนยันถึงความอดทนใน 5 ปีที่เรียนมา ประวิทย์ตัดสินใจบอกลูกว่า “ดี...ถ้าลูกตั้งใจและมั่นใจอย่างนั้น พ่อก็จะเขียนจดหมายส่งตัวลูกไปทำไร่ทำสวนกับคุณย่า”
“คุณย่า...คุณย่าไหนครับ” อาทิจถามงงๆ เพราะนับแต่เกิดมาจนอายุ 20 เขายังไม่เคยรับรู้ว่าตนมีคุณย่าเลย
พวกน้องๆก็พากันงงไม่น้อยกว่าเขา ส่วนพูนทรัพย์ ละมือจากทำขนม มองหน้าประวิทย์อย่างแปลกใจแกมหนักใจ
ประวิทย์นิ่ง...เงียบ...แต่ในแววตาเขาแฝงไว้ด้วยความสำนึกผิดและขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด
ooooooo
ที่ บ้านคุณย่า คืนนี้คุณย่าออกมานั่งดื่มนมอุ่นๆที่ระเบียง ดรุณีมานั่งดื่มเป็นเพื่อน คุณย่าถามว่าคิดหรือยังว่าจะทำอะไร ดรุณีบอกว่าทีแรกคิดจะสอบเข้าคณะเกษตรจะได้มาช่วยคุณย่าดูแลสวน แต่วันก่อนไปดูงานที่พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงแล้วเลยลังเล อยากทำอาหารกระป๋องแปรรูป จะได้เอาผักผลไม้ที่เหลือจากคัดไปขายมาแปรรูป ถามคุณย่าว่าดีไหม
คุณย่าเห็นด้วยเพราะงานสวนงานไร่หนักเกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ ดรุณีอ้อนว่าทีคุณย่ายังทำคนเดียวมาได้ตั้งนาน
“ย่าทำมาตั้งแต่ยังสาว ตั้งแต่ที่ดินมีแค่กระผีก มันก็เลยชิน แต่ตอนนี้ที่ดินขยายขึ้นเป็นพันไร่ ย่าว่ามันหนักหนาเกินไปสำหรับหนู”
“ถึง จะหนักแสนหนักแค่ไหน หนูก็จะสู้ค่ะ ถ้าไม่มีใครที่คุณย่าพอจะไว้ใจและวางมือให้รับหน้าที่แทนได้ หนูจะขอรับหน้าที่ทุกอย่างแทนคุณย่าเองค่ะ” ดรุณีฉอเลาะ จนน้าแก้วที่มาเก็บแก้วนมได้ยินก็อดขัดคอไม่ได้ว่า
“แต่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนนะค้า...”
“มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะน้าแก้ว” ตอบน้าแก้วแล้วกอดแขนคุณย่าอ้อน จนคุณย่ากอดไว้อย่างชื่นใจ
ooooooo
สาม วันต่อมา คุณย่าก็ได้รับจดหมายจากประ-วิทย์ คุณย่าให้ดรุณีอ่านให้ฟัง โดยมีน้าแก้วที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง นั่งเช็ดแก้วอยู่ใกล้ๆ เงี่ยหูฟังอยู่ด้วย
“...สุดท้ายนี้ ผมกราบขอโทษในความผิดร้ายแรงของผมที่ผ่านมา ผมหวังว่า คุณแม่จะให้อภัยผม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณแม่จะเมตตาอาทิจ และรับอาทิจเข้าทำงานที่สวนของคุณแม่นะครับ...พวกเราจะรอความเมตตาและรอฟัง ข่าวดีจากคุณแม่ครับ...ประวิทย์”
อ่านจดหมายแล้วดรุณีถามคุณย่าว่าประวิทย์ไหนหรือ ทำไมตนไม่เคยได้ยินคุณย่าพูดถึง...เอ่อ...คุณลุงคนนี้มาก่อนเลย
“เขา เป็นลูกคนโตของย่า ย่าหวังจะพึ่งเขาให้ช่วยสานต่องานในไร่ เขากลับทำให้ย่าเสียใจด้วยการหนีออกจากบ้าน แถมยังขโมยเงินที่ย่าเพิ่งได้จากการขายข้าวไปด้วย ตอนนั้นย่าจนแสนจน เงินนั่นย่าก็กะจะเอาไปจับจองที่นาไว้ให้เขาทำกินนั่นแหละ”

 ขอขอบคุณจาก thairath.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น