วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครชิงนาง ตอนที่ 1 (ต่อ) วันที่ 17 ก.ค. 55

 หากใครผ่านไปบริเวณท่าเรือสะพานปลาแห่งนั้น จะเห็นเรือประมงหลายลำจอดเรียงรายเกยหาดอยู่เป็นแถว ด้านข้างเรือทุกลำมีชื่อเขียนกำกับไว้ว่า ‘แสนสมุทร’ เป็นภาพที่ใครเห็นแล้วต่างซึมซับรับรู้ ถึงความยิ่งใหญ่และมั่งคั่งของตระกูลแสนสมุทรเป็นอย่างดี
      
       เช้าวันต่อมาที่คฤหาสถ์แสนสมุทร ตรงประตูทางเข้ามีป้ายชื่อติดไว้ว่า ‘แสนสมุทร’ บริเวณสนามหน้าบ้านกำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวถ่ายภาพหมู่ของครอบครัว ซึ่งเวียนมาบรรจบ ในวันคล้ายวันวันเกิดคุณย่าศรีเรือน หญิงชราวัยไม้ใกล้ฝั่งผู้เป็นประมุขแห่งแสนสมุทร
       เวลานั้นศรีเรือน นั่งอยู่ตรงกลาง โอบข้างด้วยหมออนุตลูกชายและศรีดารา ลูกสะใภ้ ด้านหลังเป็นชายหนุ่มสามคน สามบุคลิก
       หมออนุตดุพฤกษ์ พี่ชายคนโตของน้องชายทั้งสาม
       “ทำไมป่านนี้มันยังมาไม่ถึง แกดูแลน้องยังไง เรื่องแค่นี้ก็ต้องให้ผิดพลาด”
       พฤกษ์หน้าเจื่อน เมฆามองอย่างเห็นใจ
       ช่างภาพร้องบอก “พร้อมนะครับ”
       ศรีเรือนลุกพรวดขึ้นท่าทีไม่พอใจอย่างมาก “ฉันไม่ถ่าย!”
       ศรีดาราอึ้ง “คุณแม่คะ”
       ศรีเรือนกร้าว ยืนกราน “แสนสมุทรมีหลานชายสี่คน ถ้าไม่ครบตามนั้น ก็ไม่ต้องถ่าย!”
       ศรีเรือนโกรธปึงปังจะออกไป ศรีดารารีบตาม
      
       ระหว่างนั้นยินเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ดังขึ้น มอเตอร์ไซค์คันโตเลี้ยวเข้าเขตรั้วมาอย่างรวดเร็ว….ทุกคนชะงักมอง
       ภูผาลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อคออก
       “ขอโทษครับที่มาช้า”
       ภูผาเดินเข้ามายืนในตำแหน่งของตน ติดกับเมฆา
       อนุตเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ตอนนี้ครอบครัวแสนสมุทรก็พร้อมตาพร้อมตากันทุกคนแล้วนะ”
       “มาเถอะค่ะคุณแม่”
       ศรีดาราพาศรีเรือนกลับมาเข้าที่
       อรุณน้องเล็กยิ้มๆ แอบกระซิบทักภูผา
       “เส้นยาแดงผ่าแปดทุกทีสิน่า..พี่ผา!”
       ภูผายิ้มในแววตาให้อรุณ แต่เมฆาเชิดหน้าขึ้นทันที
       “พร้อมนะครับ หน้าตรงเลยครับ”
       ไม่มีใครทันสังเกตว่าใบหน้าภูผาที่กำลังมองจ้องมายังกล้อง ตรงไรผมที่หน้าผากของเขามีเลือดซึมๆ และกำลังจะไหลย้อยลงมา ชายหนุ่มประหวัดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
      
       ก่อนหน้านั้น ภูผาอยู่ที่ริมหาด ชายหนุ่มรูปงามถูกฟาดด้วยไม้ที่หน้าดังพลั่ก! จนหน้าหงายแหงน ปลายไม้คู่ต่อสู้เข้าที่หน้าผากพอดี มีเสียงเชียร์รอบๆ ชายหาดดังขึ้น…เป็นการดวลกันของภูผากับชายหนุ่มอีกคน จบลงที่ ภูผาวาดมาดเท่ในฐานะผู้ชนะ
       ภูผาดึงตัวเองกลับมายกมือขึ้นป้ายเลือดบนหน้าผากที่กำลังจะไหลย้อยลง มา….ทิ้งมือที่เปื้อนเลือดลงข้างตัว ไปโดนมือของพฤกษ์ที่ยืนอยู่ติดกัน และมีผ้าพันแผลพันไว้ มีรอยเลือดซึมออกมาเช่นกัน พฤกษ์นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าตรู่ที่ผ่านมา
       พฤกษ์ลงไปช่วยลูกเรือดึงอวนที่หนักอึ้งขึ้นเรืออย่างขันแข็ง ถูกอวนบาดมือจนเลือดไหลออกมาแต่เขาก็ไม่ยอมหยุดดึง
       ขณะเดียวกันที่ปลายแขนเสื้อของเมฆาก็มีรอยเลือดซึมอยู่หนึ่งหยด ชายหนุ่มนึกถึงที่มาของเลือดหยดนั้น
       เมฆาอยู่ในชุดเสื้อกราวน์สีขาวกำลังพยายามช่วยคนไข้ที่หอบหนักอยู่ ให้หายใจได้ เสียงลมหายใจเฮือกแรกหลุดออกมาได้สำเร็จพร้อมเลือดของคนไข้ที่พุ่งกระเด็นมา โดนปลายแขนเสื้อของเขาเข้า
       คนไข้รายนั้นไม่ใช่ แต่เป็นอรุณน้องชายคนเล็กที่กำลังพยายามหายใจรวยริน
      
       พี่น้องทั้งสี่ถ่ายรูปหมู่ เฉพาะพี่น้อง เห็นชัดว่าบุคลิกและแววตาของแต่ละคนแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
       ศรีดารามีสีหน้าปลื้มใจเกาะแขนอนุตยืนมอง
       “ถึงจะโตมาด้วยกัน เลี้ยงมาเหมือนๆ กัน แต่ก็ดูแตกต่างกันเหลือเกินนะคะ” ศรีดาราว่า
       “แตกต่างยังไงก็สายเลือดเดียวกันอยู่ดี”
       ศรีเรือนที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง มีสีหน้ากังวล
       “เลือดย่อมตัดเลือดไม่ขาด” หญิงชราพึมพำเบาๆ “เจ้าประคุณ ขออย่าให้คำทายเป็นจริงเลย” สีหน้าคุณย่าศรีเรือนเวลานี้ดูกังวลหนัก ครุ่นคิดไปถึงเรื่องในอดีต
      
       ตอนกลางวันของวันนั้น ศรีเรือนพนมมือแต้อยู่หน้าหลวงพ่อบนศาลา ในวัดแห่งหนึ่ง
       “ชีวิตหลานชายของโยมก็เหมือนเรือสี่ลำที่ล่องอยู่ในมหาสมุทร หากวันใดต้องเจอกับพายุใหญ่ ซัดโหมให้แตกไปคนละทิศละทาง ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้....มันถือเป็นชะตากรรม” หลวงพ่อปรารภ
       “หลวงพ่อพูดเหมือนกับว่าหลานชายอิฉันจะมีชะตากรรมที่ไม่ดี ต้องเจอกับปัญหาใหญ่อย่างงั้นแหละเจ้าค่ะ”
       หลวงพ่อกำชับ “เลี้ยงเขาให้ดี สอนให้เขาคิดดีทำดี ต่อให้พายุนั้นรุนแรงแค่ไหน พวกเขาก็จะผ่านพ้นไปได้”
       ศรีเรือนกลัดกลุ้มขึ้นมาทันที “แล้วพายุใหญ่ที่ว่า มันคืออะไรกันล่ะเจ้าคะ”
       หญิงชราถามอย่างร้อนใจ
      
       หญิงชราประมุขแห่งแสนสมุทรดึงตัวเองกลับมา จดสายตามองจ้องไปที่หลานชายทั้งสี่คน พยายามปลอบใจตัวเอง
      
       “เรือของแสนสมุทรแข็งแรงมั่นคง จะมีอะไรมาทำลายได้ก็ให้มันรู้ไปสิ”
 หลายวันผ่านไป ที่หน้าอาคารเรียนหลังหนึ่งในวิทยาลัยพยาบาล บรรดานักเรียนพยาบาลหลายคนเดินออกมาจากตึก ในกลุ่มนักเรียนพยาบาลคนหนึ่งนั้นคือ วงเดือน หญิงสาวแสนสวย เดินถือตำราเดินออกมาอย่างเร่งรีบ
      
       แต่วงเดือนต้องชะงักเมื่อมีมอเตอร์ไซค์คันโตขับเข้ามาปาดหน้า เป็นภูผานั่นเอง!!
       “คุณภูผา…”
       “สอบเสร็จแล้ว ไปฉลองกันหน่อยไหมเดือน” ภูผาเอ่ยขึ้น
       “ไม่ได้หรอกค่ะ เดือนต้องกลับไปช่วยเตรียมงานที่บ้าน”
       “อีกตั้งหลายวันกว่าจะถึงงานฉลอง 50 ปีแสนสมุทร เพราะฉะนั้น..วันนี้เธอต้องไปกับชั้น!!” ภูผาสั่ง
       วงเดือนอึกอักอิดออด “แต่ว่า...”
       ภูผาสั่งเข้ม “ขึ้นมา!”
       วงเดือนจำยอมขึ้นนั่ง “เราจะไปไหนคะ?”
       ภูผาบอกเป็นนัย “ไปย้อนอดีตกัน!!”
       ขาดคำภูผากระชากรถออกตัวอย่างรวดเร็ว จนวงเดือนต้องคว้ากอดภูผาไว้ไม่หล่น
       “ว๊าย!!”
      
       ริมทะเลแห่งนั้น เห็นดอกผักบุ้งทะเลอยู่ในมือเรียวสวยของวงเดือนเป็นกำ ด้านหลังหญิงสาวเป็นแสงทองระยิบระยับของทะเลยามบ่าย
       อรุณนั่งอยู่กับวงเดือนที่กำลังจัดช่อดอกไม้อยู่ ส่วนพฤกษ์และภูผากำลังช่วยกันผูกไม้เพื่อทำแพ เมฆาลากท่อนไม้มาสมทบเพิ่ม
       “ใครแพ้เป็นเจ้ามือเลี้ยงมื้อเย็น!” เมฆาบอก
       พฤกษ์เกทับ “อ้าว..อย่างนี้ก็ต้องชิงดำกันระหว่างแกกับพี่แล้วล่ะเมฆา เพราะตั้งแต่เด็ก..แข่งว่ายน้ำกันทีไร เจ้าผามันชนะตลอด”
       “แต่วันนี้เป็นพี่กับผมต่างหากที่ต้องวัดกัน” ภูผาบอก
       พฤกษ์งวยงงสงสัย
       เมฆาเฉลย “ผมสละสิทธิ์ไม่ลงแข่งครับ ไปจับมีดหมอเสียนาน จนไม่ชินกับน้ำทะเลซะแล้ว”
       ภูผาหันมาพูดกับพฤกษ์ “ก็เลยตกเป็นหน้าที่ลูกทะเลอย่างเรา!”
       พฤกษ์ยิ้มรับ อรุณตะโกนมาเสียงแจ้ว
       “โดยมีผมเป็นกองเชียร์!”
       วงเดือน แซวท่าทีน่ารัก “...เหมือนเดิม”
       ทั้งหมดพากันขำ อรุณเขินๆ
       อรุณตั้งท่าได้แซวคืน “เดือนก็ถือดอกไม้เป็นกรรมการอยู่ที่เส้นชัยเหมือนเดิมเหมือนกันนั่นแหละ” อรุณหันไปพูดกับพี่ๆ “แต่ใครแพ้เตรียมตัวเลยนะครับ เย็นนี้ผมจะกินกุ้งมังกรสัก 5 ตัว”
       ภูผา กับพฤกษ์ประสานเสียง “อะไรนะ” / “5ตัว?!!”
       เมฆาแกล้งดุ “ไม่ได้ คอเรสเตอรอลสูง”
       อรุณงอแงตามประสาน้องคนสุดท้อง บรรยากาศเฮฮาอบอุ่น จนวงเดือนอดยิ้มตามไม่ได้
      
       เวลาต่อมาพฤกษ์และภูผายืนถอดเสื้อเท่อยู่บนแพแล้ว
       พฤกษ์และภูผาตั้งท่ากระโจนลงทะเล ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่มุ่งมั่น โดยมีวงเดือนยืนถือดอกไม้เป็นเส้นชัยอยู่อีกแพหนึ่ง
       มองผ่านด้านหลังของเมฆาและอรุณ สองพี่น้องคุยกันอยู่
       “ผมอยากแข่งบ้างจัง” อรุณว่า
       เมฆากอดคอแซวน้องเล็ก “อยากได้ดอกไม้ในมือเดือนเหรอ?”
       เมฆาพูดโดยไม่คิดอะไร แต่ทำเอาอรุณหน้าแดงเพราะจี้ใจดำ
       ทางด้านคู่ฉลามหนุ่ม เมื่อเห็นวงเดือนยกช่อดอกไม้เป็นสัญญาณ การแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้น!
       พฤกษ์และภูผาพุ่งหลาวลงทะเล ทั้งคู่เร่งสปีดว่ายเต็มที่ ดูสูสีกันมาก
      
       ใต้แผ่นน้ำสองหนุ่มผลัดกันนำผลัดกันตาม เมื่อใกล้ถึงเส้นชัย..ภูผามีแรงปลาย แซงขึ้นหน้าพฤกษ์
      
       ขณะที่บนฝั่ง อรุณออกโรงเชียร์ไม่หยุด
       “เร็ว! พี่พฤกษ์ พี่ผาแซงแล้ว!!”
       ภูผาและพฤกษ์ปีนขึ้นแพเส้นชัยแทบจะพร้อมกัน ทั้งคู่พุ่งคว้าดอกไม้ในมือวงเดือนแทบจะพร้อมกัน แต่มือภูผาคว้าดอกไม้ได้ก่อน มือพฤกษ์คลาดไปเพียงเสี้ยววินาที!!
       ด้วยแรงของผู้ชาย จังหวะที่ภูผาคว้ามือวงเดือน จึงส่งให้ทั้งสองโจนหล่นลงไปในทะเล
       เมฆากับอรุณตกใจร้องพร้อมกัน “เดือน!!”
      
       ที่ใต้ผืนน้ำ ทั้งสองดิ่งลงในน้ำ วงเดือนตกใจแต่สักพักก็ตั้งสติได้ ภูผายื่นดอกไม้ในมือให้วงเดือน วงเดือนยิ้มๆ เอือมในความระห่ำของภูผา
       ภูผายัดดอกไม้ใส่มือวงเดือนจำใจรับไว้ก่อนว่ายขึ้นไปเหนือน้ำ
       รอยยิ้มของภูผาผุดพรายขึ้นบนใบหน้า ก่อนว่ายพุ่งตามขึ้นไป
      
       บนฝั่งเวลานั้น อรุณและเมฆาขยับตัวจะวิ่งลงไปดูเหตุการณ์ แต่ทั้งหมดก็โล่งใจเมื่อภูผาและวงเดือนโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
       ภูผาจับมือวงเดือนที่ถือดอกไม้ชูขึ้น ประกาศชัยชนะ!
      
       ครู่ต่อมาวงเดือนนั่งลงที่ตรงชายหาด ไอนิดๆ เพราะสำสักน้ำ ทั้ง 4 คนเข้ามาดูแลวงเดือน
       “เป็นอะไรหรือเปล่าเดือน” พฤกษ์ถามก่อนใคร
       “ไม่เป็นไรค่ะ”
       “กินน้ำทะเลไปตั้งหลายอึกยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก” อรุณว่าแล้วหันมาต่อว่าภูผา “พี่ผาเล่นอะไรเนี่ย”
       ภูผาตัดบท “พี่อยู่ทั้งคน พี่ไม่ยอมปล่อยให้เดือนเป็นอะไรไปแน่ๆ”
       ภูผาหันมองวงเดือน ขณะที่วงเดือนหลบตาไม่รู้จะทำหน้าไม่ถูก
       พฤกษ์มองวงเดือนด้วยความห่วงใย
       อรุณมองจับกิริยาวงเดือนและภูผา รู้สึกว่าทั้งคู่มีอะไรแปลกๆ และแอบอิจฉาอยู่ลึกๆ
       ส่วนเมฆาจับตามองทุกคน และค่อนข้างเดาออกว่าในใจแต่ละคนคิดอะไรอยู่
      
       ค่ำคืนของวันต่อมา บ้านแสนสมุทร ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟตระการตา รถยนต์หรูกำลังทยอยวิ่งเข้าสู่บ้านแสนสมุทรอย่างคึกคัก
       ห้องบริเวณห้องโถงใหญ่ของบ้าน เห็นภาพถ่ายสี่พี่น้องประดับอยู่กลางห้อง
       วันนี้เป็นงานเลี้ยงใหญ่ แขกเหรื่อทยอยกันเข้ามามอบกระเช้าของขวัญ มีอนุตรับรองแขกอยู่
       แขกชาวจีนเอ่ยคำอวยพร “ขอแสดงความยินดีที่ท่าเรือแสนสมุทรอยู่มาครบห้าสิบปี อั๊วขอให้แสนสมุทรอยู่คู่ทะเลคู่มหาสมุทรตลอดไป”
       “ขอบคุณครับ”
       อนุตยิ้มรับ ศรีดาราเดินเข้ามาหา
       “คุณคะ...”
       “งานจะเริ่มแล้ว ทำไมคุณแม่ยังไม่ลงมาอีก”
      
       “คุณแม่ให้มาเชิญคุณไปที่ห้องตารุณค่ะ” ศรีดาราบอก
 ศรีเรือนกำลังลูบเรือนผมอรุณด้วยความรักและเป็นห่วง อรุณหน้าซีดเผือดนอนอยู่บนเตียง เมฆากำลังเช็คอาการของอรุณ พฤกษ์ยืนอยู่ด้านหลังเมฆามองอรุณด้วยสายตาเป็นห่วงไม่แพ้กัน
      
       อนุตเปิดประตูเข้ามา
       อรุณร้องเรียก “คุณพ่อ…”
       ศรีเรือนหันมาบอกอนุต “คืนนี้อรุณคงลงไปร่วมงานไม่ได้”
       อนุตมองศรีเรือนนิดหนึ่งก่อนจะหันไปถามเมฆา
       “น้องเป็นยังไงบ้าง”
       “ไม่มีอาการหอบแล้วครับ แต่ยังมีไข้นิดหน่อย”
       อนุตพยักหน้ารับรู้ “งั้นก็นอนพักเถอะ”
       “แต่ผมอยากลงไปครับพ่อ ถ้าลูกชายหมออนุตต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงคุณพ่อกับคุณย่าก็ขายหน้าแขกแย่สิครับ”
       พฤกษ์ค้าน “อรุณ แต่พี่ว่า…”
       เมฆาจับแขนพฤกษ์ให้หยุด พฤกษ์ชะงัก
       “อรุณทานยาลดไข้ไปแล้ว เดี๋ยวคงดีขึ้นครับพี่พฤกษ์”
       สีหน้าพฤกษ์ยังห่วงอรุณไม่หาย
       ระหว่างนั้นวงเดือนถือถาดผ้าและชามอ่างน้ำเข้ามาเคาะที่ประตูเบาๆ ทุกคนหันไปมอง วงเดือนถือชามอ่างเข้ามาที่ข้างเตียง อรุณมองวงเดือนตาเป็นประกาย
       “เช็ดตัวก่อนนะคะคุณอรุณ”
       วงเดือนค่อยๆ ปลดกระดุมเม็ดบนของอรุณเพื่อจะเช็ดตัวลดไข้
       ศรีเรือนกระชากมือวงเดือนออกจากอรุณ และสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด
       “ออกไปได้แล้ว!!”
       ทุกคนชะงักตามน้ำเสียงของศรีเรือน เมฆาเห็นวงเดือนหน้าเสีย ก็รีบแก้สถานการณ์ หันไปพูดกับเดือน
       “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
       ศรีเรือนหันขวับมองวงเดือนอย่างรังเกียจ “อนุต ไปคุยกับแม่ที่ห้อง!”
       ศรีเรือนพูดจบก็เดินออกไปทันที
       อนุตพูดกับเมฆา “เดี๋ยวพาน้องลงไปในงานด้วยนะ”
       อนุตรีบตามศรีเรือนออกไป
       พฤกษ์ห่วงวงเดือน “เดือน...”
       วงเดือน ฝืนยิ้มให้ “เดือนขอตัวก่อนนะคะ”
       พฤกษ์กับอรุณมองตามวงเดือนที่หน้าเสียออกไปด้วยความเป็นห่วง
       เมฆามองอย่างชาชินที่เห็นศรีเรือนแสดงอาการรังเกียจวงเดือน
      
       วงเดือนกำลังจะเดินผ่านห้องศรีเรือน ยินเสียงศรีเรือนลอดออกมา
       “แกมันดื้อด้านที่รับนังเด็กนั่นเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้!”
       เสียงหมออนุตตอบกลับ “ผมรับวงเดือนมาอุปการะก็เพื่ออรุณ อรุณเป็นโรคปอดโดยกำเนิด
       ถ้าหมอไม่ถึง ยาไม่ถึง อาการของเขาก็มีแต่จะแย่ลงทุกวัน… แล้วที่ผมส่งให้วงเดือนเรียนพยาบาลเพื่อให้คอยอยู่ดูแลอรุณ”
       ศรีเรือนไม่พอใจมากขึ้น “แต่ดวงนังวงเดือนมันเป็นกาลกิณี มันจะทำให้ครอบครัวเราวิบัติ!!”
       สีหน้าวงเดือนที่ยืนตัวแข็งอยู่หน้าห้องรู้สึกสะเทือนใจ เรื่องราวในอดีตตอนเหยียบย่างเข้ามาในอาณาเขตแสนสมุทร ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง
      
       บ่ายวันนั้นอนุตกับศรีดาราพาวงเดือนวัย 8 ขวบ เข้ามา
       อนุตเอ่ยขึ้น “วงเดือน กราบคุณย่าสิ”
       เด็กหญิงก้มลงกราบแทบเท้าของศรีเรือน ....แต่ศรีเรือนชักเท้าอย่างรังเกียจ ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับหมออนุตและศรีดารา
       “สมใจแกแล้วใช่ไหมพ่อนักบุญ ถ้าวันไหนสายเลือดแสนสมุทรต้องวิบัติฉิบหาย ขอให้แกรู้ไว้เลยนะ ว่าต้นเหตุมาจากใคร!”
      
       สีหน้าเด็กหญิงตัวน้อยรู้สึกตกใจ มองไปเห็นสายตาศรีเรือนที่มองมายังตัวเองอย่างเกลียดชัง 
วงเดือนดึงตัวเองกลับมา น้ำตาคลอด้วยความน้อยใจที่ถูกรังเกียจตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน
      
       ขณะที่สองแม่ลูกยังคุยกันอยู่ภายในห้อง
       อนุตถอนหายใจไม่อยากเถียงด้วย “คุณแม่คงไม่ได้เรียกผมมาคุยเรื่องเดิมๆ แบบนี้เพียงเรื่องเดียวหรอกใช่ไหมครับ?”
       ที่หน้าห้อง วงเดือนรู้สึกว่าไม่เกี่ยวกับตัวเองแล้วจะไป ยินเสียงหญิงชราลอดออกมา
       “ถึงเวลาแล้วที่จะประกาศให้ทุกคนรู้ว่า ใครคือผู้สืบทอดกิจการรุ่นต่อไปของแสนสมุทร!”
       ศรีเรือนหันมามองอนุตด้วยสายตาทรงอำนาจ
       “ฉันจะยกให้ภูผา!”
       วงเดือนชะงักหันมองประตูห้อง
       “เราเคยคุยกันแล้วนะครับคุณแม่ ว่าพฤกษ์คือคนที่สมควรดูแลแสนสมุทรต่อไป” อนุตเน้นคำ “เพราะพฤกษ์เป็นลูกคนโต”
       ศรีเรือนสวนคำ “คนโตที่สุดอาจจะไม่ใช่คนที่มีความสามารถที่สุด!”
       อนุตนิ่งงัน เถียงไม่ออก
       ศรีเรือนอ่อนลง “ไม่ใช่ฉันไม่รักตาพฤกษ์ แต่ฉันสร้างแสนสมุทรขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ฉะนั้น..ฉันต้องมั่นใจว่าได้มอบมันให้กับคนที่คู่ควรจริง ๆ”
       อนุตทักท้วง “แต่คนใจร้อนอย่างภูผาจะบริหารลูกเรือเป็นร้อยคนได้ยังไงครับ ธุรกิจต้องใช้สติและเหตุผลมากกว่าอารมณ์!”
       “ถึงพฤกษ์จะมีเหตุผลแต่ก็ไม่เข้มแข็งสู้งานเท่ากับภูผา หรือแกจะเถียงว่ามันไม่จริง!”
       อนุตอึ้งไปเพราะที่แม่พูดออกมาเป็นความจริง
       “อนุต...เรือที่เครื่องมันแรงเกินไป เรายังลดความเร็วมันได้แต่เรือที่เครื่องไม่สมบูรณ์แล้วยังแล่นช้า ถ้าเจอพายุโถมเข้าใส่..สุดท้ายก็ต้องอับปางอยู่กลางทะเล!”
       อนุตยิ่งอึ้งเถียงไม่ออก
       วงเดือนอึ้งๆ กับเรื่องที่ได้ฟัง จังหวะนั้นมีมือของภูผาเข้ามาท้าวที่ประตู ภูผาอยู่ด้านหลังวงเดือนกระซิบข้างหู
       “แอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน มันเสียมารยาทนะ”
       วงเดือนตกใจหันมาเจอภูผาในระยะประชิด
       “คุณภูผา!”
       ภูผายกทั้งสองแขนขึ้นท้าวกับประตู จนกลายเป็นวงเดือนอยู่ในอ้อมแขนออกไปไหนไม่ได้
       ภูผายื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้น “ตกใจมากเหรอ”
       วงเดือนถดตัวถอยออกศรีษะติดประตู จนภูผาเหมือนเกือบจะจูบ วงเดือนตัดสินใจย่อตัวลงแล้วลอดใต้แขนภูผาออกมา วงเดือนจะไป ภูผาดึงแขนวงเดือนไว้กระชากเข้ามาใกล้ พูดข้างหู
       “อย่าพูดเรื่องนี้กับใคร!! ไม่งั้น..” ขยับมาพูดขู่ชิดใบหู “เธอโดนฉันลงโทษแน่!!”
       วงเดือนสะบัดมือเต็มแรง ภูผายอมปล่อยให้หลุด วงเดือนหน้าแดงมองภูผาที่ดูสายตาเอาจริงว่าห้ามพูด
       จากนั้นวงเดือนรีบเดินหนีไปทันที ภูผายิ้มมองตาม
       เสียงศรีเรือนพูดเด็ดขาด “คืนนี้แม่จะประกาศยกแสนสมุทรให้ภูผา!”
       “คุณแม่!”
       ภูผาหันมองประตูสีหน้าเครียด
      
       วงเดือนกลับเข้ามาในห้องพักที่เรือนคนงานหลังบ้าน แล้วต้องชะงักตะลึง บนเตียงมีชุดงานเลี้ยงสีชมพูเรียบเก๋ ประดับด้วยสายคาดเอวที่มีดอกไม้สวย
       วงเดือนเข้าไปมองชุดด้วยความสงสัย เห็นกระดาษโน้ตวางข้างๆ ชุด วงเดือนหยิบขึ้นมาอ่าน
       “สำหรับน้องสาวของพี่..พฤกษ์”
       วงเดือนคว้าชุดและพุ่งไปที่ประตู ตั้งใจจะไปคุยกับพฤกษ์ แต่เมื่อเปิดประตู วงเดือนก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อพฤกษ์ยืนอยู่หน้าประตูห้อง
       “เปลี่ยนชุด..แล้วออกไปร่วมงาน”
       “เดือนเป็นแค่คนงาน ไม่ใช่…”
       “เดือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของแสนสมุทร เป็นน้องสาวของพี่..จำไว้!”
       วงเดือนค่อยๆ ยิ้มให้พฤกษ์ด้วยความตื้นตันใจ
      
       ภายในงานเลี้ยงบรรยากาศคึกคัก แขกเหรื่อจับกลุ่มคุยกันครึกครื้น อนุต ศรีดารา และศรีเรือนกำลังคุยอยู่กับแขกทางด้านหนึ่ง
       เมฆาพาอรุณเดินเข้ามาในงานหันมองเห็นอรุณที่กำลังมองหาอะไรสักอย่าง
       “มองหาเดือนเหรอ?”
       “เอ่อ..ครับ ผมห่วงเดือน เมื่อกี้คุณย่า...”
       “แกก็รู้ว่าคุณย่าพูดแบบนั้นกับเดือนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเดือนทนได้ก็จบ! เราก็ไม่เห็นต้องสนใจอะไร”
       อรุณทำท่าจะท้วง “แต่..”
       เมฆาตัดบท “เข้าใจที่พี่พูดไหม?”
       อรุณพยักหน้ารับ แต่ในใจไม่เห็นด้วย “ครับ”
       อรุณเบือนหน้าหนีด้วยความไม่เห็นด้วย จังหวะนั้นภูผายื่นแก้วน้ำมาตรงหน้าอรุณ
       “สักแก้วไหมอรุณ?”
       เมฆาแย่งมาทันที “น้ำอะไร” เมฆาดม
       “น้ำชา!”
       เมฆานิ่งไปเพราะรู้ว่าแสดงอาการไม่เหมาะ
       “คิดว่าฉันจะเอาเหล้าให้อรุณกินงั้นเหรอ?” ภูผารู้ทัน
       “ผมก็แค่ทำตามหน้าที่ อย่าลืมสิว่าผมเป็นหมอ”
       “แกก็อย่าลืมว่าฉันเป็นพี่ชายมัน ไม่มีพี่คนไหนคิดจะฆ่าน้องตัวเองหรอก!!” ภูผาจับหัวอรุณโยกอย่างเอ็นดู “ใช่ไหมเด็กน้อย?”
       อรุณฉุนเบี่ยงหัวออก “ผมไม่ใช่เด็กแล้ว”
       “ผมไม่ได้คิดขนาดนั้น แต่เพราะพี่ชอบเล่นอะไรไม่เข้าท่าต่างหากล่ะ วันก่อนถ้าไม่ใช่เพราะพี่ อรุณก็คงไม่เกือบตายหรอก!”
      
       เมฆามองหน้าภูผาอย่างตำหนิ ภูผาอึ้งเถียงไม่ออก
      
       เหตุการณ์ในวันก่อนหน้านั้น สี่ชายและหนึ่งหญิง เดินเรียงหน้ากระดานคุยกันมาที่ริมชายหาด ภูผาและพฤกษ์ยังถอดเสื้อกิริยาสบายๆ
      
       “พี่แพ้แกอีกตามเคย เรื่องว่ายน้ำนี่ไม่มีใครสู้แกได้จริงๆ ภูผา” พฤกษ์ว่า
       “ผมก็เก่งแต่ว่ายน้ำในทะเล แต่จะให้ขึ้นบกคุมคนแบบพี่พฤกษ์ผมก็ทำไม่ได้ หรือจะให้จับมีดหมออย่างเมฆาผมก็ไม่ถนัด ใช่ไหมเดือน?”
       วงเดือนยิ้มๆ “เดือนว่าเก่งกันทุกคนล่ะค่ะ แต่เก่งกันคนละอย่าง”
       อรุณมองวงเดือน เห็นวงเดือนมองทั้งสามหนุ่มอย่างชื่นชมก็ไม่พอใจ
       “แล้วผมล่ะ?”
       ทุกคนหันมองเห็นอรุณเริ่มชักสีหน้า ก็เหลือบมองตากันเอาไงดี
       “ก็เป็นน้องให้พี่ๆ ดูแลไง”
       “แต่ผมไม่อยากเป็นน้องที่อ่อนแอ แค่เรื่องว่ายน้ำผมก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน..จะลองดูก็ได้”
       เมฆาห้าม “อรุณ! แกออกกำลังหนัก ๆ ไม่ได้นะ”
       ภูผามองอรุณ เห็นสีหน้าอรุณโกรธ อรุณกำมือแน่น ถูกพูดกระทบปมอ่อนแอของตัวเอง
       “งั้นแข่งกันไหมล่ะ?!” ภูผาเอ่ยขึ้น
       เมฆา กับพฤกษ์ตกใจ “พี่ผา” / “ภูผา!”
       “อรุณบอกว่าทำได้ ก็ให้เขาลองสิ” ยื่นช่อดอกผักบุ้งให้วงเดือนและหันไปบอกอรุณ “คว้ามันให้ได้ก่อนพี่ก็แล้วกัน!”
       เมฆาทนไม่ได้ “พี่แข่งแทนแกเอง!” เมฆาถอดเสื้อ
       อรุณไม่ยอม “แต่ความภูมิใจ..มันทำแทนกันไม่ได้หรอกนะครับพี่เมฆา!”
       เมฆาอึ้ง ถือเสื้อในมือนิ่งอยู่อย่างนั้น
       อรุณหันไปยิ้มยักคิ้วให้ภูผาและวิ่งถอดเสื้อลงทะเลไป ภูผาตามติดไป วงเดือนหันมองเมฆาและพฤกษ์ด้วยความลำบากใจ ก่อนที่จะเดินลงทะเลตามไป
       พฤกษ์จับไหล่เมฆา สีหน้าเมฆาฉายชัดว่าเป็นห่วงอรุณสุดๆ
       ในเวลาต่อมาอรุณกับภูผายืนบนแพในทะเล วงเดือนถือช่อดอกไม้อยู่แพฝั่งตรงข้าม
       อรุณและภูผาพยักหน้าให้กันก่อนกระโจนพุ่งลงไปในทะเล
       เมฆาและพฤกษ์เดินเข้ามาดูด้วยใจจดจ่อ เมฆาสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด
       อรุณว่ายจ้วงเอาเป็นเอาตาย ภูผาก็ว่ายตามมาอย่างสูสี แต่ช่วงอึดใจหนึ่งภูผาดำน้ำหายลงไป โดยที่อรุณมัวแต่จ้วงว่ายอยู่จึงไม่สังเกตเห็น
      
       วงเดือนชะงักเมื่อเห็นภูผาหายไป
ขอขอบคุณจาก manager.co.th    

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น