วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครสาวน้อย ตอนที่ 1 วันที่ 9 ก.ค. 55

บ้านเนาวรัตน์บนถนนสีลมเป็นตึกสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ก่อสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ใหญ่โต โอ่อ่า หรูหราวิจิตรบรรจง ขณะที่ภายในตัวตึกเปิดไฟสว่างทั่วทุกตารางนิ้ว ภายนอกยังมีไฟประดับตามต้นไม้ดูแพรวพราวระยิบระยับ บนถนนที่ทอดตัวมายังตัวตึกยังมีรถยนต์ทันสมัยของยุคนั้นจอดยาวออกมาจนนอกแนว รั้ว
      
       พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๐
       ห้องจัดเลี้ยงของบ้านเนาวรัตน์ซึ่งมีพื้นที่ห้องกว้างขวางมหึมา ตรงกลางห้องเป็นฟลอร์เต้นรำ มุมหนึ่งเป็นเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ทางหนึ่งวางเครื่องเล่นแผ่นเสียง ลำโพงทองเหลืองส่งเสียงเพลงคลาสสิก มีโต๊ะจัดวางอย่างหรูหราหลายโต๊ะ แขกในงานล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่งตัวแบบสากลหรู ทั้งชายหญิงกำลังดื่มกินพูดคุยกันด้วยท่วงท่าที่ฝึกมาอย่างดี มีแขกฝรั่งและแหม่ม ๒ - ๓ คนในคืนนั้น ที่โต๊ะตัวกลางสุวลีสาวพราวเสน่ห์นั่งอยู่เป็นราชินีของงาน เธอเป็นคนสวยจัด ดวงหน้างดงามบาดจิต สูงระหง มีท่วงท่าในทุกอากัปกิริยา เธอสวมชุดราตรีเครื่องเพชรแพรวพราย ข้างกายคือ อนงค์ ผู้หญิงรูปร่างผอมบาง หน้ายาวและจืดชืดแต่ทำตัวเปรี้ยว กับรตีที่ใบหน้าคมเข้มอวบอัด แต่ตาคิ้วดูดุที่ทำท่าราวกับจะดูถูกคนทั้งโลก ลำดับถัดไปคือ ช่อผกา สาวน้อยวัย ๑๗ ปากนิดจมูกหน่อยไม่สะสวยทว่าหูตาแพรวพราว ช่อผกากำลังเลื่อนกล่องของขวัญที่วางสุมอยู่บนโต๊ะข้างๆไปตรงหน้าสุวลี ชายหนุ่ม ๒ คนกำลังยกยอสุวลีอย่างไม่ขาดสาย แต่สุวลีกลับมองเลยไปเหมือนรอคอยใครซักคน
       “ขอบพระคุณค่ะ” สุวลีบอก
       “นี่คุณสองคนเชิญกลับไปโต๊ะคุณได้แล้ว พลีส” อนงค์ว่า
       “ยายอัมพรกับยัยยุพาชะเง้อคอหาคุณจนคอยาวเป็นคอห่านแล้ว” รตีบอก
       สองชายทำหน้ากระอักกระอ่วนทำเอาช่อผกาถึงกับหัวเราะคิก เมื่อสองชายถอยไป อนงค์มองและถามช่อผกา
       “ขันอะไรยะ ยายช่อผกา”
       “ขันคอห่านค่ะ คุณพี่” ช่อผกาว่า
       มีชายรูปร่างสูง ๒ คนก้าวเข้ามา สุวลีมองอย่างดีใจแล้วผิดหวังไปวูบหนึ่งก่อนจะปั้นยิ้มรับอย่างผู้จัดเจน สังคม ธนาหนุ่มนักเรียนยุโรปลูกเจ้าสัว แต่งตัวเนี้ยบหรูไปทั้งตัวมากับนพเพื่อนนักเรียนนอกด้วยกัน ธนามองสุวลีอย่างลึกซึ้ง แล้วส่งกล่องของขวัญใบใหญ่ให้
       “แฮปปี้เบิร์ธเดย์ครับคุณสุวลี”
       “ขอบพระคุณค่ะ ธนา นี่อะไรคะนี่”
       “ถ้าบอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์สิครับ”
       สุวลีส่งของขวัญต่อให้ช่อผกา นพส่งของขวัญกล่องย่อมกว่าให้สุวลีเป็นลำดับต่อมา
       “ถึงหีบของขวัญผมจะไม่ใหญ่เท่า แต่ก็จริงใจไม่แพ้นายธนานะครับ” นพบอก
      
       “ฉันจะพยายามเชื่อค่ะ คุณนพ”
       อนงค์ยิ้มหยาดเยิ้มจนดูประหนึ่งคล้ายม้า ส่งมือมาให้ธนา
       “โอ คุณธนา คุณนพ ใจคอจะไม่กรีตติ้งเราสองคนบ้างหรือคะ”
       “กู้ด อีฟนิ่ง คุณอนงค์ คุณรตี น้องช่อผกา” ธนาบอก
       อนงค์ทำท่ากระชดกระช้อยตอบ รตียิ้มเหยียด ช่อผกาพนมมือไหว้
       “ขออภัยด้วยที่ผมไม่ทันเห็นคุณสองคน” ธนาบอก
       “ค่ะ เราน่ะเหมือนดาวที่ถูกแสงเดือนบังจนหมด” อนงค์ว่า
       “ต๊าย เธอน่ะหรือเหมือนดาว ถ้าจะเหมือนก็เหมือนผีพุ่งไต้มากกว่า” รตีว่า
       อนงค์ทำตาเขียวร้องกรี๊ด ธนากับนพกลั้นหัวเราะ สุวลียิ้มแอบขำอย่างผู้ดี ช่อผกาหัวเราะคิก
       “นี่เธอขันอะไรยะ แม่ช่อผกา” อนงค์ถาม
       “ขันผีพุ่งไต้ค่ะ”
      
       อนงค์สะบัดหน้าพรืด นพแยกไปทักทายเพื่อน ธนานั่งลงข้างสุวลี ฝ่ายสุวลีชะเง้อมองทางประตู
       “นี่คุณสุ มองหาใคร” ธนาถาม
       “เปล่านี่คะ”
       “หรือจ๊ะ ฉันคิดว่าเธอชะเง้อมองหาคุณสรรค์ซะอีก” รตีบอก
       สุวลีมองรตีด้วยสายตาปราม รตีทำเมิน ธนาหวั่นไหวแต่ยังยิ้มแย้มคุยต่ออย่างสุภาพ
      
       บริเวณเทอเรสหน้าบ้านเนาวรัตน์ตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้ใบใหญ่มหึมา สรรค์ชายหนุ่มวัย ๒๕ ปี บุตรของพระชาญชลาศัย ข้าราชการในกระทรวงเกษตราธิการ ดูหล่อเหลาสง่างาม ดวงตามีแววฝันแบบศิลปิน เดินมากับบุญมา เพื่อนหนุ่มในวัยเดียวกันซึ่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารชื่อดังที่ดูรื่นเริงจน เกือบทะเล้นกว่าสรรค์ การแต่งเนื้อแต่งตัวมีความสบายพิถีพิถันน้อยกว่าและมีกล้องถ่ายรูปทันสมัย คล้องคออยู่ บุญมาถือห่อของขวัญรูปทรงสี่เหลี่ยมแบนมาด้วย
       เสวกหนุ่มหล่อเจ้าสำราญ ถือแก้วไวน์ตาเยิ้มเดินมาหาสรรค์กับบุญมาแล้วทักทาย
       “เฮลโล นายสรรค์”
       สรรค์และบุญมามองไปตามเสียงทักทาย
       “ว่าไง นายเสวกนี่เมาแต่หัววันเลยหรือ” สรรค์ว่า
       “เฮ่ย ยัง...ยังไม่เมา ไง บุญมามาเหมือนกันหรือ” เสวกถาม
       “ที่ไหนมีเหล้าฟรีก็ต้องมีฉัน” บุญมาบอก
       เสวกพูดกับสรรค์ต่อ
       “ทำไมเพิ่งมาวะ แม่น้องสาวฉันบ่นหานายสักกระบุงโกยได้แล้ว”
      
       ภายในห้องจัดเลี้ยงตอนกลางคืน สุวลีเบิกตากว้างอย่างยินดีแล้วคลี่ยิ้มละไมก่อนจะลุก
       เดินไปหาแล้วส่งมือทั้งสองข้างให้สรรค์ สรรค์บีบมือตอบเบาๆ
       “คุณสรรค์”
       “ขอให้คุณสุมีความสุขในวันนี้และตลอดไป” สรรค์บอก
       สรรค์หันไปเรียกบุญมา
       “นายบุญ”
       บุญมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้จนสรรค์ต้องร้อง “เฮ้ย” เตือน
       “อะไรหรือ อ๋อ”
       บุญมาส่งของขวัญให้สรรค์ สรรค์ส่งให้สุวลี สุวลีรับมาอย่างดีใจ อนงค์ รตี และช่อผกามองชะเง้อดูด้วยความอยากรู้
       “นี่อะไรคะ รูปภาพใช่ไหม ขอสุแกะดูเลยนะคะ”
       สุวลีฉีกห่อกระดาษภายในเป็นรูปเขียนสีน้ำมันภาพดอกไม้ในแจกันที่เต็ม ไปด้วยสีสัน และบรรยากาศ ช่อผกาชื่นชม รตียิ้มพยัก ขณะที่อนงค์เบ้หน้า
       “สวยเหลือเกินค่ะสรรค์” สุวลีบอก
       “ฝีมือนายดีขึ้นกว่าเดิมอีกนะนี่” เสวกบอก
       “ขอบพระคุณมากค่ะสรรค์”
       “รูปนี้ผมตั้งใจวาดให้สุโดยเฉพาะ”
       สุวลียิ้มปลื้มมากขึ้นอีก บุญมาแกล้งทำท่าอิจฉาแล้วบอก
       “เฮ้อ รู้งี้เราไปหัดวาดรูปบ้างก็ดี”
       ที่โต๊ะด้านหลังสุวลี ธนากับนพยืนมองสุวลีที่ปลาบปลื้มในตัวสรรค์ด้วยแววตาริษยา
 ภายในห้องจัดเลี้ยง แผ่นเสียงหมุนวนบนเครื่องเล่น ลำโพงสีทองส่งเสียงเพลงวอลซ์ดังไพเราะ คนในงานจับคู่เต้นรำกันหลายคู่จนเหลือที่นั่งเฝ้าโต๊ะอยู่ไม่กี่คน สรรค์เต้นรำกับสุวลีในจังหวะวอลซ์อยู่กลางฟลอร์
       “คิดว่าคุณจะมาเป็นคนแรก แต่กลับมาเป็นคนสุดท้าย” สุวลีพูดขึ้นขณะยังเต้นรำอยู่บนฟลอร์
       “เฮ้อ จะอะไรเสียอีกล่ะครับ จู่ๆ ก็มีเรื่องเร่งด่วนเข้ามาที่กระทรวง” สรรค์บอก
       “นี่งานราชการแย่งเวลาของคุณไปหมดเลยนะคะ สรรค์”
       “ถ้าไม่เห็นแก่คุณพ่อ ผมคงลาออกเสียวันนี้พรุ่งนี้จะได้ออกมาเขียนรูปอย่างเดียว”
       “ที่นี่เมืองไทยนะคะ ไม่ใช่ยุโรป อาชีพราชการเท่านั้นที่มีเกียรติแต่อาชีพศิลปินไม่มีใครยกย่อง”
       สุวลีแย้งอย่างเข้าใจและปลอบประโลมจนสรรค์คล้อยตาม
       “ผมก็ได้แต่หวังว่า สักวันนึงความคิดข้อนี้จะเปลี่ยนไป”
       “สุจะช่วยหวังค่ะให้ความฝันของสรรค์เป็นจริงเร็วๆ”
      
       สรรค์มองสุวลีที่ยิ้มตาหวานฉ่ำด้วยความรักมาก
       เครื่องเล่นจานเสียง มีกระบะแผ่นเสียงตราสุนัขหลายแผ่น ธนาพลิกเลือกแผ่นเสียง พลางมองดูสรรค์และสุวลี นพเข้ามาส่งแก้วเหล้าให้
       “ยังไงกันธนา ของขวัญราคาเป็นร้อยเป็นชั่งของแก ดูท่าจะสู้รูปภาพฝีมือเลวๆ รูปนึงไม่ได้” นพพูดขึ้น
       “แกต่างหากที่ตาไม่ถึง ฝีมืออย่างนายสรรค์ ถ้าเป็นที่อังกฤษอาจจะมีราคาเป็นร้อยปอนด์เลยก็ได้ .. แต่อย่างว่าล่ะนะ มันก็แค่ภาพวาดใบนึงเท่านั้น” ธนาบอก
       ธนาพูดเรียบๆ ด้วยความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีแววหวั่นไหวแม้แต่น้อย
      
       ที่โต๊ะเจ้าภาพ อนงค์ รตีนั่งชูคอคลี่พัดกระพือ เท้ากระดิกไปตามเพลง ช่อผกานั่งจิ้มโน่นจิ้มนี่กินอยู่ หนุ่มหล่อสองคนเดินตรงมา อนงค์กับรตีดีใจรีบยืดตัวทำไม่สนใจ กระซิบกัน
       “อุ๊ย มาแล้ว” อนงค์กระซิบกับรตี
       “คนขวาของเธอ คนซ้ายของฉั...” รตีกระซิบตอบ
       รตีพูดไม่ทันจบคำ สองหนุ่มก็เดินเลยไปที่โต๊ะด้านหลังแล้วโค้งขอสาวโต๊ะนั้นออกไปเต้นรำ ทำเอาอนงค์กับรตีชะงักไป ข่อผกาหัวเราะพรืดออกมาทันใด
       “หล่อนขันอะไรอีกยะ” อนงค์ถาม
       “ขันคุณพี่ทั้งสองคนค่ะ” ช่อผกาบอก
       อนงค์และรตีแทบจะเง้อมือตบ แต่ช่อผกาบุ้ยบ้ายไปทางหนึ่ง อนงค์และรตีหันไปตามทางที่ช่อผกาบุ้ยบ้ายก็เห็นเสวกกับบุญมากำลังเมาได้ที่ เดินโอบคอกันมา แต่ก้าวเท้าตามจังหวะเพลง เข้ามานั่งลงที่โต๊ะ อนงค์ถามเลียบๆเคียงๆ
       “พี่เสวกขา ชอบเต้นรำไหมคะ”
       “ชอบ”
       อนงค์ยิ้มอย่างมีหวัง เสวกจะพูดต่อ
       “แต่ถ้าเต้นตอนนี้ คงอ้วกรดคู่เต้นแน่”
       อนงค์ค้อนขวับทันที รตีสะใจ อนงค์ยังไม่หมดหวังหันไปหาบุญมา เสวกซบลงกับโต๊ะ
       “คุณบุญมาขา เมื่อไรจะเอารูปอนงค์ไปลงปกแมกกาซีนบ้างคะ”
       บุญมาแทบหายเมา
       “รอไว้ก่อนเถอะครับ ตอนนี้ยอดขายยิ่งไม่สู้ดีอยู่”
       คำตอบนั้นกำกวม อนงค์เลยคิดเข้าข้างตัวเองและกำลังจะพูดเรื่องเต้นรำแต่ช่อผกาชิงเกาะแขนบุญมาก่อน
       “คุณพี่บุญมาขา ช่อผกาอยากหัดเต้นรำค่ะ”
       “ได้ซี พี่จะสอนให้”
      
       บุญมาส่งมือให้ ช่อผกาพาเดินไป อนงค์กับรตีเกือบจะร้องกรี๊ด ช่อผกาปรายสายตามาดังจะเยาะเย้ยแล้วทำตาแป๋วใส่อีกต่างหาก
       “ต๊าย นังเด็กหน้าซื่อมันกล้าขอผู้ชายเต้นรำก่อน” รตีว่า
       “กุลธิดาไม่พึงกระทำ ชิท!” อนงค์บอก
       เสวกเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วกุมปากขยักขย้อนส่งเสียงโอ้ก อนงค์และรตีร้องวี้ด
      
       เวลาผ่านไปในฟลอร์เต้นรำคนเริ่มบางตา เหลือเพียง ๓ - ๔ คู่ ในจำนวนนั้นมีช่อผกาเต้นอยู่กับนพ สรรค์เต้นกับสุวลี ตามโต๊ะแขกราวครึ่งหนึ่งกลับไปแล้ว ที่โต๊ะใหญ่อนงค์ รตี นั่งหน้าเป็นมันฟันเป็นยางเครื่องสำอางลบเลือน ทว่าไร้คนมาขอเต้นดังเดิม
       “อี๊ย์ นังเด็กหน้าซื่อไปเต้นรำกับคุณนพอีกแล้ว” รตีว่า
       “ทำไมไม่มีใครมาขอฉันเต้น ผู้ชายในงานท่าจะตาบอดกันหมดแล้ว” อนงค์พูดด้วยความฉุนเฉียว
       รตีมองอนงค์มีท่าทีอยากจะตอบ บนฟลอร์สุวลียังคงเต้นรำกับสรรค์อย่างมีความสุข
       แขกกลับไปหมดแล้ว ไฟในห้องถูกปิดลงไปบ้าง อนงค์กับรตีฟุบหลับคาโต๊ะ แผ่นเสียงยังคงเล่นเพลงอยู่ สุวลีกับสรรค์ตระกองกอดกันอยู่กลางฟลอร์เหมือนประหนึ่งว่าโลกหยุดนิ่ง
       บ้านเนาวรัตน์เวลาดึก รถของแขกกลับไปหมดแล้ว ไฟประดับดับวูบลง ไฟตามตัวตึกหลายห้องก็ดับลง ยกเว้นห้องนอนของสุวลี
      
       ภายในห้องนอนสุวลีใหญ่โตหรูหรา ด้านหนึ่งเป็นเตียงนอนสี่เสามีม่านระบาย มีโต๊ะเครื่องแป้งมหึมา กระจกเงามีปีกกระจกส่องด้านข้าง ปลายเตียงมีเก้าอี้นอนมีพนักสูง ถัดมาเป็นชุดโซฟากับโต๊ะเล็ก มีโต๊ะเขียนหนังสือซึ่งวางไดอารี่อยู่ บนหิ้งหนังสือมีทั้งหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ
       สุวลีสวมชุดนอนกรุยกรายลากชายระพื้นนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง เหยียดเท้าออกให้จวน สาวใช้หน้าตาหมดจดสวมรองเท้าแตะส้นสูงลูกปัดสำหรับใส่ในบ้านให้ แล้วลุกขึ้นไปที่ผนังมองดูรูปดอกไม้ของสรรค์อย่างพอใจ จวนขยับไปคุกเข่าอยู่มุมหนึ่ง
       บริเวณพื้นหน้าโต๊ะเตี้ย อนงค์และรตีสวมชุดนอนผ้าสำลี ไม่มีราศี เท้าเปล่าเปลือย กำลังแกะห่อของขวัญแล้วเอาของออกวางเรียงรายบนโต๊ะ
       “ต๊าย นี่ไง ของคุณธนา” อนงค์พูดขึ้น
       อนงค์เปิดหีบเห็นขวดน้ำหอมแก้วเจียระไนวางเรียงรายอยู่ ๓ ใบ บรรจุน้ำหอมต่างกัน ๓ สี รตีแย่งมาดู สุวลีเดินมานั่งบนเก้าอี้นอน รตีกับอนงค์นั่งอยู่แทบเท้า รตีส่งขวดน้ำหอมให้ สุวลีนำมาฉีดดู อนงค์พูดขึ้น
       “ต๊าย น้ำอบแบบนี้ ฉันเคยเห็นในห้างแถวมิ่งเมืองราคาตั้งเป็นร้อยเป็นชั่ง”
       “น้ำอบน่ะใครมีเงินก็ซื้อได้ แต่ของบางอย่างมีเงินก็ซื้อไม่ได้” สุวลีบอก
       “ใช่ ไม่เหมือนรูปที่วาดด้วยหัวใจ” รตีว่า
       สุวลียิ้มด้วยดวงตาเปี่ยมสุข อนงค์ทำปากยื่น
       “เชอะ นายสรรค์นี่อีกแล้ว เธอน่ะรู้จักคุณธนามาตั้งหลายปีดีดัก แต่นายสรรค์นี่พี่เสวกเพิ่งแนะนำให้รู้จักไม่กี่เดือนเอง”
       “วุ้ย บางคนน่ะรู้จักกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกก็ยังต้องกล้ำกลืนฝืนคบเลย” รตีว่า
       “นี่หล่อนว่าใครยะ...อย่ามาชักใบให้เรือเสีย คุณธนาน่ะเป็นนักเรียนยุโรปเป็นสุภาพบุรุษ นิสัยก็ดีร่ำรวยล้นฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นลูกเจ้าสัวทองคำ” อนงค์ถาม
       “หรือกิมเบ๊” รตีพูดขัด
       อนงค์สะบัดหน้าพรืดแล้วบอก
       “แต่นายสรรค์น่ะเป็นแค่นักเรียนฟิลิปปินส์เป็นแค่ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ พ่อก็เป็นแค่คุณพระ”
       “แต่ปู่คุณสรรค์เป็นเจ้าพระยานะยะ ไม่เหมือนก๋งคุณธนาเป็นแค่เจ็กขายน้ำปลา” รตีว่า
       สุวลีฟังอย่างอ่อนใจ จวนก็นั่งทำตาปริบๆ อยู่ริมฝา
       “นี่มันยุคประชาธิปไตยแล้วย่ะ ทุกคนเท่าเทียมกัน” อนงค์ว่า
       “อย่ามาอ้างเรื่องเท่าเทียม หล่อนน่ะพอเห็นใครมีเงินก็ตาโตต่างหาก
       “ไม่จริงย่ะ”
       สุวลีลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เตียง
       “นี่เลิกเถียงกันเสียที ฉันจะนอนแล้ว” สุวลีบอก
       รตีรีบขยับตัวขึ้นนั่งบนเก้าอี้นอน
       “ฉันจองตรงนี้” รตีบอก
       “แล้วฉันล่ะยะ” อนงค์ถาม
       “หล่อนก็นอนพื้นไงยะ จะได้รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครเท่าเทียมกันหรอก”
       จวนคลานมาคุกเข่าส่งหมอนผ้าห่มสำรองให้รตีและอนงค์รับมา อย่างกระชากกระชั้น อนงค์เอาหมอนวางบนพรมแล้วคลี่ผ้าห่มเอนตัวลงนอนพลางบ่นกระปอดกระแปด จวนถอยไปนั่งคุกเข่ารอรับใช้ต่อ
       “เตียงใหญ่ยังกะสนามเต็นนิสจะให้ฉันนอนด้วยก็ไม่ได้” อนงค์บ่นอุบ
       สุวลีนั่งพิงพนักเตียง หยิบไดอารี่ขึ้นมาวางบนตักแล้วบอกเรียบๆ
       “จวน ไปพักผ่อนได้แล้วไป” สุวลีพูดขึ้น
       “เจ้าค่ะ คุณสุวลี” จวนว่า
       จวนกระพุ่มมือไหว้สุวลีแล้วปิดไฟในห้องเหลือเพียงไฟหัวเตียงให้สุวลี แล้วเดินออกไป สุวลีจรดปากกาลงเขียนบันทึกแล้วยิ้มกับตัวเอง
       รูปวาดของสรรค์ติดเด่นอยู่บนผนัง
  ค่ำคืนเดียวกัน ภายในบ้านบ้านโพธิธาราของพระชาญชลาศัย ซึ่งเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ขนาดใหญ่ แต่ไม่หรูหรา ด้านหน้ามีสนามขนาดกว้างพอควร ทางด้านหลังมีเรือนคนใช้และเรือนเพาะชำ ตั้งอยู่ริมถนนข้าวสาร
       สรรค์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน สวมเสื้อเนื้อบางสีขาวกับกางเกงนอน เดินออกจากห้องน้ำเข้ามายังส่วนห้องนอน สมพงษ์เด็กรับใช้อายุราว ๑๙ ปี หน้าตาซื่อยืนค้อมตัวรอ แล้วเข้ามารับผ้าเช็ดตัวจากมือสรรค์ไปผึ่ง แล้วมายืนรออีก สรรค์ทำตาปริบๆ
       “อะไรหรือสมพงษ์”
       “ไม่มีอะไรครับ ผมมารอรับใช้คุณ”
       “ไม่ต้องหรอก แกไปนอนเถอะ”
       “ครับ”
      
       สมพงษ์หอบตะกร้าผ้าส่งซักออกไป สรรค์เข้าไปหวีผมที่เปียกชื้นหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ภายในห้องนอนของสรรค์ค่อนข้างเรียบ ทางด้านหนึ่งเป็นโต๊ะหนังสือกับตู้หนังสือ หนังสือส่วนใหญ่เป็นตำราทางเกษตรกรรมทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ที่หลังตู้ใบเตี้ยวางกรอบรูปเงินไว้หลายรูป มีรูปสรรค์เมื่ออายุ ๑๙ ปีถ่ายกับพระชาญชลาศัยและคุณหญิงวิไลเลขา รูปสรรค์กับ เสวกในชุดสูทนักเรียนนอก รูปสรรค์กับบุญมาในเครื่องแบบนักเรียนวชิราวุธ รูปเดี่ยวของสุวลีในงานวันเกิดและรูปทอม แมกกินนีฝรั่งวัย ๕๐ ปีร่างอ้วนอารมณ์ดี สรรค์ยิ้มหยิบรูปมาดู
      
       ภายในบ้านไม้แบบโคโลเนียลเมื่อเวลากลางวันของสตูดิโอเขียนรูปแมกกิน นี ดาวน์ทาวน์ มะนิลา พ.ศ.๒๔๗๙ ห้องนี้ทั้งห้องถูกทำเป็นสตูดิโอวาดรูป ภายในห้องมีขาตั้งเฟรมวาดรูปหลายอัน มีภาพวาดมากมายพิงอยู่ตามผนัง ส่วนใหญ่เป็นแนวอิมเพรสชันนิสม์ ทั้งยังมีเฟรมเปล่าๆ อีกหลายอัน ทอม แมกกินนีสวมเชิ้ตพับแขนกางเกงมีสายรั้ง ก้าวมายืนดูสรรค์ที่กำลังลงสีรูปสุดท้าย สรรค์ลงสี ๒ - ๓ จุดเพิ่มเติมแล้วถอยมามองดูข้างๆ แมกกินนี
       “เป็นไงครู มาย สวีท อิสซาเบลล่าของผม” สรรค์ถาม
       ในภาพนั้นเป็นหญิงสาวชาวฟิลิปปินส์ ใบหน้าดูละม้ายสาวไทยแต่คมเข้มกว่า สวมเสื้อคอกว้าง กระโปรงบานแบบสาวสแปนิชมือถือร่มสีดูฉูดฉาด
       “ดี ดีมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม” ทอมบอก
       สรรค์วางพู่กันเอามาชื้นมาเช็ดมือ สรรค์และทอม แมกกินนียืนอยู่หน้ารูปปั้นเทพธิดามิวส์ของกรีก
       “ผมวาดสุดฝีมือแล้ว แต่กลับไม่มีชีวิตชีวาเท่าตัวจริง” สรรค์บอก
       “อิสซาเบลล่านี่ คนรักเธอหรือ” ทอมถาม
       “แค่เพื่อนครับ อิสซาเบลล่าน่ะคู่ควงของเสวกมัน”
       “เพราะเหตุนี้แหละ รูปของเธอถึงยังไม่ถึงขั้น”
       “ครูหมายความว่าอะไรครับ”
       “เพราะนางแบบไม่ได้รักเธอ และเธอก็ไม่ได้หลงรักนางแบบ เธอถึงถ่ายทอดชีวิตชีวาของความรักออกมาไม่ได้”
       สรรค์หัวเราะเบาๆ อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
       “ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง จิตรกรก็วาดรูปที่ดีที่สุดได้แค่หนสองหนเองซีครับ”
       “ไม่เชื่อล่ะซี เอาเถอะ สักวันนึงถ้าเธอมีความรัก เธอก็จะรู้ว่าฉันพูดจริง”
       แมกกินนีตบไหล่สรรค์ หันไปยังรูปปั้นเทพธิดากรีกแล้วผายมือ สรรค์แหงนดู
       “ซักวัน เธอจะพบเทพธิดามิวส์ เทวีแห่งแรงบันดาลใจของเธอ แล้วถึงวันนั้น เธอจะเป็นจิตรกรเอก”
      
       ภายในห้อง สรรค์วางรูปแมกกินนีลงแล้วยิ้มกับตัวเอง
       “ผมจะหาเทพธิดามิวส์ชองผมให้เจอครับ”
       สรรค์ลงนอนบนเตียงแล้วหลับตาลง
      
       บรรยากาศยามเช้า สรรค์นอนอยู่บนเตียง ลมยามเช้าพัดมาจนผ้าม่านปลิวไสว ลมนั้นพัดมาจนถึงเตียงจนมุ้งผ้าโปร่งแหวกเปิด เสียงเพลงประหลาดดังแว่วมา เป็นเสียงฮัมเพลง มันฟังดูวิเวกหวานไพเราะ ก้องสะท้อนสะท้านดุจเสียงนางพราย
       สรรค์ผวาลุกจากเตียง เสียงเพลงนั้นยิ่งดังขึ้น สรรค์ฟังอย่างแปลกใจแล้วก้าวไปยังประตู เอื้อมมือเปิดออก พลันสรรค์ก็ตะลึงตะไลกับภาพเบื้องหน้าที่หน้าห้องนอนกลับกลายเป็นท้องฟ้าสี ครามสด ทะเลสีน้ำเงิน คลื่นขาวซัดสาดสู่หาดทรายขาว สรรค์ก้าวออกไป
      
       สรรค์ก้าวมายืนหน้าเรือนบังกาโลว์เล็กๆ สร้างบนโขดหินซึ่งล้อมไปด้วยไม้ดอกนานาพรรณ ต้นไม้ทุกต้น ดอกไม้ทุกดอก แม้แต่กรวดทรายดูงามมลังเมลือง เสียงเพลงดังกังวานหวาน
       สรรค์ก้าวสู่หาดทรายขาวละเอียด คลื่นซัดมาถึงเท้าเกิดประกายระยิบระยับ สรรค์นั่งลง วักน้ำขึ้นมาให้มันไหลตกจากฝ่ามือช้าๆ สรรค์มองไปเบื้องหน้าแล้วตกตะลึง
       ผิวน้ำทะเลเบื้องหน้าคล้ายมีแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์สว่างจ้าเป็นวง แล้วจางลง มีร่างแน่งน้อยแบบบางยืนอยู่บนผิวน้ำ สวมพัสตราภรณ์บางเบาพลิ้วอยู่รอบตัว ร่างนั้นก้าวเดินมาบนผิวน้ำ สรรค์ลุกขึ้นยืนช้าๆ ร่างนั้นมาหยุดยั้งลงตรงหน้าพลางฮัมเพลงวิเวกหวานนั้น
       สรรค์มองดู เห็นดวงหน้างดงามอ่อนหวาน ดวงตาสุกใสราวดวงดาว ปากโค้งหยักคลี่ยิ้ม ผมนั้นเกล้าขึ้นแล้วปล่อยช่อผมลงมาเคลียไหล่ ผ้าบางขาวนั้นจับเดรปพันกายเหมือนรูปสลักกรีก ชายผ้าพลิ้วสะบัดไปราวหมอกควัน สรรค์พูดเสียงคล้ายละเมอ
       “เพลงเพราะเหลือเกิน เธอเป็นใครกัน นางฟ้าหรือ” สรรค์ถาม
       “นางฟ้าก็ต้องอยู่บนฟ้าซี” เทพธิดากล่าว
       “หรือว่าเธอคือนางพราย”
       “นางพรายต้องงามเย้ายวน แล้วมากเล่ห์เพทุบาย”
       “งั้นเธอคือใครกัน”
       “ก็เธอเฝ้าตามหาใครอยู่เล่า”
       เทพธิดาร่างงดงามนั้นพูดเหมือนยั่วเย้า สรรค์นึกอยู่ครู่ก็นึกออก
       “ฉันรู้แล้ว เธอคือมิวส์ เทวีแห่งแรงบันดาลใจ เธอมาให้พรกับฉันหรือ”
       “พรนั้นอยู่ที่ตัวเธอเองต่างหาก”
       เทพธิดายกสองมือขึ้น มือหนึ่งจับต้นคอสรรค์ อีกมือแตะแก้มเขาแล้วกระซิบข้างหู
       “วันนี้ฉันตามหาเธอจนเจอ วันหน้าเธอต้องเป็นฝ่ายตามหาฉันบ้าง”
       สรรค์ยังมึนงง เคลิ้มฝัน ทันใดเทพธิดาก็เขย่งกายจุมพิตเขาแผ่วเบา แสงเรืองรองจ้าขึ้น แล้วจางไป เหลือสรรค์อยู่ลำพัง สรรค์ใจหายวูบวับราวจะขาดใจ
      
       ภายในห้อง สรรค์ผวาตื่นขึ้นจากฝันประหลาด อกใจยังวับหวำกับความรู้สึกสูญเสีย แล้วถอนใจยาว
       “ให้ตาย ฝันอะไรกันนี่”
       สรรค์หัวเราะให้กับตัวเองแล้วหันไปมองรูปของแมกกินนี
       “เพราะครูทีเดียวทำเราฝันเพ้อเจ้อไปได้ขนาดนี้”
      
       เช้าสายต่อมา ภายในสวนบ้านโพธิธารา แม่ผินคุณแม่บ้านใหญ่วัย ๔๕ หน้าตามีเค้าสวยแบบเรียบๆ เดินนำสมพงษ์เข้ามา ในมือมีตะกร้าสานแน่นขนัดด้วยผักสวนครัวที่เพิ่งตัดมา
       พระชาญชลาศัยเดินมาเห็นก็ถามอย่างแปลกใจ
       “นั่นอะไรของแก ผิน เต็มไม้เต็มมือไปหมด”
       “คะน้ากับกะหล่ำที่คุณหนูปลูกไว้ไงคะ ง้ามงามเหลือเกิน กินกันไม่หวาดไม่ไหว ดิฉันแทบจะตัดขายอยู่แล้ว”
       สรรค์เดินลงมาได้ยินพอดีก็พูดตอบอย่างยิ้มแย้ม
       “ก็ขายซี ฉันอนุญาต”
       “วุ้ย จะให้ผินไปตากหน้าขายผัก ไม่เอาหรอกค่ะ” ผินว่า
       “ผมไปขายให้” สมพงษ์บอก
       “ไม่ด๊ายไม่ด้าย เดี๋ยวชาวบ้านเห็นเขาจะค่อนได้ว่า บ้านพระชาญน่ะข้นแค้นจนต้องไปขายผัก”
       พระชาญชลาศัยหัวเราะขำ สรรค์พูดอย่างอ่อนใจ
       “เห็นไหมครับคุณพ่อ ก็เพราะคนไทยเรามัวแต่คิดแบบนี้ การค้าถึงไปอยู่ในมือต่างชาติหมด”
ขอขอบคุณจาก manager.co.th    
  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น