วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครปิ่นอนงค์ ตอน 11 วันที่ 3 ก.ค. 55

 ที่บริเวณหน้าเรือนใหญ่เวลาเดียวกัน คนงานชาย 2 คน ถือปืนยาวยืนยามอยู่สายตาสอดส่ายไปทางต้นเพลิง เห็นเปลวไฟแดงฉานตรงโรงเก็บหญ้า
      
       ขณะเดียวกัน ทุกคนนั่งกันหน้าเครียดอยู่ในห้องโถง รอฟังข่าวอย่างระทึก ปานเทพกระสับกระส่ายเพราะห่วงพ่อ
       “ผมอยู่ไม่ได้แล้วน้าเพ็ญ ผมไปช่วยพ่อกับอาหวินดีกว่า”
       น้อยอาสาจะไปด้วย “น้อยไปด้วย เผื่อใครหิวน้ำท่าจะได้หาให้ดื่ม”
       “หวานไปด้วย ดีกว่านั่งรออยู่อย่างนี้”
       “ถ้าอย่างนั้นรอก่อน ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน ขอชั้นขึ้นไปเอาของก่อน”
       ทุกคนลุกพรวด เพ็ญเดินเร็วรี่ขึ้นบันไดไป
      
       คนงาน 2 คน ยืนยามหน้าเครียดอยู่ ทันใดนั้นลูกน้องเสี่ยตงก็เข้ามาข้างหลังทั้งคู่ ข้างละ 2 คน จัดการกระหน่ำตีหัวคนงานสลบเหมือด
       สมุนหัวโจกลูกน้องเสี่ยตงที่เคยมีเรื่องกับใหญ่ ก้าวเข้ามาหน้าเหี้ยมกับลูกน้องอีกสอง เดินนำหน้าจะเข้าเรือนใหญ่
       ปานเทพเดินก้มหน้าตรวจปืนในมือ น้อยกะหวานเดินตามติดออกมา
       พอปานเทพเงยหน้าก็เจอสมุนหัวโจก กับลูกน้อง
       “เฮ้ย ...”
       สมุนหัวโจก เตะปืนที่มือปานเทพกระเด็นไป
       น้อยกะหวานร้องกรี๊ด สีหน้าเพ็ญที่อยู่บนห้อง ตกใจตาโต
       ปานเทพชกสมุนหัวโจก แต่มันหลบฉาก ระหว่างนั้นลูกน้องสองคนเข้าไปล็อกปิดปากน้อยกะหวาน
       เหล่าลูกน้องเสี่ยรุมเตะต่อยปานเทพ และปานเตะต่อยสู้ไปได้สองสามครั้ง ลูกน้องเข้าล็อกแขนได้ สมุน หัวโจกต่อยท้องปานเทพระบายแค้นเก่า
       ปานเทพจุกจนตัวงอ สมุนหัวโจกตีท้ายทอยด้วยด้ามปืนร่างปานเทพทรุดลงสลบไสล
      
       ปานเทพถูกมัดสลบอยู่ในโถงเรือนใหญ่ น้อยกะหวานถูกมัดมือมัดเท้า หน้าตื่นเลิ่กลั่กนั่งที่พื้น เหล่าลูกน้องถือปืนคุมเชิง
       สมุนหัวโจกชักมีดสั้นออกมา พูดถามหวานกะน้อยเบาๆ “ถ้าไม่อยากเสียโฉม บอกมา ห้องไอ้ใหญ่อยู่ไหน” .
       เพ็ญแอบดูที่บันไดชั้นบนเห็นแค่หน้าแคบๆ น้อยกะหวานตาตื่น สมุนหัวโจก เดินเข้าหาปัดปาดมีดฉวัดเฉวียนไปมาบนมือ
      
       ครู่ต่อมาสมุนหัวโจก เดินนำลูกน้องมาที่หน้าห้องใหญ่ กระชับปืนเตรียมพร้อม
       ลูกน้องค่อยๆ จับลูกบิดประตู เปิดเข้าไปช้าๆ
       ประตูเปิดกว้าง เสียงปืนดังสองนัด ลูกน้องสองคนโดนลูกปืนที่เอวร่างกระเด็น อีกคนโดนที่โคนขา
       สมุนหัวโจกกับลูกน้องที่เหลือ ลากคนที่โดนปืนถอยไปทางเดียวกัน
       เพ็ญโผล่ออกมา แอบตรงขอบประตูยิงพวกผู้ร้ายอีกสองนัด ลูกน้องอีกคนโดนเข้าที่ท้องทรุดลงไปกอง
       สมุนหัวโจกยิงเพ็ญสองนัด ลูกน้องอีกสองคนยิงอีกสองนัด
       เพ็ญหลบวูบ สมุนหัวโจก กับลูกน้องลากคนเจ็บหนีพลาง จดจ้องปืนระวังพลาง
       เพ็ญโผล่ยิงไล่ไปอีกสองนัด สมุนหัวโจก ยิงสวนสองนัด เพ็ญหลบวูบ
      
       ทางด้านถวิลกับปลอด พร้อมเหล่าคนงานส่งกระแป๋งน้ำเป็นทอดๆ ช่วยกันดับไฟอยู่วุ่นวาย เห็นคานไม้โรงเก็บหญ้าหล่นโครมคราม คนงานโดนไฟไหม้วิ่งออกมาล้มกลิ้งดับไฟ
       เปี๊ยกช่วยประคองปีกคนงานออกมา คนงานบาดเจ็บหัวแตก เนื้อตัวดำปื้น
       จังหวะนั้นคนงานที่โดนตีหัวจากเรือนใหญ่กุมท้ายทอย จุดที่โดนตี เข้ามาโซเซเข้าหาถวิล
       “ลุงหวิน คนร้ายบุกเรือนใหญ่”
       ก่อนที่ร่างคนงานจะทรุดลงสลบกับพื้นอีกรอบ
       ปลอด ถวิล และเปี๊ยกสบตากัน วิ่งออกไป
      
       บรรดาเหล่าร้ายถอยหนีอย่างทุลักทุเลลงมา ผ่านปานเทพ น้อย และหวานไป ลูกน้องลากกันไป สมุนหัวโจก แตะแขนลูกน้องอีกคน
       “เรียกรถมารับเร็วเข้า เอ็ง... ยิงไอ้สามตัวนี่ทิ้ง มันเห็นหน้าเรา”
       น้อยกะหวานผวา ถดตัวซบกัน หลับตาปี๋
       ลูกน้องง้างนกปืน จ่อจะยิงปานเทพก่อน เพ็ญโผล่มาที่บันไดชั้นบน ยิงปัง ลูกปืนถูกมือลูกน้อง ปืนกระเด็นไป โชคร้ายปืนเพ็ญลูกปืนหมด คันชักค้าง เพ็ญตกใจ
       “หมดฤทธิ์แล้ว อีเวร ตาย...”
       สมุนหัวโจก เล็งปืนใส่เพ็ญเขม็ง เพ็ญตาโต เสียงปืนดังปัง
      
       ที่หน้ากระท่อมป้าทองในหมู่บ้านชาวนาเวลาเดียวกัน ขวานเล่มเบ้อเริ่มจามลงบนท่อนฟืนจนแยกกระเด็นด้วยฝีมือใหญ่
       ใหญ่หยิบฟืนอันใหม่ตั้ง ยกขวานจามฟืนกระเด็น
       ใหญ่หยิบฟืนตั้งอีก ปากก็พร่ำบ่นไป “โกหก ตลบตะแลง ไอ้โง่ ไปรักเค้าทำไม”
       ใหญ่หอบเหนื่อย ยกแขนเช็ดเหงื่อ
       เสียงป้าทองพร่ำสอน “ผัวเมียมันไม่ได้ สะบั้นหั่นขาดง่ายๆ เหมือนผ่าฟืนหรอกไอ้ใหญ่”
       ป้าทองนั่งตำน้ำพริกที่ชานบ้าน
       “แต่ปิ่นอนงค์ใจร้าย จะฆ่าผมเลยนะป้า”
       “พระพุทธเจ้าบอกว่า แม้จะได้ยินกับหู รู้เห็นกับตา ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ แล้วที่เอ็งหลบมานี่ที่ไร่ไพศาลจะเป็นยังไงไม่คิดบ้างเหรอ”
       “ช่างมัน ผมไม่สนหรอก ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ”
       ชาวนาเพื่อนบ้านป้าทองวิ่งเข้ามาหน้าตื่น ชี้ไปอีกทาง “ไฟไหม้ที่ไร่ไพศาล แสงไฟเห็นมาถึงนี่เลย”
       ใหญ่กับป้าทอง ตกใจ สบตากัน
      
       ไม่นานหลังจากนั้นใหญ่ขี่รถเข้ามาจอดที่หน้าเรือน ก้าวลงจากรถอย่างร้อนใจ
       เปี๊ยก หวาน และน้อย ทายาให้คนงานที่บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เหล่าคนงานต่างมอมแมมเนื้อตัวเต็มไปด้วยเขม่าไฟ
       “มีใครบาดเจ็บอีกรึเปล่า” ใหญ่ถาม
       “ส่งโรงพยาบาลไปสามคนค่ะ” หวานตอบ
       น้อยชี้ไปในบ้าน “คุณเพ็ญ”
       “น้าเพ็ญ”
       ใหญ่ตกใจรีบวิ่งเข้าบ้านไป
      
       เพ็ญนอนหนุนตักปลอดอยู่บนโซฟา เพ็ญหลับตา เสื้อตรงอกมีเลือดเป็นดวงๆ
       มือขวาเพ็ญเปื้อนเลือดวางอยู่บนช่วงท้อง เพ็ญโดนยิงถากต้นแขนซ้าย เอามือขวาไปจับแผลเลยเปื้อนเลือด ปลอดลูบหน้าเพ็ญไปมา
       ปานเทพเช็ดเลือดที่แขนเพ็ญข้างซ้ายเสร็จ ก็นั่งชันเข่าที่พื้น พงษ์และลูกน้อง ยืนหน้าเครียดอยู่
       ใหญ่ เปี๊ยก หวาน และน้อย วิ่งเข้ามา หยุดกึก ใหญ่เห็นเพ็ญเจ็บ นึกว่าตาย ช็อกคาที่
       “น้าเพ็ญ”
       น้อยรีบบอก “น้าเพ็ญช่วยพวกหนูเลยโดนยิง”
       ปานเทพโมโหจัด ลุกเข้าผลักใหญ่กระเด็น ใหญ่รู้สึกผิด หลบตา
       “เพราะแก ไอ้คุณใหญ่ มัวแต่เล่นเกมวางแผนแก้แค้นบ้าๆ บอๆ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ต้องให้มีการตายใช่มั้ย ถึงจะสะใจแก”
       ปลอดปราม “ปากเสีย ไอ้ปาน”
       เพ็ญลุกขึ้นนั่ง ปลอดคอยประคอง “จะเถียงกันทำไม ลูกปืนแค่เฉียดแขนนิดเดียวเอง อุ๊ย...”
       เพ็ญเจ็บแปล๊บ กุมแผลที่พันผ้าเรียบร้อยแล้ว
       ใหญ่ ยิ้มโล่งอก เพ็ญยิ้มให้ใหญ่ เล่าเรื่องให้ใหญ่ฟัง
      
       ในขณะที่สมุนหัวโจก เล็งปืนไปที่เพ็ญ เพ็ญตกใจ ปลอดย่องเข้ามากับถวิล และเปี๊ยก ที่อีกด้านของบ้าน ปลอดยิงใส่สมุนหัวโจก กระสุนเข้าที่หัวไหล่ มันกระตุกปืนลั่นไปโดนเพ็ญเฉียดไหล่ ต้นแขนซ้ายของเพ็ญปืนตกจากมือ
       เพ็ญกุมแผล ลูกน้องเสี่ยตงถอยหนีกันอย่างทุลักทุเลลากกันออกไปทางหน้าเรือน
       เปี๊ยก ถวิล ช่วยแก้มัด น้อย หวาน กับปานเทพ ปลอดวิ่งเข้าไปดูเพ็ญบนบันได
      
       เวลาต่อมามีรถกระบะเข้ามาจอดรับ สมุนที่เป็นคนวางเพลิงรีบลงมาช่วยทุกคน สมุนหัวโจก ขึ้นรถ
       พงษ์กับลูกน้องเข้ามาอีกทาง ยิงใส่พวกสมุนเสี่ยตง อีกคนยิงป้องกันพวกที่เข้าไปที่เรือนใหญ่
       พวกสมุนเสี่ยตงหนีตายขึ้นรถ ลูกปืนโดนรถกระบะประปราย พวกสมุนเสี่ยขับรถออกไปฝุ่นคลุ้ง
       พงษ์พร้อมกับลูกน้อง มองตามพลางขยับเข้าบ้านไป
      
       พอฟังเรื่องราวจบ ในเวลาต่อมาใหญ่ ปลอด ปานเทพ และถวิล พากันยืนมองซากโรงเก็บหญ้า ไฟยังกรุ่นอยู่ ควันลอยโขมง
       ถวิลเสียใจ ขอโทษขอโพย “พวกเราพยายามกันสุดกำลังแล้วครับคุณใหญ่ แต่ทำได้แค่นี้ ผมขอโทษ”
       ปลอดมองหน้าถวิล “คนงานบาดเจ็บกันบ้าง แต่ก็ยังดีที่ไม่มีใครตาย เอาไว้ค่อยสร้างกันใหม่”
       “ผมจะสืบให้ได้ว่า พวกมันเป็นใคร พ่อไม่ต้องห่วง”
       ใหญ่ละอายใจ “เป็นความผิดของผมเอง ผมต้องรับผิดชอบไร่ไพศาล ผมกลับทิ้งทุกคนไปในเวลาวิกฤติ ผมจะอ่อนแออย่างนี้ไม่ได้ ปาน... ชั้นพร้อมจะดูแลกิจการของพ่ออย่างเต็มตัวแล้ว”
       ปานเทพงง “แกหมายความว่า...”
       “ฉันต้องการแสดงตัวต่อศาลว่ายังมีชีวิต ยังทันเวลาหรือเปล่า”
      
       ปานเทพ ปลอด และถวิลมองใหญ่เป็นตาเดียว ขณะที่ใหญ่มองจ้องซากโรงเก็บหญ้าด้วยสีหน้ามาดมั่น
เสี่ยตงโมโหลูกน้องที่งานเผาไร่และฆ่าใหญ่พลาด ตบหน้าลูกน้องคว่ำลงไปกองกับพื้น
      
       “บัดซบ เรื่องแค่นี้จัดการไม่สำเร็จ ออกไป!”
       ลูกน้องรีบแจ้นออกไป ครองสุขเข้ามา
       “ตอนนี้ไอ้ใหญ่มันมีไอ้ปลอดกับสมุนคุ้มกันมันอยู่ จะเล่นงาน มันช่วงนี้เห็นทีจะยากนะเสี่ย”
       “ถ้างั้นก็รอจังหวะที่มันเผลอ ค่อยลงมือเก็บให้เรียบ” เสี่ยตงสรุป
       ระหว่างนั้นทัศนีย์เปิดประตูเข้ามาในชุดแซ็กรัดรูปสีดำ สั้นจู๋ อกเว้าจนเห็นเนินเนียน เสี่ยตงกลืนน้ำลายลงคอเอื้อก
       ทัศนีย์แบมือ “คุณน้า ขอเงินหน่อยสิ”
       ถูกครองสุขด่า “เมื่อไหร่แกจะหยุดทำตัวมั่วๆ อย่างนี้สักที เที่ยวมันได้ทุกคืน”
       “แหมคุณน้า ชีวิตมันเครียดก็ต้องหาทางปลดปล่อยกันบ้างทีคุณน้ายังต้องระบายออกทุกคืน ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
       ครองสุขกลัวเสี่ยตงรู้อะไรเยอะ รีบเบรก “นังนี เอาไปเลย แล้วอย่ากลับเช้าล่ะ”
       ทัศนีย์ดีใจคว้าเงิน เดินตัวปลิวออกไป เสี่ยตงมองสะโพกทัศนีย์ตาวาว แต่ครองสุขไม่เห็น
      
       ชุมชนในตำบลเล็กๆ ชุมชนแห่งนี้จะมีซอกซอยเล็กๆ มากมาย หากไม่ใช่คนพื้นที่จะไม่มีทางรู้
       เช้านี้ปิ่นอนงค์เริ่มชีวิตใหม่เป็นแม่ค้าที่นี่ หญิงสาวใส่หมวกสานปีกกว้างปิดบังหน้าตาไว้ เพราะไม่อยากให้พวกใหญ่ตามพบ
      
       ปิ่นอนงค์เดินก้มหน้าเข็นรถขายขนมจีนและข้าวแกง บนรถเข็นมีแกงหลายหม้อ กระจาดขนมจีน
       ชาวบ้านเดินผ่านหยุดถาม “แม่ค้าขายอะไรจ๊ะ มีหลายหม้อเชียว”
       แม่ค้าเงยหน้า จึงเห็นเป็นปิ่นอนงค์ “ขนมจีนจ้ะ พวกแกงเขียวหวาน แกงเผ็ด แกงส้ม ไข่พะโล้ก็มี”
       ชาวบ้านมองหน้าปิ่นอนงค์อย่างไม่คุ้น “เพิ่งมาขายแถวนี้เหรอ ไม่เคยเห็นหน้า”
       ปิ่นอนงค์เลิ่กลั่กรีบพยักหน้า “จ้ะ”
      
       อีกฟากถนน น้อยปั่นจักรยานกำลังจะกลับไร่ ในตะกร้าหน้ารถมีถุงกับข้าว และมีผักโผล่แพลมๆ น้อยปั่นผ่านรถเข็นปิ่นอนงค์
       น้อยเหลียวไปมาเห็นปิ่นอนงค์ก็ตาโต เบรกจักรยานเอี๊ยด เห็นเป็นปิ่นอนงค์กำลังตักกับข้าวใส่ถุง น้อยตะลึง ตะโกนเรียก
       “พี่ปิ่น”
       ปิ่นอนงค์หันมา ตกใจพอกัน รีบเข็นรถหนี ชาวบ้านที่รออยู่งุนงง
       “อ้าว เฮ้ยอะไรกันเนี่ย ไม่ขายแล้วเหรอ”
       ปิ่นอนงค์หนี น้อยปั่นจักรยานตามไม่ลดละ “พี่ปิ่นเดี๋ยวก่อน พี่ปิ่น”
      
       น้อยนั่งหอบเหนื่อยมากๆ ปิ่นอนงค์หายใจแรงเพราะเหนื่อยเหมือนกัน สองคนอยู่ตรงร้านกาแฟโบราณในตรอกเล็กๆ ของชุมชน
       “อย่าบอกใครว่าพี่อยู่ที่นี่นะน้อย ถ้าคุณใหญ่รู้เข้า พี่เดือดร้อนแน่ๆ เลย”
       น้อยดูดโอเลี้ยงแก้กระหาย “เชื่อใจน้อยได้พี่ปิ่น น้อยไม่อยากให้พี่ปิ่นโดนตำรวจจับเข้าตะรางหรอก แล้วป้าอุ่นล่ะพี่ เป็นยังไงบ้าง”
       สีหน้าปิ่นอนงค์เศร้าสลด “ไม่เป็นอะไรหรอกน้อย ไม่ต้องห่วง พี่ดูแลแม่ได้”
       น้อยเล่าเรื่องร้ายๆ เมื่อคืนนี้ “เออ ... เมื่อคืนมีคนร้ายบุกเข้ามาเผาไร่ ยิงกันสนั่น คนงานเจ็บ” ปิ่นอนงค์ตกใจนึกห่วงใหญ่จับมือน้อยมาบีบ “ตั้งหลายคน น้อยเองก็เกือบตาย โชคดีรอดมาได้”
       “แล้ว...”
       น้อยดูนาฬิกาที่ข้อมือ แตะมือปิ่นอนงค์บอกเบาๆ “คุณใหญ่ปลอดภัยดีพี่ น้อยไปล่ะพี่ ต้องรีบกลับไปเตรียมอาหาร ถ้าไม่ถูกปากคุณใหญ่ นังน้อยสิ้นชีวาวายแน่”
       น้อยจะไป ปิ่นเรียกไว้ “เดี๋ยวสิน้อย พี่ช่วยได้นะ”
       ปิ่นอนงค์มองไปที่รถเข็นข้าวแกงของตัวเองที่จอดอยู่หน้าร้านกาแฟ
      
       ทุกคนกินข้าวกันอยู่ตรงโต๊ะอาหารเรือนใหญ่ มีไข่พะโล้ แกงส้ม ผัดผักรวม ซึ่งเป็นกับข้าวจากรถเข็นปิ่นอนงค์
       น้อยคอยดูแล ตักข้าวเติม รินน้ำให้
       “คอยดูนะอาปลอด ล้างบางคนชั่วหมดเมื่อไหร่ ผมจะบริหารไร่ไพศาลให้เจริญรุ่งเรืองติดอันดับแหล่งท่องเที่ยวของประเทศให้ ได้” ใหญ่บอกขณะเคี้ยวข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
       “ดีสิ อากับเพ็ญจะได้มาช่วยดูแล ถือว่าได้กลับบ้านเดิมอีกครั้ง” ปลอดตักกับข้าวให้เพ็ญ
       “หาวัวเนื้อพันธุ์ดีๆ มาลงเยอะๆ เปิดเป็นศูนย์สเต็กด้วย เนื้อวัวแปรรูปด้วย น้าเพ็ญเค้ารู้สูตรอาหารเยอะ”
       “งานนี้ไม่รับ น้าว่าวัวมันน่ารักน่าสงสาร ดูตาเค้าสิ ทั้งหวานทั้งเศร้า”
       ใหญ่เห็นด้วย “น้าเพ็ญพูดถูก แค่รายได้จากน้ำนมวัว ก็เลี้ยงชีวิตคนงานในไร่ได้แล้ว ไปเอาชีวิตเค้าอีก เท่ากับไม่รู้บุญคุณกัน ปิ่นเค้าบอกว่า...”
       ใหญ่หลุดปาก แต่พอรู้ตัว ก็ชะงัก
       ปลอด ปานเทพ และเพ็ญ สบตากัน มองจ้องใหญ่รอฟัง
       ใหญ่แก้เก้อตักข้าวกิน “น้อย ขอเติมข้าวอีกทัพพี”
       “วันนี้คุณใหญ่เติมข้าว แปลกจริง ทุกครั้งแค่จานเดียวก็อิ่มแล้ว”
       “ก็น้าเพ็ญทำกับข้าวอร่อยนี่ครับ ผมเลยต้องกินเยอะหน่อย”
       เพ็ญหน้าเหลอหลา “น้าไม่ได้ทำนะ แขนยังเจ็บอยู่เลย”
       ใหญ่หันไปหาน้อย น้อยยิ้มเรี่ยราด หลบตา “เอ้อ ... น้อยเห็นน้าเพ็ญยังทำกับข้าวไม่ได้ เลยไปซื้อกับข้าวจากตลาดมาค่ะ”
       “ถ้าอย่างนั้นน้อยไปสั่งร้านนี้มาทุกมื้อเลยนะ อร่อยดี”
       ใหญ่ตักกับข้าวใส่จาน กินอย่างเอร็ดอร่อย
       น้อยมองใหญ่ คิดถึงปิ่นอนงค์ขึ้นมา
      
       บ่อนในบ้านเสี่ยตง ทั้งเจ้ามือ และนักพนันชายหญิง กว่า 20 คน กำลังลุ้นมันส์ สมุนเสี่ย 3 คน คุมเชิง ตรงมุมหนึ่งในห้องเป็นบาร์เล็กๆ มีบาร์เทนเดอร์ยืนอยู่
      
       ครองสุขพร้อมขาไพ่อีก 7 คน กรีดไพ่ที่โต๊ะลุ้นตัวโก่ง “แปดเด้ง...”
       เจ้ามือบอก “เจ้ามือ เก้าแต้มครับ”
       เจ้ามือรวบไพ่และเงินลูกขาโต๊ะทั้ง 7 คน ไปรวมหน้าเจ้ามือ ครองสุขอารมณ์เสียลุกพรวด หยิบกระเป๋า เดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ บาร์เทนเดอร์รินเหล้าสีชมพูวางหน้าครองสุข ครองสุขเครียด ยกจะดื่ม
       ธีระเดินนำนักพนันเข้ามาใหม่ เป็นชาย-หญิง เดินนำไปนั่งที่โต๊ะ แล้วปรี่มานวดไหล่ครองสุข
       “บวกมั้ยพี่ อย่าลืมส่วนแบ่งผมนะ” ธีระว่า
       “แบ่งบ้าอะไร หมดไปแสนกว่าแล้ว” ครองสุขหน้าบูดบึ้ง
       “เงินปิ่นยังเหลืออีกนี่พี่ ขอหุ้นกับเจ้าเลย จะได้เป็นกอบเป็นกำเต็มๆ”
       ครองสุขครุ่นคิดแล้วตกลง “เออ ... ดีๆ หุ้นกับเจ้าดีกว่า”
       ครองสุขดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
      
       ด้านอรสอางค์นั่งที่เตียง ถุงเสื้อผ้าตามห้างรายล้อมตัว
       ทรรศนะเข้าห้องมา หน้าเครียด นั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง เอามือเสยผม
       อรสอางค์ลุกไปนั่งข้างๆ “เป็นอะไรคะ หน้าตาเครียดมาเชียว”
       “ผมไม่ชอบทำงานอย่างนี้เลย ต้องเอาชื่อพ่ออรไปอ้างฮั้วประมูลงานให้เสี่ยตง มันทั้งน่าอาย ทั้งผิดกฎหมาย”
       “คิดมาก ใครๆเค้าก็ทำกันทั้งนั้น”
       ทรรศนะเซ็ง มองที่เตียง เห็นถุงข้าวของ “ช็อปปิ้งอีกแล้วเหรอ อรเอาเงินมาจากไหน”
       “เสี่ยตงเค้าให้” อรสอางค์บอก
       ทรรศนะเตือนดีๆ “อร ตอนนี้เราต้องช่วยกันประหยัดสิ มีอะไรก็ใช้ๆ ไปก่อน”
       “เกิดมา ก็เพิ่งมาเจอความลำบากลำบนอย่างนี้ จะให้ประหยัดอะไรอีก หรือจะให้อรออกไปขอทานเค้ากินนะถึงจะพอใจ”
       ทรรศนะเริ่มขึ้นเสียง “แล้วไปรับเงินจากเสี่ยตง มันต่างจากขอทานตรงไหน”
       อรสอางค์สวนกลับอย่างไม่พอใจ “นี่นะกล้าด่าอรเป็นขอทานเหรอ ขอโทษอรเดี๋ยวนี้นะ”
       “ถ้าไม่จริงก็อย่าเดือดร้อน”
       ทรรศนะเดินหนีไปที่ประตู อรสอางค์หยิบถุงผ้าปูที่นอนเขวี้ยงใส่ จิ๋วเปิดประตูเข้ามาโดนเข้าไปเต็มหน้า “ว้าย แหก”
       ทรรศนะมองจิ๋ว มองอรสอางค์ แล้วพูดประชด “สมเป็นผู้ดีทั้งคู่”
       ทรรศนะออกไป จิ๋วเลิ่กลั่กรีบยกมือขอโทษอรสอางค์
       “ขอประทานโทษค่ะคุณหนู เกิดอะไรขึ้นคะ”
       อรสอางค์ไม่ตอบ หน้าบูดบึ้งฉุนทรรศนะเอามากๆ
      
       ไม่นานหลังจากนั้นทรรศนะก็พาตัวเองมานั่งอยู่ร้านลาบน้ำตกส้มตำ และกำลังเมาแอ่นโงกเงกไปมา มีขวดเบียร์ตั้งบ้างล้มบ้างบนโต๊ะ 8 ขวด ทรรศนะเรียกเด็กเสิร์ฟมาเก็บเงิน หยิบรูปจากกระเป๋าสตางค์ออกมาดู
       เป็นรูปทรรศนะ กับปิ่นอนงค์ถ่ายคู่กัน ทรรศนะสวมในชุดนักศึกษา ปิ่นอนงค์อยู่ในชุดนักเรียนมัธยม ปลาย ทรรศนะมองแล้วยิ้มให้รูปนั้น
       ระหว่างนั้นปิ่นอนงค์เข็นรถผ่านไปไกลๆ ทรรศนะเห็นในกรอบสายตา พยายามเขม้นมอง และขยี้ตามองซ้ำ “ปิ่น ... ปิ่นอนงค์”
       ทรรศนะลุกพรวด อย่างดีใจ แต่แล้วล้มกลับลุกคลุกคลาน ทรงตัวไม่อยู่
      
       ทรรศนะเดินเซประคองร่างมาตรงทางเดินกลางตลาด สวนกับผู้คนที่ต่างทำหน้ารังเกียจทรรศนะเพราะกลิ่นเหล้าคลุ้ง ทรรศนะยืน เหลียวมองไปมา เห็นแต่หน้าผู้คนไม่คุ้นตา และแสงไฟในตลาด
      
       ทรรศนะหมุนรอบตัวมองหาปิ่นอนงค์ ยืนกะพริบตาถี่ เดินโซเซไป
ขอขอบคุณจากmanager.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น