วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครสาวน้อย ตอนที่ ๓ วันที่ 12 ก.ค. 55

ท้องฟ้ารุ่งสาง เมฆขาวหมู่ใหญ่กำลังเคลื่อนไป บริเวณพงหญ้ารก สรรค์นอนหงายดวงตาจ้องมองขึ้นไปมีความว่างเปล่าเลื่อนลอยอยู่ เมฆขาวนั้นแปรเปลี่ยนรูปเปลี่ยนไป สรรค์กระพริบตาแล้วยันกายขึ้นนั่งมองดูรอบๆ ตัวที่ถูกรายล้อมด้วยพงหญ้ารกและที่ดินว่างเปล่าดูเวิ้งว้าง แล้วทันใด สรรค์ก็รู้สึกปวดอย่างรุนแรงที่ท้ายทอยจนต้องร้องออกมา
       “โอ๊ย”
       สรรค์เอามือแตะท้ายทอย แผลที่ปรินั้นแห้งแล้ว สรรค์เอามือมาดูเห็นเพียงคราบเลือดแห้งกรังและเมื่อก้มมองตัวเองก็พบว่า ตนเองใส่เพียงกางเกงชั้นในขาสั้น สรรค์ลุกขึ้นจะก้าวเดินไป เท้าก็เตะเข้ากับกองผ้าจึงก้มหยิบเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขาสั้นสีกากี รองเท้าผ้าใบขึ้นมาดูอย่างงุนงง พยายามคิดแต่สมองก็ยังมึนชาอยู่
       สรรค์สวมเสื้อผ้านั้นเดินไปเรื่อยๆบนถนนสายเปลี่ยวนั้นอย่างเลื่อน ลอย ผ่านบ้านคน แม่บ้าน ลูกสาว คนใช้ออกมาตักบาตรพระสงฆ์ สาวใช้มองสรรค์แล้วซุบซิบกัน
       สรรค์เดินผ่านไปยังห้องแถวไม้ของคนจีน บ้างก็กำลังต้อนรับลูกค้า บ้างเพิ่งเปิดร้าน แม่บ้านออกมาซื้อของ ย่านนั้นมีคนแก่มอร์นิ่งวอล์กอยู่ เมื่อผ่านบรรดาร้านรวงและผู้คน คนจีนออกมาต้อนรับเพราะคิดว่าสรรค์เป็นลูกค้า แต่พอเห็นสภาพแล้วก็โบกมือไล่ แม่บ้านเดินเลี่ยงหลีกทาง คนแก่พูดว่า “พวกขี้เหล้า”
       กรรมกรจีน ๓ - ๔ คนโผล่มาจากซอยเดินนำหน้าสรรค์ สรรค์มองดูแล้วเดินตาม กรรมกรจีนมองสรรค์อย่างสงสัย เมื่อกรรมกรจีนหมู่นั้นเดินเลี้ยวเข้าซอย สรรค์ยังคงเดินตาม และเห็นกรรมกรจีนเลี้ยวมาสมทบกันมากขึ้น
      
       ท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นท่าเรือนานาชาติขนาดใหญ่ มีเรือกลไฟหลายลำจอดอยู่
      
       ท่าเรือบริษัท อีสต์ เอเชียติก ถ.เจริญกรุง บางรัก
      
       ด้านหนึ่งมีเรือโป๊ะขนข้าวสารจอดติดกับท่า คนจีนหมู่นั้นก็เดินเรียงแถวขึ้นไปบนเรือโป๊ะ สรรค์เดินตามขึ้นไปด้วย
       บนเรือโป๊ะมีกระสอบข้าวสารวางซ้อนกันหลายแถว บรรดากรรมกรจีน บ้างหาที่นั่ง บ้างหาที่เอนหลัง หัวหน้ากรรมกรจีนวัยราว ๓๕ ปีก้าวมาบนเรือกวาดสายตามองจากบนเรือเห็นบรรดากรรมกรจีน บ้างก็ตัวขาวซีด บ้างล่ำสัน บ้างผอมแห้งแรงน้อย บ้างยังหนุ่ม บ้างก็เข้าวัยกลางคน ส่วนใหญ่ใส่เสื้อสีมอๆ กางเกงจีนบ้าง กางเกงขาสั้นบ้าง จนถึงสรรค์ซึ่งมีผิวขาวแต่ไม่ซีด ท่วงท่าดูผึ่งผายกว่าทุกคน หัวหน้ากรรมกรจีนมองผ่านไปยังกรรมกรคนอื่นๆ แล้วก็ชะงักหันกลับมามองดูสรรค์ที่เอ้อระเหยมองดูแม่น้ำอยู่ หัวหน้ากรรมกรเขม้นมองแล้วงุนงงเกาหัว
       “ลื้อจาไปไหน” หัวหน้ากรรมกรจีนถาม
       สรรค์นิ่งไปนิดแล้วบอก
       “อั๊วไปกับลื้อ ไปไหนก็ได้”
       “นี่มิช่ายเรือเที่ยวเล่น นี่ทุกคนไปทำงาง ไปขงข้าวสางลงเรือใหญ่ที่โกะสีชัง ลื้อไปล่วยทำไล”
       “ให้อั๊วไปช่วยขนด้วยคนนะ เถ้าแก่”
       หัวหน้ากรรมกรยิ้มออกเมื่อได้ยินคำเถ้าแก่
       “ลื้อจาทำไหวเหลอ”
       “ไหวซี อั๊วทำไหว อั๊วรับรอง”
       หัวหน้ากรรมกรมาจับๆ บีบๆ แถวอกและแขน สรรค์ยกแขนขึ้นกล้ามที่ต้นแขนเป็นลูก หัวหน้ากรรมกรบีบดู
       “เออ ลื้อแข็งแรงจริงๆ ล่วย ก้ามของลื้อโตกว่าลูกน้องอั๊วบางคนซะอีก”
       กรรมกรจีนหนุ่ม ท่าทางกระตือรือร้นจิตใจดีโผล่มาเมียงมอง
       “ไม่เหมือนลื้อ อาล็อก . . . ผอมยังกาแย้”
       อาล็อกค้อนขวับ
       “เอ้า ลื้อจาทำงานก็ล่าย อั๊วรับลื้อ”
       หัวหน้ากรรมกรเดินไป อาล็อกยิ้มให้สรรค์แล้วนั่งลงข้างๆ สรรค์ยิ้มตอบแล้วเหม่อมองทอดสายตาไปข้างหน้า
       เรือกลไฟลากเรือโป๊ะขนข้าว ๓ ลำแล่นไปสู่ปากน้ำ ท้องฟ้าสว่างขึ้น มีเมฆขาวที่ปลายฟ้า
      
       บังกาโลว์เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวทาสีขาวสะอาดตั้งอยู่ห่างจากทะเลและ บังกาโลว์หลังอื่นๆ อีก ๔ หลังราว ๑๐๐ เมตร ที่หน้าบ้านมีเก้าอี้ผ้าใบสีขาวมอๆ มีต้นไม้พุ่มปลูกต่อกันเป็นแนวรั้วเตี้ยๆ ถัดไปเป็นสันทรายก่อนจะทอดลงหาดที่ทรายไม่ขาวสะอาดนัก ในบังกา โลว์เปิดประตูหน้าต่างไว้ มีเสียงเพลงโอเปร่าเปิดดัง ม่านที่บังไว้ทำให้เห็นเงาคนเดินว่อบแว่บไปมาในบ้าน แต่เห็นไม่ชัดนัก
      
       บังกาโลว์ เกาะสีชัง สมุทรปราการ (๑)
      
       บริเวณสันทรายมีผักบุ้งทะเลออกดอกพราว แล้วดอกผักบุ้งและใบก็เคลื่อนไหว แก้วเด็กสาววัย ๑๗ ปี ผมบ็อบแค่คอ หน้าตาแก่นแก้ว จมูกรั้น แววตาเอาเรื่อง สวมมงกุฎที่ร้อยจากดอกและผักบุ้งทะเลอยู่บนศีรษะ แก้วหันไปกระซิบข้างๆ
       “นั่นไง นิด”
       ข้างกายแก้ว ดอกและใบผักบุ้งทะเลโผล่ขึ้นอีก มันสวมอยู่บนศีรษะเด็กสาววัยเดียวกัน แต่ผมยาวสยาย หน้าตาสวยใสบริสุทธิ์ ตาโต ขนตาเป็นแพหนา และในเวลาต่อเนื่อง มีหัวเด็กชายสองคนโผล่ขึ้น คนหนึ่งผมเปีย คนหนึ่งผมแกละ อยู่ระหว่างนิดกับแก้ว
       “ออกมาแล้ว” นิดบอก
       นิดเขม้นมองไป ยกมือ ๒ ข้างขึ้นมาตรงหน้า แก้วกับเปียและแกละก็จ้องเป๋งไปยังบังกาโลว์ ร่างๆ หนึ่งก้าวออกมาจากบังกาโลว์เป็นฝรั่งแก่วัยราว ๕๐ ปี ตัวผอมสวมเสื้อคลุมอาบน้ำผูกผ้าพันเอวไว้หลวมๆ เดินออกมาที่ระเบียงเป็นจังหวะเดียวกับที่จานเสียงหมดช่วงเพลงบรรเลง เข้าส่วนเนื้อร้องของเพลงโอเปร่า
       “โอว....”
       ฮิปปี้ก่อนยุคพลันแผดร้องเพลงโอเปร่า ผายมือกรายมือออกท่าทางราวอยู่บนเวทีหรูหรา เสียงร้องนั้นก้องกังวานกลบเสียงร้องในแผ่นเสียง
       นิดฟังอย่างซาบซึ้งกึ่งทึ่ง แต่แก้วทำหน้าเหย เด็กทั้งสองก็เอานิ้วอุดหู
       ฝรั่งร้องเพลงไปแล้วก็เคลื่อนตัวจากระเบียงลงบันได ๓ ขั้นมาที่เก้าอี้ผ้าใบโดยที่ยังคงท่วงท่าลีลาแสดงอยู่ เพลงเข้าสู่ช่วงไคลแมกซ์
       นิดยังคงฟังอย่างพิศวง มือ ๒ ข้างยกรออยู่ แก้วหน้าเบ้ เด็กสองคนทำหน้าบิดเบี้ยว
       ฝรั่งฮิปปี้ร้องโหยหวน พร้อมกับกางเสื้อคลุมพรึ่บ เสื้อลงไปกองแทบเท้า
       นิดยกมือปิดตา แต่แก้วตาโตเท่าไข่ฝรั่ง เด็กเปียและแกละตาเหลือก
       ฝรั่งยืนค้างกางสองแขนร้องจบลง แล้วเชิดหน้า นอนลงบนเก้าอี้ผ้าใบให้แสงแดดอาบร่างกาย ทำให้ภาพอุจาดลดลง
       นิดยังคงปิดตา
       “นอนลงหรือยัง” นิดถาม
       “นอนแล้ว” แก้วบอก
       นิดเอามือลงแล้วถอนใจ แก้วหัวเราะคิกคัก เด็กเปียและแกละเอามือปิดปากหัวเราะขลุกๆ นิดมองหน้าแล้วหัวเราะกิ๊กอย่างอดรนทนไม่ไหว
       ทันใดก็มีร่างมาบังแสงแดด เงาทาบลงบนตัวของนิดกับแก้ว ทั้งคู่ชะงักแหงนดู เห็นชายสองคน คนแรกหน้าตามีเค้านิด เป็นผู้ชายหน้าสวยดูอ่อนโยนใจดี กับอีกคนที่บึกบึน คมเข้ม จนดูดุกำลังมองสองสาวอย่างเอาเรื่อง
       “นิด แก้ว นี่มาทำอะไร” เนื่องถาม
       “จะทำอะไรก็มาแอบดูฝรั่งแก้ผ้าอีกน่ะซี” เชิดบอก
       นิดทำหน้าเรี่ย แต่แก้วอมยิ้มเชิดหน้า เด็ก ๒ คนหัวเราะกันคิกคัก
       “กลับเดี๋ยวนี้นะ อะไร ไม่รู้จักอาย” เนื่องบอก
       “ฉันเปล่านะพี่เนื่อง” นิดบอก
       “อายเหรอ อายทำไม ฉันไม่ได้แก้ผ้าซักหน่อย” แก้วว่า
       แก้วพูดไม่ทันขาดคำเนื่องก็เอานิ้วดึงหู แก้วร้องอุทาน เชิดส่งมือมาให้นิดแล้วดึงให้ลุกขึ้น
       “กลับกันเถอะนิด” เชิดบอก
       “จ้ะ พี่เชิด”
       เชิดหันไปหาเด็กเปียและแกละแล้วตวาด
      
       “ไอ้สองตัวนี้ด้วย ไป๊”
       ฝรั่งฮิปปี้ได้ยินแว่วๆ จึงคว้าผ้ามาปิดจุดสำคัญแล้วลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ผ้าใบเบิกตาโพลง
       “มาอีกแล้ว ไอ้พวกทาหลึง”
       แก้ว นิด เชิด เนื่อง เด็กเปียและแกละสะดุ้งเฮือกหันมาเห็นฝรั่งเต้นอยู่
       “พวกเด็กเปรต” ฮิปปี้บอก
       “แกนั่นแหละ เปรต เปรตแก้ผ้าโทงๆ” แก้วพูดตอบโต้
       แก้วพูดไม่ทันขาดคำก็มีดินเหลวๆปาเผละเข้ามาเต็มหน้า ฝรั่งระดมขว้างดินจากกระถางต้นไม้มาโดนนิดบ้าง เชิดบ้าง โดนเด็กเปียกับแกละบ้าง แก้วก้มลงคว้าทรายเปียกปากลับ นิดปาด้วย สองเด็กก็คว้าทรายรุมกันปาใส่ฝรั่ง
       “เฮ้ย หยุด อย่าทำเขา” เนื่องบอก
       ยังไม่ทันขาดคำดินก็ปามาเต็มหน้าเนื่อง เนื่องร้องอุทานแล้วระดมปาบ้าง ครู่เดียวน้ำน้อยก็แพ้ไฟ ฝรั่งก็ผ้าหลุดมือ แก้ว นิดร้องวี้ดแล้ววิ่งหนี เนื่อง เชิดกับเด็กสองคนวิ่งตาม ฝรั่งยืนเย้ยฟ้าท้าทะเล
       “เสียอารมณ์อาบแดดหมด”
 บ้านนิดเป็นบ้านแบบชนบท ตัวบ้านยกพื้นสูงจากดินราวสองวา มีห้องด้านใน ๓ ห้อง แล้วมีส่วนระเบียงและชานเรือน ทางด้านหลังเป็นครัว ใต้ถุนเรือนเป็นที่เลี้ยงไก่ หลังคามุงจากทางหลังบ้านเป็นเชิงเขา มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูก มีโอ่งน้ำฝนมากมายและมีบ่อน้ำที่ขุดไว้กักน้ำฝนราวบึงขนาดใหญ่
        ทางด้านหน้าบ้านเป็นหาดทรายแคบๆ สีคล้ำกับโขดหิน ถัดไปเป็นท้องทะเลสีคราม มีเรือกลไฟและเรือใบแล่นอยู่ในทะเล
        นางนิ่มวัยราว ๔๕ ปีมีเค้าสะสวยยืนอยู่บนชานเรือน เนื่องอยู่ที่เชิงบันได แก้วและนิดอยู่ที่พื้นดินด้านล่าง เชิดยืนคุมอยู่ข้างหลังแก้วกับนิดอยู่ นิดมอมแมมนิดหน่อย แต่แก้วนั้นหน้าดำไปครึ่งหนึ่ง
        “ลูกหนอลูก ทำไมเป็นคนอย่างนี้ฮะลูก นิด”
        นางนิ่มพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ นิดก้มหน้าอย่างกริ่งเกรงเล็กน้อย แต่แก้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
        “แก้วก็อีกคน”
        แก้วสะดุ้งเฮือก เนื่องทำหน้าสะใจแก้วตาเขียวใส่
        “หนูไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดี หนูแค่ไปฟังฝรั่งร้องเพลง” นิดบอก
        “ไม่เหมือนฉัน ฉันไปดูฝรั่งแก้ผ้า” แก้วบอก
        “ดู๊ แม่คุณ ยังมีหน้ามาบอก” นางนิ่มว่า
        “จริงๆ นะแม่ เขาร้องเพลงแปลกจังเลย วันก่อนนายด่านบอกนิดว่า เขาเรียกว่าเพลงโอเปร่า”
        “จะเพลงอะไรก็ช่างมันเถอะ ทีหลังอย่าไปดูมันอีกนะมันไม่ดี เราเป็นสาวเป็นนางนะลูก”
        “จ้ะ” นิดตอบเสียงอ่อย
        “เป็นสาวน่ะฉันเข้าใจ แต่เป็นนางน่ะมันต้องมีผัวก่อนไม่ใช่หรือน้า” แก้วว่า
        นางนิ่มตบอกผาง เนื่องเหนื่อยหน่าย แต่เชิดหัวเราะเบาๆ
        “นี่แม่แก้ว ปากหนอปาก”
        นิ่มเดินลงบันไดมาพิศดูลูกสาว
        “แล้วทำไมถึงได้มอมอย่างงี้ล่ะ”
        “จะอะไรล่ะแม่ ก็โดนไอ้ชีเปลือยนั่นเอาดินปาน่ะซี” เนื่องบอก
        “ไม่ไหว แม่จะจับหนูอาบน้ำ”
        “ไม่เอา” นิดบอก
        นิดทำท่าจะเผ่นหนีนิ่มคว้าข้อมือไว้
        “แม่แก้วด้วย อาบซะด้วยกัน” นางนิ่มบอก
        แก้วตาเหลือกขยับจะวิ่ง แต่เนื่องจับคว้าตัวไว้ก่อน แก้วพอโดนเนื่องจับไว้ก็หน้าแดงไม่ขัดขืนเท่าที่ควร
        “หนูไม่เกี่ยวนะน้า” แก้วบอก
        “ไม่เกี่ยวอะไรแกน่ะตัวดี ดูรึ หน้าดำอย่างกะนังชั่นบ้อเหมา (๒)
        “ฮ่ะ ฮ่ะ จริง” เนื่องบอก
        แก้วมองค้อน
        “แล้วทำไมแม่ไม่จับพี่เนื่องกับพี่เชิดอาบบ้างล่ะ” นิดว่า
        “พี่ไม่เกี่ยวซักหน่อย เดี๋ยววิ่งลงทะเลก็พอแล้ว” เชิดบอก
        “พี่เขาเป็นผู้ชายจะมอมแมมบ้างก็ช่างเถอะ แต่หนูสองคนน่ะเป็นสาวเป็นแส้” นางนิ่มว่า
        “เป็นยังไงจ๊ะ เป็นแส้เนี่ย” แก้วถามกวน
        “ฉันกะแล้วว่าเธอต้องถาม” เนื่องบอก
        “ก็ถ้าหนูไม่ยอมอาบน้ำดีๆ ก็จะโดนแส้เฆี่ยนน่ะซีจ๊ะ” นางนิ่มพูด
        นิดกับแก้วคอหดไปทันที
      
        บริเวณลานซักล้างที่หลังบ้านมีโอ่งน้ำฝนเรียงรายราว ๒๐ ใบที่มุมหนึ่งปูด้วยหินและกรวดอัดแน่น วางแคร่ไม้ไผ่ มีตุ่มน้ำขนาดเล็กอยู่ข้างๆ นิ่มใช้กระบวยตักน้ำราดหัวลูกสาวและแก้วที่นั่งอยู่บนแคร่ นางนิ่มหันไปคว้ามะขามเปียกจากชามกระเบื้องถูหลังให้นิด นิดเองก็เอามะขามเปียกถูหลังให้แก้ว นิดหน้าเหยเกแต่แก้วแหกปากร้องลั่น
      
        “โอ๊ย แสบ แสบ แสบโว้ย”
        “โอ๊ย ตายแล้วปากคอ ตบปากเสียทีดีไหมเนี่ย” นางนิ่มว่า
        “ไม่ดีจ้ะ โอ๊ย แสบ”
        แก้วดิ้นบิดตัวไปมา
        “นี่นั่งดีๆ ซี เดี๋ยวผ้าถุงก็หลุดหรอก” นิดบอก
        ขาดคำ ผ้าถุงที่แก้วนุ่งอยู่ก็ปมหลุดผ้าเลื่อนจากอก เนื่องเดินถือชามใส่ขมิ้นผงเดินมาพอดี เลยร้องเฮ้ยแล้วรีบหลับตา แก้วหน้าแดงดึงหูเนื่องแล้วรีบตะครุบผ้าไว้
        “ไอ้พี่เนื่อง เข้ามาทำไม”
        “ปิดดีหรือยัง ไม่อยากเห็นของเอ็ง”
        เนื่องหรี่ตาดูเห็นว่าแก้วไม่ได้โป๊แล้วก็เข้ามา แก้วสะบัดหน้าพรืด
        “เชอะ”
        “พี่เนื่อง เอาชามขมิ้นมาแล้วไปได้แล้ว”
        นิดดึงชามขมิ้นมา เนื่องบ่นอุบอิบ แก้วเอามือปิดนมไว้แน่น
        “เฮ้อ ทำคุณบูชาโทษ” เนื่องว่า
        เนื่องเดินออกไป นิดกับแก้วเอามะขามเปียกถูแขนต่อ
      
        นิดและแก้วนั่งอยู่ตัวเหลืองอมส้มไปตั้งแต่หัวจรดเท้า นิ่มเอามือขัดวน นิดขัดถูตัวเอง แต่แก้วทิ้งมือทิ้งเท้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก นิดเลยต้องขัดให้แก้วต่อ แก้วตัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงมือ
        “นี่นั่งดีๆ ซี เดี๋ยวผ้าก็หลุดอีกหรอก” นิดบอก
        “ช่างมัน”
        ขาดคำผ้าก็หลุดอีก พอดีกับเชิดเดินเข้ามา เชิดร้องลั่น หันหลังให้ แก้วร้องวี้ด ดึงผ้ามาปิดจนถึงคาง
        “ว้าย ตายแล้ว เชิดเข้ามาทำไม” นางนิ่มถาม
        เชิดยืนหันหลังในมือมีชามใส่มะกรูดฝานอยู่หลายชิ้น
        “ไอ้เนื่องมันให้ฉันเอามะกรูดมาให้น้าน่ะจ้ะ” เชิดบอก
        นางนิ่มเดินมาคว้ามชามมะกรูดไปแล้วรุนหลังเชิดบอก
        “ไปไป๊ ทีหลังห้ามเข้ามานะ น้องมันเป็นสาวแล้ว”
        “ฉันเห็นแล้ว เอ๊ย ฉันรู้แล้วจ้ะ”
        เชิดเดินไป นางนิ่มถือชามมานั่งบนแคร่อย่างอ่อนใจ นิดอมยิ้ม แก้วลดผ้าถุงลง สีหน้าแดงทะลุขมิ้น นิดหัวเราะ
        “ดีไหมล่ะเห็นกันทั่วทุกคนให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” นิดว่า
        “ฮือ แล้วทีนี้ใครจะเอาฉันไปเป็นเมียละน้า” แก้วถาม
      
        “ปากหนอปาก” นางนิ่มร้องอุทาน
        แก้วยังคงทำหน้าเบ้ แต่นิดหัวเราะจนตัวงอ
      
        บริเวณชานบ้านในเวลาต่อมา นิดขาวผุดผ่องไปหมดทั้งตัว ส่วนแก้วที่คล้ำกว่าก็ดูเหลืองอมเลือดอมฝาด นางนิ่มกำลังเอาหวีสางผมให้นิดที่ยังชื้นอยู่ ส่วนแก้วซึ่งผมแห้งแล้วดูฟูไปทั้งหัวกำลังหยิบกระจกมาส่องดูที่นอกชานบ้าน ฝ่ายเชิดและเนื่องกำลังซ่อมแซมอวนกันอยู่
        “ค่อยดูได้ขึ้นมาหน่อย” นางนิ่มพูดขึ้น
        “ฉันไม่ใช่ชาววังนะน้า จะได้มาขัดสีฉวีวรรณแบบนี้” แก้วบอก
        “จะชาวบ้านชาววัง มันก็ของมีอยู่ในครัวเหมือนกัน” นางนิ่มว่า
        เชิดมองดูนิดด้วยสายตาชื่นชม เนื่องมองดูสายตาเชิดที่จ้องมองนิดอยู่ เชิดรีบกลบเกลื่อนทันที
        “อะไรวะ มองไม่วางตาเลย” เนื่องว่า
        “ฉันก็แค่แปลกใจที่นิดตากแดดตากลมทุกวันแต่ก็ขาวกว่าใครหมด”
        “นิดน่ะได้ผิวพ่อมา” นางนิ่มพูดขึ้น
        “แต่สวยเหมือนแม่ใช่ไหมจ๊ะ” นิดประจบ
        นางนิ่มหัวเราะ แก้วมองดูเนื่องแล้วถาม
        “แล้วฉันล่ะพี่เนื่องสวยไหม”
        “สวย สวยเหมือนไก่ย่างทาขมิ้นที่ตลาด” เนื่องบอก
        แก้วค้อนขวับทันที
        “เอ้อ เย็นนี้พี่จะติดเรือพี่เกื้อไปเมืองจันท์” เชิดบอก
        “ไปนานไหมจ๊ะ” นิดถาม
        “คงสักสี่ซ้าห้าวันมั้ง”
        “ยังไงก็กลับมาให้ทันเล่นสงกรานต์บ้านเราก็แล้วกัน”
        “ฮื่อ นิดอยากได้อะไรไหม พี่จะได้ซื้อมาให้”
        “ไม่รู้ซีจ๊ะ ไม่เห็นอยากได้อะไร”
        “แต่ฉันอยากได้แป้งผัดหน้าฝรั่งที่เป็นอับๆ น่ะ แล้วก็สีทาปากที่เป็นแท่ง” แก้วบอก
        แก้วไม่ได้อยากได้จริงๆ เพียงแต่แกล้งสอด้วยความหมั่นไส้ เชิดมองเป็นเชิงว่า “ฉันจะซื้อให้ทำไม” แก้วลุกขึ้น
        “เอ็งจะเอาไปแต่งเล่นละครลิงเหรอ” เนื่องถาม
        “ฮึ ถ้าฉันแต่งขึ้นมาละก็อาจจะสวยกว่าสาวๆ ชาวกรุงที่ตลาดหน้าด่านก็ได้ หลวงพ่อที่วัดยังบอกเลยว่าฉันน่ะมีวาสนา” แก้วบอก
        “เอ็งอย่ามาอ้างหลวงพ่อ ข้าไม่เชื่อ”
        “จริงๆ นะ หลวงพ่อพูดจริงๆ ถ้าไม่จริงให้ฟ้าผ่าหัวซีเอ้า”
  ขาดคำก็มีก้อนหินปลิวมาโดนหัวแก้วดังป๊อก แก้วร้องกรี๊ดกุมหัว ทุกคนหันไปดูเห็นหญิงรูปร่างดำผอมเกร็งเท้าสะเอวอยู่ นิ่มหัวเราะ
       “เอ้า ยังไง พี่ใบขึ้นมาก่อนซี” นางนิ่มพูดอยู่บนชานบ้าน
       นางใบก้าวขึ้นมา แก้วหน้าม่อยไปทันทีพลางเอามือคลึงหัว
       “นายด่านบอกฉันว่า แกไปแอบดูฝรั่งแก้ผ้าอีกแล้วหรือ แหม นังคนนี้สัปดี้สีประดน กลับไปบ้านเดี๋ยวนี้นะ” นางใบบอก
       แก้วเชิดหน้าเดินลงบันไดโครมๆ ไป นางใบลงเรือนตามแก้วไป นางนิ่มที่อยู่บนชานบ้านมองตาม
       “น่าสงสารแก้ว ไม่ถูกกับพ่อเลี้ยงก็เลยมายึดบ้านเราเป็นที่พึ่ง” นางนิ่มว่า
       “ไม่ใช่แค่นั้นหรอกจ้ะ” นิดบอก
       นิดมองดูแก้วที่เดินไป เนื่องยังคงทำงานต่อไม่ใส่ใจ
      
       ริมทะเลในเวลาเย็น เรือหาปลาถูกเข็นขึ้นมาอยู่บนฝั่ง หาดทราย ทะเลสีครามสะท้อนแสงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำแลระยิบระยับ เนื่องเอาอวนมาพาดไว้ โดยมีนิดยืนอยู่ข้างๆ
       “คืนนี้ นิดต้องออกหาปลากับพี่” เนื่องบอก
       นิดทำหน้าเบ้
       “วะ เป็นชาวประมงแต่ไม่ชอบจับปลา” เนื่องพูดต่อ
       “ก็นิดสงสารปลามันนี่ ตอนมันพะงาบๆ น่าสงสารจะตาย” นิดบอก
       “เออ ดี สงสารมัน ไม่อยากจับ ไม่อยากฆ่า แต่ตอนกินน่ะเห็นกินได้กินดี”
       “พี่เนื่องอย่ามาพูดมาก เดี๋ยวคืนนี้ไม่ไปด้วยเลย”
       นิดแกล้งงอน เนื่องยิ้มอย่างอ่อนใจแล้วจัดอวนต่อ นิดมองไปยังทะเลเบื้องหน้า เห็นเรือสินค้าและเรือกลไฟใหญ่ลอยลำอยู่ มีเรือเล็ก เรือใบแล่นกำลังแล่นเข้าฝั่ง ท้องฟ้ามีเมฆขาวมหึมาลอยไป
      
       สรรค์นอนหลับบนกองกระสอบข้าวสารบนเรือโป๊ะ ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมาก สรรค์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเห็นเมฆใหญ่กำลังเคลื่อนตัวไปบนเวิ้งฟ้า ทันใด..อาล็อกก็โผล่หน้ามายิ้มเผล่
       “อาเสียมล้อ (๓) ลื้อตึ่งแล้วเหลอ”
       สรรค์ขยับลุกขึ้นนั่งแล้วบิดตัวเหยียดมือ อาล็อกมานั่งข้างๆ
       “ลื้อนองเก่งจิงๆ”
       “มันง่วงอย่างบอกไม่ถูก นี่มาถึงไหนแล้ว” สรรค์ถาม
       “อีกปะเหลียวก็ถึงโกะสีชังแล้ว อาเสียมล้อ ลื้อชื่อลาย”
      
       “ชื่อ .. ไม่รู้สิ”
       “หา! ลื้อมิลู้จักชื่อตัวเอง แล้วจาเรียกกังยังไง” ล็อกถาม
       “เมื่อกี้ลื้อเรียกอั๊วว่าอะไรล่ะ”
       “เลียกเสียมล้อ แปลว่าคงไท”
       “งั้นลื้อเรียกอั๊วว่า เสียม คำเดียวก็พอ”
       “ฮ่อ อั๊วชื่อล็อก เจ้านายเลียกว่า อาล็อก ส่วนไอ้นี่”
       เพื่อนคนจีนของล็อกคนนี้มีหน้าซีดเดินโผเผ
       “เจ้านายเลียก อาเจียน”
       “ชื่อเจียนเหรอ” สรรค์ถาม
       “ม่ายช่าย เจ้านายเลียกอาเจียน เพราะมังชอบเมาเลือแล้วอ้วกแตกทั้งวัง”
       ขาดคำอาเจียนก็ชะโงกหน้าไปอ้วกลงทะเล สรรค์ทำตาปริบๆ
       “ลื้อเป็นคงกุงเทพหรือ แต่ก่องลื้อทำงางอาไล”
       สรรค์นึก นึกแล้วก็ปวดหัวจนต้องกุมหัวไว้ อาล็อกเห็นแล้วก็ตกใจ
       “ไอ้หยา ลื้อม่ายลู้ก็ม่ายเป็งไล อย่านึกเลย”
       สรรค์ลดมือลงแล้วถอนใจ อาล็อกชี้มือไปเบื้องหน้า สรรค์มองตาม
       “โน่งไง โกะสีชัง”
      
       บนเรือโป๊ะกลางทะเลสีคราม สรรค์มองไปยังเกาะใหญ่ซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้า เห็นแนวเขาหินสูงทะมึน ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาหินสีแดง ต่ำลงมาเป็นแนวต้นไม้หนาแน่นเขียวขจี สุดเกาะด้านหนึ่งมีประภาคารสูง รูปทรงแปลกตา ตรงพื้นราบเป็นท่าเรือ อาคารด่านภาษีและส่วนของตลาดหน้าด่านที่สรรค์เห็นอยู่รางๆ
       คลื่นใหญ่เป็นระยะซัดเข้าปะทะแนวหินโสโครกของเกาะเป็นฟองขาว ภาพนั้นดูงดงามอย่างประหลาด เพลงที่สรรค์เคยได้ยินในฝันประหลาดดังมาวูบหนึ่ง ราวเป็นยาทิพย์ทำให้ลืมความเจ็บปวดในศีรษะให้คลายไป สรรค์มองดูเกาะอย่างหลงใหลพลางว่า
       “สวย น่าอยู่เหลือเกิน”
       สรรค์มองดูเกาะสีชังเหมือนดั่งต้องมนต์สะกด
      
       เวลาผ่านไป ยามเย็นค่อยๆเลือนไปสู่ยามค่ำ เมื่อความืดแห่งรัตติกาลเข้าห่อคลุมเกาะสีชัง พื้นทะเลยังระยิบระยับ ริมเกาะบางส่วนมีคลื่นซัดโขดหินใหญ่แตกกระจายเป็นละอองสีขาว มีแสงวอมแวมจากตะเกียงตามบ้านและอาคารบนเกาะ รวมทั้งแสงจากเรือหาปลา ประภาคารส่งแสงสว่างเป็นลำยาว ดูคล้ายฟ้าแลบแปลบปลาบตลอดเวลา
      
       เรือโป๊ะจอดเทียบแนบกับเรือกลไฟใหญ่ มีตาข่ายเชือกเส้นใหญ่หย่อนจากเรือกลไฟลงมาในเรือโป๊ะ กรรมกรจีนเดินเรียงแถวแบกกระสอบข้าวสารบนหลังไปวางเรียงในตาข่ายเชือกจนครบ แปดกระสอบ ตาข่ายเชือกก็จะถูกยกขึ้น สรรค์แบกข้าวสารตามหลังอาล็อกอย่างแข็งขัน
       ตรงบริเวณกระสอบข้าวสารในมุมหนึ่งของปากเรือโป๊ะ สรรค์เหงื่อโทรมกาย ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรงบนกองกระสอบ อาล็อกมานั่งด้วย แสงไฟบนเรือยังสว่าง สรรค์หันมองดูเกาะสีชังอีกครั้งอย่างหลงใหล
       “ลื้อมองอาลาย”
       “เสร็จงานแล้ว เราจะได้ขึ้นไปเที่ยวบนเกาะไหม”
       “เรือจอดห่างขึ้งไปโกะไม่ล่ายหลอก”
       “ทำไมจะไม่ได้ก็ว่ายน้ำไปซี”
       “ลื้อก็โดนฉลามเจี๊ยะน่ะซี ไป...ไปทำงางต่อ”
      
       อาล็อกลุกขึ้น สรรค์ลุกตาม ลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง หอบเสียงเพลงดังกังวานไพเราะมาตามมา สรรค์ชะงักกึกไปเงี่ยหูฟัง เสียงเพลงดังมาอีก มันเป็นเพลงเดียวกับความฝันประหลาดของสรรค์ที่ได้พบกับเทวีแห่งแรงบันดาลใจ
      
       ภาพของสรรค์ที่ก้าวไปยังหาดทรายและเทพธิดาก้าวมาบนผิวน้ำแวบเข้ามา
       สรรค์หลับตานิ่งราวจะนึกให้ออกว่าเคยได้ยินเพลงนี้จากไหน
       ภาพเทพธิดายั่วเย้าและจุมพิตสรรค์
      
       สรรค์สะบัดหน้านึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แล้วก้าวมาที่กราบเรือทีละก้าว เพื่อเงี่ยหูฟังเพลงนั้นอีก เสียงฮัมเพลงประหลาดวิเวกหวานดังมาอีก มันกังวานใส หวานกึ่งเศร้าสร้อย กึ่งเร้นลับ เสียงนั้นราวเสียงนางพรายที่แทรกมากับเสียงลม แผ่วเบา แต่คราวนี้ดังต่อเนื่องไม่ขาดหาย สรรค์มองดูไปที่เกาะสีชังยามราตรียิ่งดูงดงามแลเร้นลับ แสงไฟจากประภาคารราวกระพริบเรียกให้สรรค์ไป เสียงเพลงดังขึ้นอีก สรรค์ก้าวไปราวถูกมนต์สะกด มือแกะกระดุมเสื้อออกช้าๆ แล้วปลดจากตัว ก้าวหายไป
       อาล็อกเดินมาจะเรียกสรรค์แต่กลับไม่พบเห็นใคร อาล็อกมองหาแล้วเท้าก็สะดุดกับรองเท้าผ้าใบกับเสื้อสีกากีที่สรรค์ใส่วาง กองอยู่ที่ริมกราบเรือ อาล็อกมองไปเห็นแต่ท้องทะเลกว้างมืดมิด
      
       สรรค์ว่ายน้ำตรงไปเบื้องหน้าด้วยดวงตาอันมุ่งมั่น เสียงฮัมเพลงยังคงดังอยู่ เกาะสีชังดูทะมึนอยู่เบื้องหน้า แสงจากประภาคารวูบวับ แสงนั้นทาบลงมายังร่างสรรค์
       เรือหาปลาลำเล็กแล่นอยู่ เนื่องเป็นคนยืนแจวท้ายเรือ แต่นิดกลับนั่งสบายอารมณ์ ส่งเสียงฮัมเพลง เสียงนั้นกังวานหวานสะท้อนสะท้านไปในความมืด แสงจากประภาคารส่องวูบวาบมาทางด้านหลัง บนเรือจุดตะเกียงรั้วไว้ดวงหนึ่ง
       สรรค์ยังคงว่ายน้ำตรงไปด้วยแววตาอันมุ่งมั่น ทว่ามือเท้าเริ่มช้าและอ่อนลงทุกขณะ เสียงฮัมเพลงยังดัง สรรค์ก็ยังคงว่ายต่อไป
       บนเรือหาปลา เนื่องมองน้องสาวอย่างหมั่นไส้นิดๆ
       “ส่งเสียงอย่างนี้ พอดีปลาหนีหมด” เนื่องบอก
       นิดหันมาค้อน แต่ยังฮัมเพลงต่ออย่างไม่สนใจ
       “ไม่เอาแล้ว พี่เหนื่อย เธอมาแจวแทน”
       นิดเลิกฮัมเพลงลุกขึ้นมาหา เนื่องปล่อยแจวเรือลง นอนเอนตัว เอาหัวหนุนอวน นิดแจวแทนอย่างชำนาญ เรือพุ่งไปเบื้องหน้า
       เสียงเพลงหายไป พร้อมกับสรรค์หมดแรงเฮือกสุดท้าย เขาพยายามชูคอราวกับจะเงี่ยหูฟังแต่ไม่มีเสียงเพลง สรรค์ลอยตัวในทะเลอย่างหลงทาง หูเงี่ย ตาส่ายมองหาต้นเสียงสวรรค์ที่ตามมาแต่ไม่เจอ
       นิดแจวเรือต่อ สรรค์ลอยคออยู่ในทะเลจนเริ่มหมดแรง ปล่อยตัวไปตามคลื่น ส่ายสายตามองหาความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เห็นอะไร ร่างผลุบโผล่อยู่ในน้ำพยายามให้จมูกอยู่บนผืนน้ำ แต่ดวงตาก็พร่าพรายมากขึ้นทุกที
       นิดแจวเรือ เนื่องฮัมเพลงขึ้นมาบ้าง นิดอมยิ้ม ทอดสายตาไปข้างหน้า แล้วชะงัก เขม้นมอง
       “เดี๋ยว พี่เนื่อง หยุดก่อน”
       “อะไรกัน นิด ทีตัวเองร้อง” เนื่องบอก
       “ไม่ใช่ พี่ ฉันเห็นเหมือนมีคนลอยคออยู่ทางโน้น” นิดบอก
ขอขอบคุณจาก manager.co.th 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น