วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครปิ่นอนงค์ ตอน 16 วันที่ 11 ก.ค. 55

 ปานเทพขับรถมาตามทางมุ่งหน้ากลับบ้านที่ใต้ เขาวางแผนชั่ววูบลักพาตัวทัศนีย์กลับไปที่เหมืองด้วย ทัศนีย์หรือจะยอมง่ายดาย ขัดขืนทุบตีจิกข่วนปานเทพพัลวัน
      
       “นี่จะพาชั้นไปไหน หยุดรถ ปล่อยชั้นลงเดี๋ยวนี้”
       ปานเทพโมโหเงื้อมือทำท่าจะตบ ทัศนีย์หลบวูบหยุดอาการ
       “เธอต้องโดนทำโทษ โทษฐานที่น้าเธอทำให้พ่อชั้นถูกจับ ทำให้พี่พงษ์ต้องตาย ด้วยแผนชั่วๆของน้าเธอ”
       ทัศนีย์โวยลั่น “ไอ้บ้า แผนบ้าอะไร พ่อนายนั่นแหละจะมาฆ่าน้าชั้นก่อน”
       ปานเทพหยิบมีดสปริงขึ้นมาดีดผึง คมมีดเล่นแสงแวววาว
       “ถ้าขัดขืน ขัดใจอะไรชั้นอีก ชั้นจะกรีดหน้าเธอ แทงเธอให้ยับกับมือเลย
       ปานเทพเอามีดออกมา สีหน้าเหี้ยมดุดัน “ตกลงๆ ฉัน ฉันจะนั่งเฉยๆ”
       จากนั้นทัศนีย์ก็นั่งตัวลีบ...กลัวตาย
      
       เช้าวันต่อมาใหญ่นั่งกินกาแฟอยู่ในห้องโถง ดูหนังสือพิมพ์บังหน้าบังตาอยู่ ส่วนเพ็ญซึ่งสวมชุดดำไว้ทุกข์นั่งจัดดอกไม้ถวายพระงานศพพงษ์อยู่ข้างๆ
       “สายป่านนี้ทำไมนายปานยังเดินทางมาไม่ถึง”
       จู่เสียงกรี๊ดๆ ของทัศนีย์ก็ดังแผดขึ้นมา พร้อมๆ กับที่ร่างทัศนีย์โดนผลักถลากางปีกเข้ามาล้มลงตรงหน้าใหญ่
       ใหญ่ลดหนังสือพิมพ์ลง ใหญ่ตกใจ ทัศนีย์สบตาใหญ่ แล้วร้องกรี๊ดวิ่งกลับไปกอดปานเทพ หลับหูหลับตาชี้
       “ผีคุณใหญ่ๆ”
       เพ็ญมองทัศนีย์ด้วยสายตางงๆ สักพักทัศนีย์จึงรู้สึกตัวว่ากอดปานเทพอยู่ รีบปล่อยปานเทพ หันมามองใหญ่อีกที
       เสียงใหญ่ถามอย่างเข้ม “แกพาทัศนีย์มาที่นี่ทำไม”
       คราวนี้ทัศนีย์กระพริบตาถี่ๆ เขม้นมองใหญ่ “คุณใหญ่ คุณใหญ่ยังไม่ตาย คุณใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ คุณใหญ่”
       ทัศนีย์ดีใจสุดขีดวิ่งถลาเข้าไปกอด ใหญ่รีบผลักออก “ถอยไป ที่นี่ไม่ใช่บ้านเธอ อย่ามาทำตัวรุ่มร่าม”
       เพ็ญมองปานเทพ “มันเรื่องอะไรกันนายปาน”
       “นายปานฉุดนีมา ฉันจะเอาเรื่องนาย” ทัศนีย์ฟ้องเพ็ญกะใหญ่
       ปานเทพเดินเข้าไปชี้หน้าทัศนีย์ “เธอต้องชดใช้แทนนังน้าเลวของเธอที่ทำให้พ่อชั้นต้องถูกจับติดตะราง”
       ทัศนีย์เถียงฉอดๆ “ชดใช้อะไรกัน ถ้าอยากได้เงินก็ไปเอากับคุณน้า ชั้นไม่มีให้นายหรอก”
       “เงินมันชดใช้อะไรไม่ได้หรอก ต้องเอาตัวเธอนั่นแหละชดใช้ พ่อชั้นต้องทุกข์ใจเพราะสูญเสียอิสรภาพยังไง เธอต้องโดนหนักกว่านั้น” ปานเทพบอกหน้าเคร่ง
       ทัศนีย์รีบถลาไปเกาะแขนใหญ่ เชิดหน้าไม่แยแส “ฉันเป็นญาติกับคุณใหญ่ คุณใหญ่ไม่มีทางยอมให้นายมารังแกชั้นหรอก”
       ปานเทพมองทัศนีย์ แววตาดุดัน
      
       ครู่ต่อมาปานเทพลากทัศนีย์มายังบ้านพักคนงาน ผ่านตรงกองขี้ควาย ทัศนีย์รีบปิดจมูกถอยหนี
       “อี๊ เหม็น สกปรก”
       ระหว่างนั้นคนงานหญิงคนหนึ่งกำลังตักขี้ควายใส่ถังมีหูหิ้ว
       “ป้าไม่ต้องทำแล้ว ให้ยัยนี่ทำแทน คนงานคนใหม่”
       ปานเทพบอกแล้วหยิบที่ตักส่งให้ทัศนีย์
       “ตักขี้ควายใส่ให้เต็มถัง แล้วยกไปทางโน้น เค้าจะย้อมผ้าจากขี้ควายกัน”
       อีกมุมไม่ไกลนัก คนงานหญิงอีกคนกำลังต้มน้ำในกะละมังสังกะสีบนเตาฟืน ป้าคนงานถือไม้ยาวยืนคนน้ำให้เดือด
       “ประสาทหรือ ย้อมผ้าด้วยขี้ควาย ใครจะบ้าใส่”
       คนงานยิ้มๆ บอก “ทำได้ค่ะ ทำขายได้ด้วย ขี้ควายมีประโยชน์เยอะอย่ารังเกียจมันเลยนังหนู”
       ปานเทพเหน็บ “หรืออาจจะมีประโยชน์กว่าเธอด้วยซ้ำ”
       ทัศนีย์โกรธที่โดนด่า “ฉันไม่ทำ ไม่ทำ ไม่ทำ”
       ปานเทพจับมือนีให้จับที่ตัก “ต้องทำ”
       “ไม่ทำ”
       ทัศนีย์สะบัดเต็มแรงแต่ล้มเอง แถมล้มไปแปะบนกองขี้ควาย ทัศนีย์ยกมือสองข้างขึ้นมาดู กลิ่นเหม็นหึ่งสองมือเต็มไปด้วยขี้ควาย
       ทัศนีย์ร้องกรี๊ดสุดเสียง “อ๊ายยย”
      
       พวกๆ ป้าคนงานอุดหูแทบไม่ทัน 
  ด้านปิ่นอนงค์อยู่ที่บริเวณสวนเกษตรอินทรีย์ครบวงจร ซึ่งเป็นสวนภายในเหมือง เพื่อให้คนงานบริโภค มีแปลงพืชผักสวนครัว เลี้ยงหมู เป็ด ไก่ และบ่อปลา
       
       ปิ่นอนงค์กำลังปักแนวแปลงผัก ใช้เชือกฟางผูกโยงหลักไม้เตี้ยๆ มี 4 แปลงด้วยกัน พอเสร็จปิ่นอนงค์ก็นั่งพรวนดินเด็ดวัชพืช ปาดเหงื่อไปพลาง
       เปี๊ยก หวาน และน้อย หิ้วถุงข้าวห่อ น้ำหวาน ถุงใส่ซองเมล็ดพันธุ์พืชเข้ามา
       น้อยแขวนถุงข้าวถุงน้ำที่ต้นไม้ แล้วเดินมา “ข้าวกับน้ำ แขวนไว้ตรงนี้นะ พี่ปิ่น”
       หวานกับเปี๊ยก เข้าไปยื่นถุงซองเมล็ดพันธุ์พืชให้
       หวานถามขึ้น “เอาจริงเหรอปิ่น”
       ปิ่นพยักหน้า ชี้ไปรอบๆ “ใช่ ปลูกเอาไว้เป็นของส่วนรวม ปิ่นมาอยู่เป็นสมาชิกใหม่ ต้องร่วมลงแรงกับเค้าด้วย”
       หวานหันไปคว้าจอบส่งให้เปี๊ยก ชี้ไปตามแปลงที่ปิ่นกั้นแนวเอาไว้
       “จัดการเลยเปี๊ยก เอาจอบปรับพื้นก่อน เดี๋ยวค่อยพรวนดินอีกที”
       เปี๊ยกอ้ำอึ้ง หวานคว้าเสียม เปี๊ยกรีบขุดดินด้วยจอบอย่างแข็งขัน
       ปิ่น หวาน และน้อย ช่วยกันลงเมล็ดพืช
       “แปลงนี้เป็นข้าวโพด ต่อไปเป็นฟักทอง แล้วก็…”
       ปิ่นอนงค์พูดไม่ทันจบคำ เสียงใหญ่ดังลอดเข้ามา “ทำอะไรกัน”
       หมู่มวลหยุดเหลียวไปมองใหญ่ เปี๊ยกรีบโยนจอบทิ้ง ใหญ่เดินเข้ามาเมียงมอง
       “ปิ่นจะปลูกผัก เอาไว้ทำกับข้าว”
       “ปลูกทำไม ก็มีอยู่แล้วเยอะแยะ”
       ปิ่นอนงค์รำคาญใหญ่จึงบอกให้สามคนกลับไป “พี่หวาน พี่เปี๊ยก น้อย กลับไปเถอะ เดี๋ยวปิ่นทำเอง”
       หวานพูดเบาๆ “ระวังๆหน่อยนะปิ่น เด็กในท้องมันจะกระทบกระเทือน”
       ปิ่นอนงค์จับท้องตัวเองแล้วยิ้มแหยๆ รู้สึกผิดที่โกหกทุกคน ใหญ่จ้องอยู่ปิ่นอนงค์รีบพูดกลบเกลื่อน
       “ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ จอมเค้าเป็นคนแข็งแรง ลูกก็ต้องแข็งแรงเหมือนพ่อด้วย”
       ใหญ่ปวดใจทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่สนใจ แต่ตาลุก เพราะริษยาพึมพำเบาๆ “หมั่นไส้”
       ใหญ่ส่งเสียงโวยวายพาลใส่ทันที
       “ก็ดีเหมือนกัน จะได้เพิ่มผลผลิต ทุกคนกลับไปช่วยงานน้าเพ็ญ ปิ่นอนงค์จัดการทุกแปลงของเธอให้เสร็จ จะได้ไปสับหยวกคลุกรำให้อาหารหมู ดูปลายข้าวให้ไก่ แล้วก็ไปเก็บไข่เป็ด เสร็จแล้วค่อยไปดูบ่อปลาทีหลัง”
       ปิ่นอนงค์นั่งฟังจนจบ แล้วคว้าจอบมาขุดดินท่าทีเงอะงะ แต่ตั้งใจ
       ใหญ่มองดูแล้วยิ้มเยาะ แววตาดุดัน
      
       ใหญ่จิบกาแฟสบายใจ นั่งที่โต๊ะสนาม กางร่ม มองปิ่นอนงค์ทำงาน
       ปิ่นอนงค์ขุดดินด้วยจอบทำไปได้ครึ่งแปลงแล้ว ยกแขนปาดเหงื่อ เงยหน้าดูแดด
       จังหวะที่ปิ่นอนงค์ยกจอบเงื้อขึ้นแล้วซวนเซไป แต่รีบตั้งหลักจับด้ามจอบ ปิ่นอนงค์หน้ามืดเป็นลมทรุดลงกับพื้น
       “เสียดายไม่ได้เอากล้องมาถ่าย จะได้ส่งไปชิงตุ๊กตาทอง เมื่อวานก็อาหารติดคอ วันนี้เป็นลมทรุดลงกับพื้น เล่นได้สม..” ใหญ่นั่งตบมือ “บทบาทจริงๆ เอ้าเร็วลุกขึ้นมาฟันดินต่อ ไหนว่าจะปลูกโน่นปลูกนี่ เพิ่งปรับดินได้ครึ่งแปลงเอง”
      
       ใหญ่กลับคิดว่าปิ่นอนงค์ทำสำออย
ปิ่นอนงค์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตาปรือ พยายามจะลุก ไม่ไหว
       
       “ถ้าไม่ไหวก็บอกมาตรงๆจะได้เอาร่มไปกางให้ แต่ถ้าขอร้องดีๆชั้นอาจจะใจดีพาเธอกลับกระท่อมก็ได้นะ”
       ปิ่นอนงค์มองใหญ่สายตาชิงชัง “คุณใหญ่อยากเห็นปิ่นขุดดินจนเหนื่อยตาย คุณใหญ่จะได้เห็น ปิ่นจะทำจนกว่าคุณใหญ่จะสะใจ”
       ปิ่นอนงค์พยายามยันตัวกับด้ามจอบหน้าสั่น ใหญ่แดกดันต่อ
       “อ๋อ ... อยากจะแก้แค้นด้วยการเอาชนะชั้นให้ได้ใช่มั้ย เอาเลยปิ่นอนงค์ ชั้นอยากดูเธอเป็นลมจนแดดเผาตายไปต่อหน้าต่อตา เอาสิตายให้ชั้นดูหน่อย เร็ว ...”
       ในที่สุดปิ่นอนงค์ก็ยันตัวพยุงกับด้ามจอบจนยืนขึ้นได้ ปิ่นอนงค์กัดฟันยกจอบแต่ไม่ไหว ร่างกายไร้เรี่ยวแรง เข่าทรุดลง ก่อนที่ร่างจะอ่อนปวกเปียกร่วงผล๋อยไปกับพื้น
       ใหญ่มองอยู่ ลุกพรวดวิ่งไปประคองปิ่นอนงค์เขย่าเป็นการใหญ่ “ปิ่น ปิ่นอนงค์”
      
       ครู่ต่อมา ปิ่นอนงค์นอนหลับอยู่บนแคร่ หมอคนสนิทที่เคยมารักษาใหญ่ เก็บเครื่องมือใส่กระเป๋า ใหญ่มองปิ่นอนงค์ด้วยความรู้สึกผิดและห่วงใยอยู่ที่ประตู
       เพ็ญนั่งอยู่ปลายแคร่ น้อยยืนหลังเพ็ญ มองปิ่นอนงค์อย่างสงสาร
       หมอพยักหน้ากับเพ็ญ แล้วเดินมาที่ประตู
       ใหญ่จับแขนหมอถามเรื่องเด็ก
       “เด็กเป็นยังไงบ้างครับพี่หมอ ผมผิดเองผมลืมไปว่าเค้าท้องอยู่ ผมไม่น่าให้เค้าทำงานหนักอย่างนี้เลย”
       หมองง “คนไข้ไม่ได้ตั้งครรภ์นี่ครับคุณใหญ่ เพียงแค่ร่างกายขาดอาหารแล้วก็เป็นลมแดดเท่านั้นเอง”
       ใหญ่กับเพ็ญ สบตากัน ต่างคนต่างอึ้ง
      
       น้อยถือผ้าถุง เสื้อผ้าเช็ดตัว วิ่งร่าเริง ผ่านหวานที่นั่งให้เปี๊ยกนวดอยู่
       หวานร้องถาม “เดี๋ยวนังน้อย นั่นเอ็งจะรีบไปไหน”
       “คุณเพ็ญให้เอาเสื้อผ้าไปให้พี่ปิ่นเปลี่ยน”
       น้อยบอกพลางปิดปากขำหวานงง “ขำอะไรนักหนา”
       “สะใจ พี่ปิ่นไม่ได้ท้องกับพี่จอม”
       เปี๊ยก หวานตาค้าง “หา แล้วมันท้องกับใคร อย่าบอกนะว่าท้องกับคุณนะ”
       น้อยเล่าต่ออย่างสะใจ “เปล่า พี่ปิ่นไม่ได้ท้องกับใคร แต่สร้างเรื่องโกหกคุณใหญ่”
       เสียงแตรรถบีบเรียกติดกันสองครั้ง
       “ไปล่ะ คุณเพ็ญรออยู่”
       น้อยวิ่งจู๊ดออกไป หวานหันมาหาเปี๊ยกสองคนดีใจกัน
       “เห็นมั้ย...”
       เปี๊ยกปิดตา ส่ายหน้า หวานตีเปี๊ยก
       หวานว่าต่อ “ยังพูดไม่จบ เห็นมั้ยชั้นนึกแล้ว นังปิ่นมันไม่ใช่ผู้หญิงมากผัวมั่วผู้ชาย”
       เปี๊ยกทำท่าค้านว่าไม่เห็นเคยพูดให้ได้ยินเลย
       “ไม่เคยได้ยินฉันพูดหรือ ก็ชั้นไม่ได้พูดให้แกได้ยิน แต่ชั้นคิดอยู่ในใจโว้ย”
       ตะวันคล้อยต่ำ ความมืดเข้าคลุมทั่วพื้นที่ในเหมือง แสงตะเกียงวอมแวมในกระท่อมท้ายเหมือง ปิ่นอนงค์ยังนอนหลับตาพริ้ม
       สักครู่หนึ่งปิ่นอนงค์กระแอมไอ ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น ปิ่นอนงค์ยันตัวลุกนั่ง เหลือบไปเห็นใหญ่มองตาขวางอยู่ก็ตกใจ
       ใหญ่นั่งหลบตรงมุมกระท่อม ตาดุ จ้องปิ่นอนงค์เขม็ง
       “เธอโกหกชั้น หลอกชั้นว่าเธอท้องกับไอ้จอม เธอคิดอะไรของเธอ ปิ่นอนงค์ ทำแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร”
       ปิ่นอนงค์หลุบตาลงต่ำ ไม่กล้าสู้หน้า “คุณใหญ่รู้แล้ว”
       ใหญ่โมโหตรงเข้าไปกระชากปิ่นอนงค์ ด่าเป็นชุด “เธอเห็นฉันเป็นวัวเป็นควาย ปั่นหัวได้ตามใจชอบหรือ ตั้งแต่ฉันรู้จักเธอมา มีตรงไหน ตอนไหน เวลาไหนที่มันมีความจริงใจบ้าง ยัยเด็กโง่แสนซื่อบริสุทธิ์ที่ฉันเคยเห็นมันหายไปไหนหมด จิตใจเธอมันพิกลพิการไม่ได้สวยงามเหมือนชื่อเธอเลยสักนิด”
       ปิ่นอนงค์นึกโกรธ เชิดใส่ใหญ่ “ปิ่นแค่อยากให้คุณใหญ่ช่วยประกันตัวจอมออกมา ไม่อยากให้คุณใหญ่เอาเรื่องทางกฎหมายกับจอม เพราะจอมเป็นคนที่ปิ่นรักค่ะ”
       ใหญ่ยิ่งเจ็บใจ “แล้วเธอก็ทำสำเร็จ สุดท้ายชั้นก็สงสารเธอกับมัน สงสารลูกในท้องของเธอ นี่เธอทำเพื่อมัน หลอกลวงฉันเพื่อมันยอมแม้กระทั่งให้คนคิดว่าเธอมีชู้เลยเหรอ ปิ่นอนงค์”
       ปิ่นอนงค์เงยหน้าสบตา สู้สายตาใหญ่ “ปิ่นไม่เคยมีชู้ ไม่เคยมีอะไรกับจอม ปิ่นหลอกคุณใหญ่เพราะไม่อยากให้คุณใหญ่มายุ่งเกี่ยวกับปิ่นอีก”
       ใหญ่บันดาลโทสะ จับไหล่ปิ่นทั้งสองข้าง ดึงให้ยืนขึ้น เวลานี้ใหญ่แค้นจนน้ำตาคลอ พูดเสียงสั่น
       “เธอใจร้ายกับฉันมาก ทำไมเธอใจร้ายกับฉันขนาดนี้ ฉันเกลียดเธอ”
       ใหญ่ระดมจูบ ซุกไซ้กอดปล้ำปิ่นอนงค์ด้วยแรงโทสะ และเสียใจ
       ปิ่นอนงค์ดิ้นรน แต่ด้วยความรักที่มีต่อใหญ่ ทำให้ร่างปิ่นอนงค์อ่อนยวบหยุดดิ้น
       มือของปิ่นอนงค์จากที่ผลักไส ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกอดใหญ่ด้วยความรัก
       ทั้งสองคนที่ต่างพยายามแสดงออกตรงกันข้ามกับความรู้สึกภายในใจ ค่อยๆ เอนลงบนแคร่ ร่างของใหญ่กับปิ่นอนงค์แทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
      
       แสงตะเกียงจากในกระท่อมวูบไหว และดับมืดลง ขณะที่แรงปรารถนาในใจของสองคนกำลังคุโชน
ขอขอบคุณจาก manager.co.th
  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น