ธัมโมหยิบหนังสือธรรมะเล่มนั้นมาดูอย่างมีความหมาย ก่อนจะพลิกดูภายในเล่มแล้วจึงเห็นว่ามีภาพถ่ายคั่นอยู่รูปหนึ่ง เป็นภาพของธัมโมกับเพลินตาคนรักของเขาในอดีต
ธัมโมมองรูปถ่ายใบนั้นอย่างเศร้าสร้อย ก่อนที่จะได้ยินเสียงของย้งดังขึ้น
“ผู้กองครับ ผู้กอง อยู่รึเปล่าครับ”
ธัมโมโผล่หน้าไปดูที่หน้าต่าง “ว่าไงย้ง มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
ย้งมองซ้ายแลขวา “พวกไอ้กำนันศรครับ ผมเห็นมันขนอาวุธไม่รู้จะไปฆ่าใคร”
ธัมโมใคร่ครวญครุ่นคิด นึกสังหรณ์ใจขึ้นมาครามครัน
จากเย็นย่ำเป็นค่ำคืน รัตติกาลมาเยือนแล้ว ความมืดปกคลุมไปทั่วบ้านไม้งาม ธัมโมขับรถมาจอดที่หน้าโรงพัก แล้วบอกกับย้งที่โดยสารมาด้วยกัน
“ขอบใจมากนะย้ง นายกลับไปเถอะ ที่เหลือชั้นจัดการเอง”
ย้งยังรู้สึกเป็นห่วง “ระวังตัวนะครับผู้กอง”
ย้งลงรถแล้วเดินจากไป ขณะที่ไชโยกับโอฬารเดินออกมา ไม่สวมชุดเครื่องแบบทั้งคู่เพราะออกเวรแล้ว แต่ในมือถือแก้วน้ำสีอำพัน กับจานไก่ย่างที่เป็นกับแกล้ม
“ใครมาวะ” ไชโยสงสัย
โอฬารเขม้นมอง “อุ๊ยผู้กอง”
ไชโยกับโอฬารรีบซ่อนเหล้าและกับแกล้มไว้ข้างหลัง
ธัมโมเอ่ยขึ้น “คืนนี้เราอาจจะมีแขก พวกนายสองคนต้องอยู่เป็นเพื่อนชั้น”
ไชโยท้วง “แต่พวกเราออกเวรแล้วนะครับผู้กอง”
ธัมโมขยับมองดุๆ
ไชโยรีบรับคำ “เอ่อไม่เป็นไรครับ ออกแล้วก็เข้าใหม่ได้” หันไปพยักเพยิดกับโอฬาร “เนอะ”
โอฬารครวญ “โธ่ ว่าจะชวนน้องหมวยใหญ่ไปดูหนังกลางแปลงซะหน่อย อดเลย”
ที่ร้านกาแฟเถ้าแก่ตงเวลานั้น เถ้าแก่ตงกับหมวยใหญ่กำลังเก็บร้าน ขณะที่ครูเพิ่มกับเก่งเดินมาด้วยกันพอดี หมวยใหญ่พอเห็นเก่งก็เนื้อเต้น ทิ้งของในมือไปโดนเท้าพ่อจังๆ
หมวยใหญ่ดี๊ด๊า “อั๊ยยะ เจอกันอีกแล้ว”
“จะรีบปิดร้านไปไหนเถ้าแก่ รอลูกค้าก่อน” ครูเพิ่มเอ่ยขึ้น
“อ้อ อาครูเพิ่มลื้อจะเอาอะไร”
“ไม่ต้องถามหรอกป๊า ขานี้ลื้อถามว่าจะรับเป็นกลมหรือเป็นแบนดีกว่า” หมวยใหญ่เหน็บ
“ยังหรอกหมวยที่บ้านยังมีอยู่ ชั้นพาหลานมาซื้อของใช้ส่วนตัวต่างหาก
เถ้าแก่ตงประหลาดใจ “หา นี่อาเก่งเป็นหลานครูเพิ่ม ไอ้หยาแบบนี้ กากี่นั๊งคนกันเองน่อ”
หมวยใหญ่ปะเหลาะ “ต๊ายยมิน่า ท่าทางเหมือนคนมีการศึกษา ที่แท้ก็เป็นหลานครูเพิ่มนี่เอง ว่าแต่น้องเก่งจะซื้ออะไรบ้างจ๊ะ เดี๋ยวเจ๊จัดให้”
“เอ่อ ก็พวกสบู่แชมพูน่ะครับเจ๊ พอดีไม่ได้พกติดตัวมา” เก่งบอก
“เอาเลยตามสบาย เข้าไปเลือกเองก็ได้ ร้านอั้วมีทุกอย่างยกเว้นน้ำมันเบนซิน”
ครูเพิ่มงง “มีใครมาซื้อเหรอเถ้าแก่”
เถ้าแก่ตงบอก “ก็พวกไอ้ยอดน่ะสิ มาถามหาตะกี๊ ไม่รู้จะเอาไปเผาศพเตี่ยมันหรือไง”
เก่งครุ่นคิดอย่างเอะใจ
ยอด เบิ้มและบรรดาสมุนซ่อนตัวอยู่ที่มุมมืดในป่าหญ้าใกล้โรงพักแล้ว
เบิ้มถาม “จะบุกตอนไหนดีพี่ยอด”
“รอให้ค่ำกว่านี้ก่อนแล้วค่อยลงมือ พวกมันต้องคิดไม่ถึงแน่” ยอดมั่นใจมาก
เส้นทางจากบ้านครูเพิ่มไปโรงพักขณะนั้น
เก่งอยู่ในคราบนางสิงห์ชุดดำท่วงท่าทะมัดทะแมง กำลังมุ่งหน้าไปยังโรงพักบ้านไม้งาม โดยการกระโดด ตีลังกา ก่อนจะตบท้ายปิดจ๊อบด้วยการยิงลูกตุ้มโซ่จากพลองศอกเพื่อโหนตัวขึ้นไปบน หลังคา แล้ววิ่งไปอย่างคล่องแคล่ว เงียบเชียบราวกับแมวป่าตัวหนึ่ง
ที่พงหญ้าใกล้โรงพัก บางสิ่งบางอย่างที่ไม่คุ้นตา ดูเหมือนจะเหาะเหินข้ามศรีษะพวกของยอดไป
ยอดเห็นเงาดำๆ ที่พื้นเคลื่อนที่ไป จึงรีบเงยหน้ามองหา
เบิ้มสงสัย “อะไรเหรอพี่”
“ข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรมันผ่านหัวไป เอ็งเห็นรึเปล่าวะ” ยอดว่า
เบิ้มส่ายหน้าอย่างงุนงง ขณะที่ยอดได้แต่รู้สึกประหลาดใจ
ที่บนกิ่งไม้กิ่งนั้น เก่งในชุดของนางสิงห์ดำ โหนตัวมายืนบนกิ่งไม้อย่างรวดเร็ว ปฏิบัติการณ์แรกกำลังเปิดฉากขึ้น ณ บัดนาว
จ่าไชโยกับหมู่โอฬารมาเปิดคลังแสงอาวุธประจำโรงพัก เพื่อหยิบปืนยาวสำหรับเข้าเวร
แทนที่จะได้ลั้นลาก๊งน้ำสีอำพัน จ่าไชโยเลยบ่นกระปอดกระแปด “เฮ้อ ไม่รู้จะเข้มงวดอะไรนักหนา มาถึงก็สั่งโน่นสั่งนี่ แทนที่จะเลี้ยงข้าวรับขวัญลูกน้อง ไม่มีล่ะ ทำงานแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนวะ”
หมู่โอฬารผสมโรง “นั่นสิจ่า ไอ้เรามันเช้าชามเย็นชาม แต่นี่ไม่มีสักชามทำงานแบบนี้มันเสียกำลังขวัญสุดๆ”
“ขืนปล่อยไว้จะยิ่งได้ใจ” จ่าไชโยปรารภ
หมู่โอฬารเอาด้วย “ถ้างั้นเราต้องแข็งข้อ ผู้กองจะได้รู้ซะบ้างว่าขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก”
จ่าไชโยร้องเพลง “วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก”
หมู่โอฬารร้องตามท่อนต่อมา “วันใดสำนึกแล้วเธอจะเสียใจ”
เสียงร้องเพลงของสองคู่หูหมู่กะจ่า ไชโยกับโอฬารที่ลอยมาแว่วๆ สามโจรที่อยู่ในห้องขังยังไม่หลับนอน กำลังปรึกษาหารือกันเครียดอยู่
“พี่…พี่แน่ใจรึเปล่าว่ากำนันศรจะส่งคนมาช่วยพวกเรา” ลูกน้องเอ่ยขึ้น
“ก็ลองไม่ส่งมาสิวะ ข้าจะแฉให้หมดเปลือกเลยว่ากำนันเป็นคนสั่งพวกเราให้ปล้นรถโดยสาร” ลูกพี่ท่าทางหงุดหงิด
“ฮึย ขืนทำแบบนั้นกำนันเอาตายเลยนะพี่” ลูกน้องอีกคนว่า
“เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะตายก่อน” ลูกพี่ใหญ่บอกฉุนๆ
เวลาเคลื่อนคล้อย ที่ป่าหญ้าใกล้โรงพัก ยอดมองพระจันทร์บนท้องฟ้า เห็นว่าดึกมากแล้วก็สั่งการ
“ลงมือ !!!”
สมุนคนหนึ่งหิ้วแกลอนน้ำมันปลีกตัวไปที่ข้างๆ โรงพักอีกทาง ตรงบริเวณเก็บวัสดุก่อสร้าง
สมุนของยอดย่องมาที่กองวัสดุก่อสร้างใกล้โรงพัก แล้วเอาน้ำมันราดจนทั่ว แล้วจุดไม้ขีด ไฟสว่างพรึ่บ เปลวเพิงลุกไหม้ตามรอยน้ำมัน
ธัมโมกำลังรื้อแฟ้มงานเก่าๆ ในห้องมาอ่าน ระหว่างตรวจเช็คหรือจัดเก็บอยู่นั้น จมูกเขาก็ได้กลิ่นเหมือนอะไรเหม็นไหม้ พร้อมทั้งเสียงหมาเห่าแว่วมา
“ใครมาเผาอะไร ดึกดื่นป่านนี้”
ธัมโมทะยานไปดูที่หน้าต่างห้องทำงาน มองฝ่าความมืดออกไป
“เฮ้ย ไฟไหม้”
ธัมโมรีบรุดออกมาเร็วรี่ เจอเข้ากับจ่าไชโยกับหมู่โอฬารที่หอบปืนออกมาพอดี
“ผู้กองไฟไหม้ครับ” จ่าไชโยรายงาน
“ผมเห็นแล้ว พวกคุณรีบดูเร็วเข้า ทางนี้ผมจัดการเอง”
“ครับผม” จ่าไชโยรับคำสั่ง
หมู่โอฬารสงสัย “ต้องเอาปืนไปด้วยมั้ยจ่า”
“ไฟไหม้ จะถือปืนไปทำป้าเหรอหมู่ วางไว้นี่ก่อน” จ่าไชโยบอก
สมุนคนเดิมย้อนกลับมาสมทบกับยอดที่จุดซ่อนตัว
“เรียบร้อยแล้วพี่ยอด”
ยอดพยักหน้า สายตายังจับจ้องไปที่หน้าโรงพัก และเห็นจ่าไชโยกับหมู่โอฬารลุกลี้ลุกลนไปดูที่ต้นเพลิง ยอดยิ้มกริ่มก่อนจะหยิบหมวกไหมพรมมาสวมอำพรางหน้าตา เบิ้มและลูกน้องคนอื่นทำตาม
ยอดให้สัญญาณ “บุกโว้ยพวกเรา”
เปลวเพลิงกำลังลุกลามโหมไหม้กองวัสดุ จ่าไชโยกับหมู่โอฬารมาถึง
จ่าไชโยแปลกใจ “อะไรของมันวะ จู่ๆไฟไหม้ได้ยังไง”
หมู่โอฬารรีบบอก “อย่าเพิ่งถามเลยจ่า ช่วยกันดับก่อนเถอะ”
ธัมโมอยู่ที่โถง กำลังชะเง้อดูเหตุการณ์เพลิงไหม้อยู่ที่หน้าต่างด้วยความกังวล แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงผิดสังเกตบางอย่างจึงหันไป และเห็นพวกของยอดกำลังบุกเข้ามาในโรงพัก
“เฮ้ย” ธัมโมตะโกนก้อง
แต่ยอดกับพวกยกปืนยิงใส่ธัมโมก่อน ธัมโมรีบชักปืนยิงสวนทันที เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
จ่าไชโยกับหมู่โอฬารที่กำลังดับไฟที่โหมไหม้ตรงกองวัสดุก่อสร้าง หันไปทางโรงพักเพราะเสียงปืน
“เสียงปืนดังมาจากโรงพักนี่จ่า รีบกลับไปช่วยผู้กองกันเถอะ” หมู่โอฬารชวน
“เฮ้ยเดี๋ยว จะรีบไปตายเหรอหมู่ รอดูสถานการณ์ไปก่อนก็ได้”
หมู่โอฬารห่วงธัมโม “อ้าวแล้วผู้กอง…”
“ผู้กองเป็นคนเก่ง เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว เชื่อสิ”
หมู่โอฬารลังเลสองจิตสองใจ ระหว่างกลัวตายกับเป็นห่วงผู้กอง
ธัมโมยิงต่อสู้กับพวกของยอดอย่างดุเดือด
“มันสู้ไม่ถอยเลยพี่ยอด เอาไงดีพี่” เบิ้มชักหนักใจ
“เอ็งอ้อมไปด้านหลัง แล้วพานักโทษหนีไป ทางนี้ข้าจัดการเอง” ยอดบอกแผน
ทางด้านพวกโจรปล้นรถบัสที่อยู่ในห้องขังต่างกำลังกระวนกระวายกับเสียงปืน ก่อนที่จะเห็นเบิ้มปีนมาทางหน้าต่าง
“พี่เบิ้ม” โจร 1 ใน 3 ดีใจ
เบิ้มชักปืนออกมายิงแม่กุญแจทิ้งทันที
ธัมโมอยู่ในห้องโถงบนโรงพัก พอได้ยินเสียงปืนจากด้านหลังก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไอ้หมาลอบกัด โดนมันตลบหลังจนได้”
ยอดกับพวกระดมยิงใส่ธัมโมไม่ยั้ง ธัมโมยิงตอบโต้จนกระสุนหมดจึงรีบหลบเข้าที่กำบัง
“ไงวะผู้กอง เงียบแบบนี้ กระสุนหมดสิท่า ถึงคราวตายล่ะมึง” ยอดตะโกนเย้ย
ธัมโมมองไปเห็นปืนยาวที่จ่าไชโย กับหมู่โอฬารวางไว้บนโต๊ะก็ตัดสินใจพุ่งตัวออกไป
ธัมโมวิ่งฝ่าดงห่ากระสุน แล้วกระโดดไถลตัวลีลาอย่างเท่ ไปคว้าปืน ก่อนจะพลิกตัวพลิกกลับมากระหน่ำยิงใส่พวกยอด
“ไอ้เลวเอ๊ย มันไม่กลัวตายหรือไงวะ” ยอดอดทึ่งไม่ได้
เบิ้มและพวกโจรทั้งสาม กระโดดหนีลงมาทางหน้าต่างหลังโรงพักจนครบ เบิ้มยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณสามนัด
ยอดได้ยินเสียงสัญญาณก็สั่งกับลูกน้อง
“ไอ้เสือถอยโว้ย”
ธัมโมได้ยินเสียงยอดตะโกนบอกเช่นนั้นก็หูผึ่ง จะลุกขึ้นตามไป แต่ถูกพวกมันยิงสะกัดเอาไว้
เบิ้มสั่งการกับพวกโจร “รีบไปที่จุดนัดเร็ว”
จังหวะนั้นเอง พลองศอกข้างหนึ่งในมือนางสิงห์ดำ ยิงลูกตุ้มติดโซ่เส้นเล็กๆ มาพันกิ่งไม้ ก่อนที่จะเห็นนางสิงห์ดำกระโดดลงมายืนขวางทางเบิ้มกับพวกไว้
“เฮ้ย ใครวะ” เบิ้มแปลกใจ
นางสิงห์ดำสะบัดแขน พลางกดสวิทซ์กลไกที่พลองศอก ลูกตุ้มติดโซ่ถูกดึงกลับเข้าที่ นางสิงห์ดำสะบัดพลองศอกในมือขวับๆ ท่าทีโคตรคล่อง ก่อนจะตั้งการ์ดพร้อมลุย วาดเท้ากวาดเฉียงไปด้านหลัง จนบังเกิดเป็นรอยเสี้ยววงกลมบนพื้น
เบิ้มเห็นท่าไม่ดีจึงรีบยกปืนขึ้นเล็ง ทว่าจังหวะนั้นนางสิงห์ดำก็พลิกตัวเตะปืนในมือมันอย่างว่องไว จนหลุดมือไป แล้วประเคนพลองศอกเล่นงานมันจนเซไปหาพวกลูกน้องโจร
“จะยืนมองหาญาติอยู่ทำไมวะ ช่วยกันสิโว้ย” เบิ้มฉุนขาด
โจรทั้งสามได้สติ รีบกรูกันเข้าไปเล่นงานนางสิงห์ดำ แต่ทั้งหมดก็โดนฤทธิ์พลองศอกกระหน่ำจนเซถลาไปคนละทิศละทาง
จังหวะนั้นเองจ่าไชโยกับหมู่โอฬารที่เพิ่งเดินย้อนกลับมาที่โรงพัก หลังจากเห็นว่าเสียงปืนเงียบไป ทั้งคู่เมื่อเห็นฉากการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างนางสิงห์ดำกับพวกเบิ้ม จึงซุ่มดูด้วยความแปลกใจ
“อะไรวะนั่น” จ่าไชโยแปลกใจ
“ก็นักโทษไงจ่า มันกำลังหนี” โอฬารว่า
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงยัยชุดดำนั่นต่างหาก มันใครกันวะ” ไชโยหงุดหงิด
“ไม่ถามก็ไม่รู้หรอกจ่า แสดงตัวเหอะ”
“เออดี” จ่าไชโยตะโกนออกไป “เฮ้ยนี่ตำรวจ ทุกคนยกมือขึ้น”
เบิ้มเห็นตำรวจมาก็วิ่งหนีหายในความมืดทันที ขณะที่โจร 1 ใน 3 ที่ชื่อไอ้โปรย โผไปคว้าปืนของเบิ้มที่หล่นอยู่ขึ้นมาทำท่าจะยิงใส่ จึงถูกจ่าไชโยวิสามัญดับคาที่ ขณะที่อีกสองคนยืนตะลึง
“ไอ้โปรย”
หมู่โอฬารโผล่ออกมาคุมเชิงโจรทั้งสอง “อยู่เฉยๆ นะโว้ย ไม่งั้นยิงไส้แตก”
ขณะที่จ่าไชโยหันมาพูดกับนางสิงห์ดำ “เธอก็เหมือนกัน อย่าขยับ แล้วบอกมาซิว่าเป็นใครกันแน่
“ชั้นคือยมทูตแห่งบ้านไม้งาม คือคนที่จะมาลงทัณฑ์พวกคนร้าย”
ว่าแล้วนางสิงห์ดำก็เตะฝุ่นเตะใบไม้ใส่หน้า จ่าไชโยจนหันไป เก่งในคราบนางสิงห์ดำฉวยโอกาสนั้นยิงลูกตุ้มจากพลองศอกของตนไปพันกิ่งไม้ ก่อนจะกดกลไกดึงตัวเองหายลับไปในพริบตา
จ่าไชโยมารู้ตัวอีกที ก็อีตอนเห็นใบไม้ร่วงกราวจึงหันไปดูด้วยสีหน้าฉงน
“อ้าวเฮ้ย หายไปไหนแล้ววะ”
ภารกิจแรกของนางสิงห์ดำ หน้ากากแดง ที่หวังจะคืนความสงบสุขให้บ้านไม้งาม ลุล่วง!!!
ขอขอบคุณจาก manager.co.th
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น