วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครชิงนาง ตอนที่ 5 (ต่อ) วันที่ 25 ก.ค. 55

  คืนเดียวกันนั้น พฤกษ์นอนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ยินเสียงโฉมไฉไลร้องดังขึ้น
      
       “ช่วยด้วย”
       พฤกษ์สะดุ้งลุกพรวด นิ่งฟัง
       โฉมไฉไลร้องอีก “ช่วยด้วย”
       พฤกษ์นิ่งฟังจนแน่ใจแล้วรีบกระโดดลงจากเรือ วิ่งตามเสียงไปทันที
      
       พฤกษ์วิ่งเลาะหาดตามเสียงมาถึงจุดหนึ่ง เขาเห็นนักเลง 2 คนรุมจับตัวโฉมไฉไล และกำลังจะลากไปที่ใต้สะพานท่าเรือ
       “ปล่อยฉัน! ช่วยด้วย”
       พฤกษ์พุ่งเข้าไปถีบนักเลง 1ใน 2 จนมันล้มกลิ้งไป
       “เรื่องผัวเมีย อย่าแส่!” นักเลงอีกคนพูดใส่หน้า
       “ไม่จริงนะคะ พวกมันจะข่มขืนฉัน ช่วยฉันด้วย”
       นักเลงที่ล้มอยู่ ลุกมาจะเล่นงาน แต่โดนพฤกษ์ต่อยสวน จนล้มกลิ้ง นักเลงอีกคน ปล่อยโฉมไฉไล จะเข้ามารุมพฤกษ์แต่โดนพฤกษ์ถีบจนหงายหลัง เพื่อนมันจะเข้าชาร์ทแต่พฤกษ์ต่อยสวน พฤกษ์จะต่อยนักเลงที่ล้มอยู่ แต่มันลนลาน ตัดสินใจชิ่งวิ่งหนีไปก่อน นักเลงที่เหลือเห็นว่าสู้ไม่ได้จึงโกยแนบตามกันไป
       พฤกษ์มองเห็นนักเลงลับตัวไปแล้ว รีบเข้าไปดูโฉมไฉไลทันที
       “คุณ เป็นยังไงบ้าง”
       โฉมไฉไลอยู่ในสภาพเสื้อขาดวิ่นจนเห็นเนินอกนิดๆ แต่เซ็กซี่เหลือหลาย
       พฤกษ์เห็นก็ผงะไป พยายามไม่มองด้วยการเบือนหน้าไปทางอื่น
       โฉมไฉไลยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนร้องไห้แล้วโผเข้ากอดพฤกษ์
       “ฉันกลัวค่ะ..ฉันกลัว”
       พฤกษ์ได้แต่กอดโฉมไฉไลไว้ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
      
       พฤกษ์ พาโฉมไฉไลมาบนเรือ ขยับไปค้นๆ หาเสื้อออกมา
       “คุณกลับแบบนี้คงไม่เหมาะ ยังไงใส่เสื้อของผมไปก่อน”
       พฤกษ์หันกลับมา เงยหน้ามองแล้วต้องชะงักกึก
       แสงไฟส่องไปที่ร่างโฉมไฉไล ที่เปลือยหลังอยู่ โฉมไฉไลหันมาหาพฤกษ์อย่างมีจริต ยื่นมือมารับ)
       “ขอบคุณค่ะ คุณพฤกษ์”
       พฤกษ์งง “คุณ...” มองอย่างพินิจพิเคราะห์
       “โฉมไฉไลไงคะ เราเคยเจอกันที่โรงพยาบาลเมื่อปีที่แล้ว”
       พฤกษ์จำได้ “คุณโฉม...แฟนเมฆา”
       “เป็นแค่อดีตค่ะ โฉมไม่มีความสำคัญสำหรับเมฆาอีกต่อไปแล้ว เขาไม่ได้รักโฉมอีกแล้ว” จู่ๆ โฉมไฉไลก็ร้องไห้โฮ
       พฤกษ์งงๆ “คุณโฉม”
       “เมฆาเปลี่ยนใจไปรักผู้หญิงคนอื่น โฉมเจ็บเหลือเกิน ทำไมเขาไม่รักโฉมเหมือนที่โฉมรักเขา ทำไมคะคุณพฤกษ์ ทำไมความรักของโฉมถึงไร้ค่าอย่างนี้” ร้องไห้คร่ำครวญ
       พฤกษ์จับมือโฉมไฉไล เข้าใจความรู้สึกคนผิดหวังเหมือนกัน จึงปลอบใจ
       “คุณโฉมอย่าคิดมากเลยนะครับ ผมเชื่อว่าสักวันคุณโฉมจะได้พบคนที่ดีกว่าเมฆา”
       โฉมไฉไลสะอึกสะอื้น ประหนึ่งว่าเจ็บปวดเหลือแสน ไก่อ่อนอย่างพฤกษ์ไม่ลันมารยา เช็ดน้ำตาให้ด้วยความสงสาร
      
       ภัตตาคารจีนปิดให้บริการแล้ว บริเวณหน้าร้านปิดแล้วเหลือไฟที่เปิดทิ้งไว้เพียงไม่กี่ดวง
       พฤกษ์เดินเข้ามาส่งโฉมไฉไลที่หน้าร้าน โฉมไฉไลสวมเสื้อของพฤกษ์คลุมตัวไว้
       “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะคุณพฤกษ์”
       พฤกษ์ยิ้มอ่อนโยนก่อนเดินกลับไป โฉมไฉไลมองตามยิ้มอย่างพึงพอใจที่แผนลุล่วง
       อนงค์ก้าวออกมาจากในร้าน เห็นหลังผู้ชายไวๆ
       “เมื่อไหร่แกจะเลิกใช้ชีวิตโง่ๆ แบบนี้สักที?! แล้วนี่ไปคว้าควายที่ไหนมาอีกล่ะ?”
       “ควายเหรอ..ก็คงใช่ แต่เป็นควายเขาทองคำเลยนะหม่าม้า”
       ระหว่างนั้น นักเลง 1 ใน 2 คนเมื่อครู่ เดินออกมาจากซอกตึก
       “ค่าจ้าง?”
       โฉมไฉไลหยิบเงินจากกระเป๋าส่งให้ “ถ้ามีอะไรฉันจะเรียกใช้อีก”
       นักเลงออกไปก้าวเดินเร็วๆ
       อนงค์หันมามองโฉมไฉไล “ยัยโฉม นี่แกกำลังทำอะไรอยู่?”
       “ก็หาเงินใช้หนี้ให้หม่าม้าไงล่ะ”
       โฉมไฉไลเดินหัวเราะร่าแล้วเดินเข้าร้านไป อนงค์ฉงนมองตามด้วยความสงสัย
      
       ตอนสายวันต่อมา อรุณนั่งอยู่ในห้อง วงเดือนถือถาดยากับน้ำเข้ามา
       “ได้เวลาทานยาแล้วค่ะ”
       อรุณเดินมานั่งที่เตียง วงเดือนส่งยาให้
       พฤกษ์เข้ามาชะงักที่เห็นอรุณอยู่กับวงเดือน พฤกษ์พูดขึ้นกิริยาเก้อเขิน
       “พี่จะมาดูว่าแกดีขึ้นหรือยัง?”
       ระหว่างนั้นเมฆาตามเข้ามาอีกคน เอ่ยถามวงเดือน “อาการอรุณเป็นยังไง?”
       “ไข้ลดลงแล้วค่ะ”
       อรุณเห็นสายตาเมฆากับพฤกษ์ที่มองวงเดือนด้วยสายตารักใคร่ และอาลัยอาวรณ์
       อรุณไม่พอใจเห็นวงเดือนกำลังส่งยาให้
       “ป้อนฉันหน่อยสิ นะเดือน”
       วงเดือน ลำบากใจแต่ก็ยอมป้อนให้เพื่อตัดปัญหา
      
       เมฆากับพฤกษ์ยืนมองนิ่งๆ
อรุณกินยาและดื่มน้ำที่วงเดือนป้อนให้เสร็จ อรุณขยับเข้ามาหอมแก้มวงเดือนต่อหน้าต่อตาเมฆา และพฤกษ์ สองหนุ่มตาค้าง
       วงเดือน “ตกใจ”
       “ชื่นใจจัง”
       พฤกษ์โกรธจัด “อรุณ แกควรจะให้เกียรติเดือน ไม่ใช่ทำน่าเกลียดต่อหน้าคนอื่นแบบนี้”
       อรุณไม่สนยกมือโอบวงเดือนอย่างหวงแหน “เดือนเป็นของผม คนที่จะแต่งงานกันก็ต้องแสดงความรักต่อกันสิครับ”
       วงเดือนโกรธแต่ทำได้แค่ยกถาดยารีบออกไป
       เมฆาเป็นห่วง “เดือน...”
       “ผมขอร้อง” อรุณเอ่ยขึ้น เมฆาหันกลับมาหา “พวกพี่อย่ามองเดือนด้วยสายตาแบบเมื่อกี้อีก เดือนเป็นคนรักของผม ของผม”
       พฤกษ์มองอรุณอย่างเอือมระอา แล้วทำท่าเดินออกไป
       “แกทำแบบนี้ ถึงจะรั้งตัวเดือนไว้ได้แต่ไม่มีทางได้หัวใจของเขา”
       อรุณสวนทันทีอย่างเห็นแก่ตัว “ผมไม่สน! ขอแค่ให้เดือนยังอยู่ข้างผม..เท่านั้นพอ!”
       อรุณมองตอบด้วยแววตาดื้อดึง เมฆาเดินออกไป รู้ว่าพูดไปก็เสียเวลาเปล่า 
       
       ตั้งแต่เช้าจดเย็น อนงค์อยู่ในภัตตาคาร กับเด็กพนักงานในร้านสองคน
       จู่ๆ อนงค์ตบโต๊ะปัง! “นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ไม่มีลูกค้าสักคน!”
       พนักงานขยับเข้าหากันตัวลีบมองหน้ากัน
       เด็กในร้านเอ่ยขึ้น “เถ้าแก่เนี๊ยคะ เดือนนี้พวกหนูยังไม่ได้เงินเดือนเลย”
       อนงค์ตวาดแว้ด ตะเพิดส่ง “แกเห็นไหมว่าไม่มีลูกค้า แล้วจะมีเงินได้ยังไง ไปให้พ้นหน้าฉันเลยไป๊!”
       อนงค์เครียดจัด เห็นโฉมไฉไลแต่งตัวลงมาจากชั้นบนจะเดินออกไป ก็หันไปถามอย่างหงุดหงิด
       “ยัยโฉม! เมื่อไหร่แกรวบหัวรวบหางลูกชายบ้านแสนสมุทรได้สักที? แกรู้ไหมว่าฉันเหลือเงินอยู่แค่ไม่กี่ร้อยแล้ว ขืนยังช้าอยู่แบบนี้..ฉันจะเอารถแกไปขาย!”
       โฉมไฉไลกรี๊ด ไม่ยอม “ไม่ได้นะหม่าม้า!”
       “ก็รีบจัดการให้ไวๆ สิ”
       โฉมไฉไลหงุดหงิด ขณะที่อนงค์คิดแผนชั่วบางอย่างขึ้นมาได้ นางผุดยิ้มร้ายออกมาในสีหน้า
      
       ที่คลับเฟื่องนคร ราตรีนั้น
       ในขณะที่บริกรเก็บแก้วเหล้าที่หมดแล้วเดินกลับไปเคาน์เตอร์ โดยมีพฤกษ์นั่งกึ่มกิริยามึนๆ อยู่เพียงลำพัง โฉมไฉไลเดินเข้ามามองสอดสายตามองหาใครบางคน เห็นพฤกษ์ก็ตรงเข้าไปหาทันที
       “สวัสดีค่ะคุณพฤกษ์”
       พฤกษ์หันมามอง “คุณโฉม มาได้ยังไงครับ”
       “โฉมเหงาๆ น่ะค่ะ ก็เลยไปหาคุณพฤกษ์ที่ท่าเรือ คนที่นั่นก็เลยบอกว่าคุณพฤกษ์อยู่ที่นี่”
       โฉมไฉไลดีดนิ้วให้บริกรเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ 2 แก้ว
       “มาเที่ยวทั้งทีอย่าทำหน้าเครียดแบบนี้สิค้า”
       บริกรนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
       จังหวะที่พฤกษ์มองไปทางอื่น โฉมไฉไลแอบเทยาปลุกเซ็กซ์ลงในแก้วเหล้าของพฤกษ์
       โฉมไฉไลคน ๆ และส่งให้พฤกษ์ “ดื่มเป็นเพื่อนโฉมหน่อยนะคะ”
       ทอดยิ้มหวานเยิ้มส่งให้
      
       พฤกษ์อยู่ในอาการมึนๆ ประคองสติไม่อยู่ โฉมไฉไลประคองเขาเข้ามาอย่างทุลักทุเล แล้วดันพฤกษ์ลงบนพื้นที่นอนในเรือ
       “ร้อน...” พฤกษ์มีอาการกระสับกระส่าย
       “เดี๋ยวโฉมจะคลายร้อนให้นะคะ”
       โฉมไฉไลปลดกระดุมเสื้อพฤกษ์ สายตาหมายมาดยวนยั่ว มือเรียวงามลูบไล้ปลุกเร้าไปตามแผ่นอกของพฤกษ์
       พฤกษ์เหมือนไฟติดเชื้อแล้ว ชายหนุ่มขยับตัวมากอดโฉมไฉไลอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
       โฉมไฉไลยิ้มอย่างพอใจปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ต้องการ
       แสงตะเกียงในห้องลุกโชน
      
       คืนเดียวกันหนูนาจุดตะเกียงในห้องเหนือฟ้า ขยับเข้ามาดูเหนือฟ้าที่นอนหลับอยู่ พร้อมกับเอามืออังที่หน้าผากเหนือฟ้า
       “ตัวร้อน...”
       หนูนาตกใจ หยิบผ้ามาชุบน้ำบิดพอหมาดๆ แล้วเช็ดให้เหนือฟ้า
       เหนือฟ้าแอบลืมตามองหนูนายิ้มปลื้ม แต่พอหนูนาหันมาก็ทำเป็นหลับเหมือนเดิม
       หนูนาเช็ดหน้าเช็ดคอเหนือฟ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เห็นเหนือฟ้ายิ้มทั้งที่หลับตา
       “ละเมอหรือเปล่าเนี่ย? หลับก็ยังยิ้มได้”
       หนูนาเช็ดต่อไป เหนือฟ้าแอบมองหนูนายิ่งยิ้มมากขึ้นไปอีก
 แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในลำเรือ พร้อมๆ เสียงสะอึกสะอื้นดังรดมทำให้พฤกษ์ที่นอนหลับในสภาพเปลือยอกรู้สึกตัวขึ้น พฤกษ์ลืมตาหาที่มาของเสียง
      
       ชายหนุ่มเห็นโฉมไฉไลนั่งเปลือยหลัง ดึงผ้าหุ่มห่อคลุมปิดด้านหน้า ก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น
       พฤกษ์รีบลุกขึ้นมอง ปรับโฟกัสสายตา และตั้งสติ จากนั้นจึงมองสภาพตัวเอง สลับกับมองสภาพโฉมไฉไล ด้วยอาการงงงวย
       “คุณโฉม! นี่ผม...”
       “คุณ..ข่มเหงโฉม!”
       โฉมไฉไลยิ่งร้องไห้หนักขึ้น
       พฤกษ์หน้าเสีย ขยับเข้าไปใกล้ๆ “คุณโฉม..ผมขอโทษ..
       โฉมไฉไลร้องไห้สะอึกสะอื้น “โฉมทำให้วงศ์ตระกูลต้องเสื่อมเสีย ถ้าคุณแม่รู้ว่าโฉมแปดเปื้อน
       ..ท่านต้องเสียใจจนแทบฆ่าตัวตายแน่ๆ” ปล่อยโฮ “โฉมจะทำยังไงดีคะ คุณพฤกษ์..จะทำยังไงดี”
       โฉมโผเข้ากอดพฤกษ์ราวกับซาบซึ้งใจเต็มประดา ในขณะที่พฤกษ์กอดโฉมสีหน้าเครียดจัด
      
       พฤกษ์เข้ามาส่งโฉมไฉไลที่หน้าร้าน อนงค์ออกมาจากร้านเห็นก็เปิดฉากฉะทันที
       “ยัยโฉม! แกหายไปไหนมาทั้งคืน?”
       อนงค์มองจ้องหน้าพฤกษ์ “นี่แกอย่าบอกนะว่าแกกับผู้ชายคนนี้...”
       โฉมไฉไลปล่อยโฮทรุดลงไปกอดขาแม่ทันที “หม่าม้าคะ โฉมขอโทษ โฉมผิดไปแล้ว!”
       อนงค์โกรธ กิริยาเกรี้ยวกราดสมจริงมาก “ยัยโฉม! ทำไมแกทำแบบนี้ นังลูกเลว! ฉันจะฆ่าแก!”
       ตีตามตัวโฉมไฉไลไม่ยั้ง
       พฤกษ์ทนไม่ได้ที่เห็นอนงค์ตีโฉมไฉไลไม่ยั้ง พฤกข์เข้าไปขวาง
       อนงค์ฟาดมือเข้าที่หน้าพฤกษ์อย่างจัง ดังเผียะ!
       “ถอยไป! ฉันจะสั่งสอนลูกฉัน”
       พฤกษ์รีบบอก “เรื่องนี้ผมเป็นคนผิด ผมจะรับผิดชอบเองครับ”
       อนงค์ยังทำเป็นโกรธอยู่ “คุณจะทำยังไง? คุณจะเอาอะไรมาทดแทนสิ่งที่ลูกสาวฉันเสียไป?”
       พฤกษ์ตัดสินใจชั่ววูบ “ผมจะแต่งงานกับคุณโฉม!”
       โฉมไฉไลแสร้งตกใจ “คุณพฤกษ์ คุณไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้”
       พฤกษ์ยืนกราน “ผมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำ แต่งงานกับผมเถอะนะครับ!”
       โฉมไฉไลทำหน้าซาบซึ้งใจมาก โผเข้ามากอดพฤกษ์
       อนงค์กับโฉมไฉไลแอบยิ้มให้กันอย่างพอใจสุดๆ
      
       คืนนั้น อนงค์หัวเราะร่วน ตอนนั้นนางอยู่ในห้องนอน ที่ชั้นบนของภัตตาคารกับลูกสาว
       “ไม่คิดว่าจะง่ายอย่างนี้! ดี! ฉันจะรีดสินสอดก้อนโตมาใช้หนี้ซะให้เข็ด”
       “เรียกไปเยอะๆ นะคะ ถือซะว่ามันจ่ายค่าโง่!” โฉมไฉไลหัวเราะคิกคัก ทำท่าลุกจะไป
       “แกจะไปไหนอีก?”
       “ข่าวดีๆ แบบนี้ เมฆาควรจะรับรู้ไม่ใช่หรือคะ?”
       “แล้วอย่าทำให้เสียแผนล่ะ” อนงค์ย้ำ
       โฉมไฉไลยิ้มอย่างมาดมั่นแล้วเดินนวยนาดออกไป
       ภายในคลินิกตอนนั้น ไม่มีคนไข้สักคน วงเดือนกำลังปักตัวอักษร P เล็ก ๆ ที่อกเสื้อไหมพรหม
       โฉมไฉไลก้าวเข้ามาเห็นเสื้อถักในมือวงเดือน ก็ไม่พอใจกระชากเสื้อถักจากมือวงเดือน
       “ถักเสื้อ เอาใจผู้ชายงั้นเหรอ? ดัดจริต!” โฉมไฉไลจะกระชากเสื้อมาทำลาย
       วงเดือนเข้าคว้ามือโฉมไฉไลยึดไว้ไม่ยอม
       “อย่านะ”
       โฉมไฉไลกับวงเดือนยื้อยุดไปมา ต่างคนต่างไม่ยอม โฉมไฉไลตบวงเดือน ผัวะ! จนวงเดือนเซถลา
       โฉมไฉไลกระชากปลายเสื้อจนลุ่ย วงเดือนโกรธจัดตบหน้าโฉมไฉไลสุดแรงเกิดดัง ผัวะ!
       โฉมไฉไลหน้าหันเซ วงเดือนรีบดึงเสื้อถักออกมาทันที
       “นังวงเดือน!”
       โฉมไฉไลจะพุ่งเข้าไปตบ
       เสียงศรีเรือนตวาดก้อง “หยุดนะ”
       โฉมไฉไลชะงัก วงเดือนหันมองตามเสียงอย่างตกใจ
       “คุณท่าน!”
       โฉมไฉไลหันมาเจอศรีเรือนก็อึ้ง ศรีเรือนมองจ้องจำได้
       “หล่อน...โฉมไฉไล คนรักเมฆาใช่ไหม? ไม่ใช่สินะ” เน้นคำ “อดีตคนรัก”
       โฉมไฉไลหน้าตึง
       “ฉันเพิ่งเคยเห็นผู้หญิงหยำฉ่าชัด ๆ ก็วันนี้” ศรีเรือนด่า
       โฉมไฉไลโกรธจนตัวสั่น “คุณ!...”
       ศรีเรือนสวนออกมาทันควัน “ฉันพูดไม่ผิดใช่ไหม ผู้หญิงไม่มีความรู้ ไม่มีอนาคต เที่ยวไปนอนกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้า คำว่า “หยำฉ่า” อาจจะให้เกียรติเกินไปด้วยซ้ำ”
       โฉมไฉไลแทบคลั่ง “คุณย่า!”
       ศรีเรือนสวนทันควัน “อย่าเรียกฉันแบบนั้น! เพราะฉันไม่ลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับของเหม็นเน่า!”
       โฉมไฉไลโกรธจัด “มากไปแล้วนะ”
       “เมฆาอาจจะไม่รู้เช่นเห็นชาติว่าเธอมันเหลวแหลกแค่ไหน แต่ฉันรู้!จำไว้นะ...ผู้หญิงที่จะมาเป็นสะใภ้ของแสนสมุทร ถึงไม่มีเกียรติยศ แต่ต้องมีศักดิ์ศรี!”
       โฉมไฉไลพูดโต้อย่างถือดี “สักวัน..คุณจะต้องต้อนรับฉันในฐานะหลานสะใภ้!”
       ศรีเรือนพูดชัดเจนเสียงแข็ง “ตราบใดที่ฉันยังอยู่ บ้านแสนสมุทรจะต้องไม่มีกาฝากอย่างหล่อน!”
      
       โฉมไฉไลกำมือแน่น ไม่กล้าตอบโต้ต่อกร เหลือบมองศรีเรือนกับวงเดือนอย่างแค้นใจแล้วสะบัดหน้าเดินออกไป
 ศรีเรือนหยิบเสื้อจากพื้นขึ้นมาเห็นตัวอักษร “ P ” เด่นหรา
       ศรีเรือนส่งให้วงเดือน วงเดือนกอดเสื้อถักแน่น
       “เธอจะแต่งงานกับอรุณ ทั้งที่ยังลืมผู้ชายอีกคนไม่ได้น่ะเหรอ?” หญิงชราเปรยขึ้นมา
       วงเดือนน้ำตาร่วง “ชีวิตเดือนเป็นของแสนสมุทร แต่หัวใจเป็นของเดือน เดือนขอแค่ให้หัวใจยังเป็นของเดือนได้ไหมคะ?”
       ศรีเรือนอึ้ง
       ชอุ่มหอบข้าวของเข้ามา เห็นวงเดือนร้องไห้ก็ตกใจ
       “เกิดอะไรขึ้นคะคุณท่าน?”
       ศรีเรือนไม่ตอบเดินออกไป ชอุ่มมองวงเดือนงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะลนลานตามศรีเรือนออกไป
       วงเดือนกอดเสื้อถักไหมพรหมน้ำตาคลอดูร่องรอยที่เสียหาย
       ศรีเรือนยื่นกระดาษจดที่อยู่ให้ชอุ่ม ทั้งสองคนอยู่ที่ตลาด ไม่ไกลจากคลินิกหมอเมฆานัก หญิงชรากำชับ
       “เอาของทั้งหมดส่งไปรษณีย์ไปที่เชียงรายตามที่อยู่นี่”
       “น้ำพริกกุ้งเสียบกับพวกของทะเลแห้งนี่ส่งไปเชียงราย? ส่งไปให้ใครคะ” ชอุ่มสงสัย
       ศรีเรือนมองด้วยสายตาคมกริบ
       ชอุ่มจ๋อย “ค่ะๆ” แล้วรีบหอบข้าวของออกไป
       ศรีเรือนเครียด เดินใช้ความคิดเรื่องวงเดือน แต่สายตาไปสะดุดที่ร้านเฟอร์นิเจอร์ไม้ฝั่งตรงข้าม
       ศรีเรือนเห็นเก้าอี้ไม้เล็กๆ สำหรับวางเท้าวางขายอยู่ ศรีเรือนมองเหมือนโดนมนต์สะกด
      
       กลางวัน วันนั้น สองคนอยู่ในห้องศรีเรือน ภูผาเอาเก้าอี้เล็กๆ สำหรับวางเท้ามาวางตรงเท้าย่า หญิงชรามองฉงน
       ภูผายิ้ม แล้วหยิบเบาะผ้าเล็กๆ มาวางบนเก้าอี้ก่อนจะยกเท้าศรีเรือนมาวางบนเก้าอี้
       “วางเท้าแบบนี้คุณย่าจะได้นั่งสบายขึ้นไงครับ ผมทำเองกับมือเลยนะครับคุณย่า รับรองแข็งแรง”
       ศรีเรือนยิ้มเยื้อนกิริยาปลื้ม “แล้วเบาะเล็กๆ นี่เราก็เย็บด้วยงั้นเหรอ”
       “เดือนเป็นคนเย็บให้ครับ”
       ศรีเรือนหน้าตึงทันที จะชักเท้าลงแต่ภูผาจับไว้เป็นเชิงห้าม
       “ผู้ชายอย่างผมเย็บผ้าไม่เป็น เดือนก็เลยอาสาเย็บให้” ศรีเรือนเริ่มอ่อนลง “ผมอยากให้คุณย่านั่งสบาย ๆ อย่าโกรธผมกับเดือนเลยนะครับ”
       ศรีเรือนใจอ่อน “ขอบใจนะ เรานี่น่ารักกับย่าเสมอ น่าจะทำกับพ่อเราด้วยนะ จะได้ไม่ต้องเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอย่างนี้”
       ภูผาเอาศีษะพิงขาศรีเรือนอ้อนนิดๆ “คุณย่าครับ ต่อให้ผมเกเรแค่ไหน ผมก็รู้ว่า..ชีวิตผมเป็นของแสนสมุทร แต่หัวใจเป็นของผม” ชายหนุ่มช้อนตามองย่า “ผมขอใช้หัวใจตัดสินเองได้ไหมครับว่าผมอยากจะมีชีวิตแบบไหน”
      
       ศรีเรือนเดินตามถนนในตลาดใกล้คลินิก คำพูดของภูผากับวงเดือนดังทับซ้อนไปมาแต่ใจความถ้อยคำของทั้งสอง หลอมรวมเป็นประโยคเดียวกัน
       “ชีวิตผมเป็นของแสนสมุทร”
       “ชีวิตเดือนเป็นของแสนสมุทร”
       “แต่หัวใจเป็นของผม”
       “แต่หัวใจเป็นของเดือน”
       “ผมขอใช้หัวใจตัดสินเองได้ไหมครับว่าผมอยากจะมีชีวิตแบบไหน”
       “เดือนขอแค่ให้หัวใจยังเป็นของเดือนได้ไหมคะ”
       ศรีเรือนน้ำตาคลอ หญิงชราตระหนักรู้แล้วว่าตัวเองควรทำอะไรต่อไป
      
       โฉมไฉไลนั่งอยู่ในรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ คลินิกของเมฆา กรี๊ด ๆๆ ๆ ๆ ทุบพวงมาลัยอย่างบ้าคลั่ง แค้นเคือง
       “อีแก่ศรีเรือน! ฉันจะต้องเป็นสะใภ้บ้านแสนสมุทรให้ได้ คอยดู”
       โฉมไฉไลออกรถทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง
      
       ขณะเดียวกันชอุ่มส่งของเสร็จ วิ่งกลับมาตรงจุดที่แยกกับศรีเรือน ชอุ่มมองหา แต่ไม่เจอ
       “อ้าว..คุณท่านไปไหนล่ะเนี่ย?!”
      
       โฉมไฉไลขับรถเข้ามาในซอยอย่างหัวเสีย เหยียบมิดไมล์พุ่งทะยานมาด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง
       จังหวะนั้นศรีเรือนกำลังจะก้าวเท้าเดินลงถนนในซอย ซึ่งเป็นซอยค่อนข้างเงียบ ไม่มีผู้คนสัญจร ประตูบ้านแถวนั้นก็ปิดเงียบทุกหลัง
       โฉมไฉไลหักเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอย่างเร็ว เจอเข้ากับศรีเรือนที่อยู่ในระยะกระชั้นชิด
       โฉมไฉไลตกใจร้องกรีดร้องขึ้นสุดเสียง “อ๊ายยย”
       โฉมไฉไลหักขวาสุดชีวิตแต่ก็หลบไม่พ้น เฉี่ยวชนศรีเรือนอย่างแรง  ร่างของศรีเรือนล้มลงตามแรงชนศรีษะของหญิงชรากระแทกกับขอบถนน แน่นิ่งไป โฉมไฉไลช็อก
       “อีแก่”
       โฉมไฉไลกลัวความผิด หันมองซ้ายมองขวากลัวคนมาเห็น ก่อนรีบขับรถหนีไปทันที
      
       ปล่อยร่างศรีเรือนให้นอนแน่นิ่งอยู่ โดยที่ศีรษะมีเลือดไหลซึมออกมาอย่างนั้น! 
ขอขอบคุณจาก manager.co.th       

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น