วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 9 (ต่อ) วันที่ 9 ก.ค. 55

 อาทิจเดินหน้าขรึมจ้ำมาตามทาง ชายหนุ่มหันไปมองดอกหญ้าที่ขึ้นอยู่ข้างทางแล้วหยุดถอนใจก่อนจะเปรยขึ้นโดยไม่รู้ตัว
      
       “ดอกหญ้าจะมีค่าอะไร ดอกก็เล็กกลิ่นก็ไม่หอม จะทำให้ใครสดชื่นได้ยังไง”
       เวทางค์ขับรถผ่านมาจริงๆแล้วตามอาทิจมา ชายหนุ่มกดเลื่อนกระจกรถลง
       “ยืนดมดอกหญ้ารึไง...ไอ้น้อง”
       อาทิจหันไปมอง เวทางค์ยิ้มหยัน
       “ระวังจะได้แต่กลิ่นฉี่หมานะ เห็นมีแต่หมาเท่านั้นล่ะที่ชอบดอกหญ้าพวกนั้น”
       เวทางค์ส่งยิ้มกวนอารมณ์ให้อาทิจ ก่อนจะเลื่อนกระจกขึ้นแล้วขับรถออกไป อาทิจยืนนิ่ง อาจจะจริงอย่างที่เวทางค์พูด มีแต่หมาเท่านั้นที่ชอบดอกหญ้าพวกนี้ ชายหนุ่มนิ่งอยู่เพียงครู่เดียวก็ไล่ความรู้สึกทุกอย่างออกไปจากใจ ก่อนจะเดินจากไปอย่างมุ่งมั่นกับงานที่รออยู่ข้างหน้า
      
       อาทิจกำลังเอาปุ๋ยคอกลงดินที่ขุดปรับพื้นที่เรียบร้อยแล้วท่ามกลาง แดดจัดกับต๊อด อึ่ง พัน สักครู่ ดรุณีวิ่งแจ้นขึ้นเนินมาทั้งชุดนักเรียน อึ่งหันมาเห็น
       “มาแล้วครับนักเรียนน้อย...ตามมาขอดอกหญ้าอีกแหง”
       “สงสัยอยากจะได้จัด หน้าตาท่าทางจริงจังมากเลยวุ้ย”
       ดรุณีพุ่งเข้ามาหาอาทิจอย่างแค้นใจ
       “ทำไมนายไม่ทำตามสัญญา”
       อาทิจ รวมทั้งต๊อด อึ่ง พัน พร้อมใจกันอึ้ง อาทิจงงๆ
       “เรื่องอะไรครับ”
       “นายเคยสัญญากับฉันแล้วใช่มั้ยว่านายจะไม่แย่งของของฉัน”
       อาทิจงงหนักขึ้นไปอีก
       “ผมไปแย่งอะไรจากคุณ”
       “ที่นี่เป็นที่ที่ฉันวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก แล้วจู่ๆนายจะเอาไปปลูกผักของนายได้ยังไง”
       “ผักของเราทุกคนครับ ไม่ใช่ของผมคนเดียว”
       “ก็นั่นแหละ นายจะทำตรงไหนก็ไปทำสิ ทำไมต้องมาทำในที่ที่ฉันรักด้วย ฉันเคยบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่า นี่มันที่ของฉัน”
       ย่าแดงเดินเข้ามา
       “เราจะเก็บที่ตรงนี้ไปทำอะไรล่ะแม่ณี ไหนว่ามาซิ ถ้ามีเหตุผลพอ ย่าจะให้พ่ออาทิจย้ายไปปลูกที่อื่นแทน”
       ดรุณีสะอึกพยายามเรียบเรียงคำพูด
       “ที่นี่...เป็นที่ที่เป็นความทรงจำของหนูกับคุณย่า”
       “ย่ากลับคิดว่าทุกที่ ที่หนูกับย่าเหยียบย่างไป มันคือที่ที่เป็นความทรงจำทั้งหมดของเรานะ ไม่ใช่แค่ที่นี่เพียงที่เดียว”
       ดรุณีจุกขึ้นมาถึงยอดอก
       “แต่...ที่นี่สำคัญมากสำหรับหนู ทุกครั้งที่คุณย่าออกไปข้างนอก หนูจะมายืนรอคุณย่าที่นี่...มันเป็นที่ที่ทำให้หนูเห็นคุณย่ากลับมา”
       “เราจะเก็บภูเขาทั้งลูกเอาไว้ เพื่อมองใครเพียงคนเดียวกลับมาหาเราอย่างนั้นหรือ แล้วถ้าวันไหนย่าไม่กลับมาล่ะ”
       ดรุณีน้ำตาคลอ
       “หนูรู้นี่คะว่า คุณย่าต้องกลับมาหาหนู”
       “แม่ณี...ย่าไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าได้นะลูก ไม่มีใครอยู่กับเราไปจนตายได้หรอก ยังไงย่าก็ต้องตาย เราทุกคนต้องตาย อยู่ที่ว่าแม่ณีอยากให้ย่าตายแล้วหายไปจากโลกนี้หรืออยากจะให้มีคนพูดถึงย่า ในแง่ดีบ้างเท่านั้นเอง”
       “คุณย่าคะ”
       “พี่เขาปลูกผัก มันเป็นงานที่เป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ทั้งคนงาน พ่อค้าแม่ค้าที่มาซื้อ แล้วก็คนกิน ถ้าคนกินแล้วติดใจรสชาติ เขาก็อาจจะตามมาเที่ยวมาถามหาว่า แปลงกะหล่ำปลีของคุณย่าอยู่ที่ไหน เห็นมั้ย...ไม่ว่าย่าจะอยู่หรือตายก็ยังมีคนจดจำถามถึง”
       อาทิจตัดใจ
       “คุณย่าครับ ถ้าคุณณีไม่สบายใจ ผมว่า...”
       ย่าแดงหันไปอบรมดรุณีต่อ
       “ย่าเลี้ยงแม่ณี สอนให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองเป็นทุกอย่างเพราะอยากให้แม่ณีโตและยืนบนลำแข้ง ของตัวเองให้ได้ ถ้าแม่ณียังเป็นลูกแหง่อยู่อย่างนี้ ย่าคงต้องพิจารณาตัวเองว่าเลี้ยงเรามาไม่ดีพอ”
       ดรุณียกมือไหว้น้ำตาหยดแหมะ
       “คุณย่าคะ หนูขอโทษ”
       อาทิจไม่สบายใจ
       “ผมว่าผม...ย้ายแปลงปลูกก็ได้นะครับ จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย”
       ดรุณีเสียงแข็งใส่
       “ไม่ต้อง นายจะปลูกให้เต็มเนินไปกี่ลูกก็ตามใจ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ว่าอะไรนายแล้ว”
       ย่าแดงถอนใจ
       “ย่าอยากให้แม่ณีเข้าใจเรื่องนี้ด้วยหัวใจและเหตุผล เพราะมันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราต้องฝืนใจทำอะไรเพื่อใคร โดยที่เราไม่เข้าใจ”
       ดรุณีเช็ดน้ำตา
       “หนูเข้าใจค่ะคุณย่า หนูผิดที่คิดอะไรเป็นเด็กๆ หนูขอโทษ”
       “แม่ณีต้องก้าวข้ามการเป็นเด็กติดย่า ไปเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในโลกของความเป็นจริงให้ได้ หมดเวลาที่เราจะคิดน้อยใจอะไรเป็นเด็กๆแล้ว จะเหลือก็แต่เวลาที่เราจะต้องร่วมมือกับพี่เขา สานต่องานที่สวนที่ไร่นี้ต่อไปเท่านั้น เข้าใจมั้ยลูก”
       ดรุณีแข็งขันขึ้นทันใด
       “ค่ะ”
       ย่าแดงลูบหัวดรุณีอย่างรักและเอ็นดู ในขณะที่อาทิจและสามเกลอพากันโล่งอก สักครู่ลุงเกร็งวิ่งหอบแฮกเข้ามา
       “คุณย่า...คุณณี อยู่กันพร้อมหน้าเลย”
       พันหันไปถามอย่างสงสัย
       “มีอะไรรึเปล่าน้าเกร็ง”
       “ก็แม่ทองประศรีน่ะสิ ตอนนี้หอบข้าวของเข้าไปที่บ้านคุณอาทิจแล้ว”
       ย่าแดงตกใจหันไปหาอาทิจ
       “ไปดูหน่อยมั้ยพ่อ”
       อาทิจเหนื่อยใจอย่างหนัก
       “ไม่ครับ ยังไม่หมดเวลางาน”
       อาทิจก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ย่าแดง ดรุณี ลุงเกร็งและสามเกลอหันไปมองอาทิจอย่างเห็นใจ
      
       สิงห์ทองกับคำมากำลังช่วยทองประศรีขนกระเป๋าเสื้อผ้าและเครื่องครัว อันประกอบด้วยหม้อไห กระทะซึ่งบุบบี้และไหม้ดำ รวมไปจนถึงกะปิน้ำปลาและอื่นๆ คำมาหันไปสั่งลูก
       “เอ้า...นังศรี เอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องผัวเอ็งเลย”
       “จ้ะแม่”
       ทองประศรีหิ้วกระเป๋าเข้าไปเก็บ
       “ถ้วยชามลามไหก็วางๆไว้หน้าบ้านนี่ล่ะตาสิงห์...อีนังคุณย่านี่มันงก จริงๆ ผัวนังหนูมันเป็นหลานแท้ๆ ไล่ให้มาอยู่กระท่อมโกโรโกโสอย่างนี้ได้”
       “เอาน่า...นังหนูมันผลิตเหลนให้เมื่อไหร่ ขี้คร้านจะเอาเทียบมาเชิญให้ขึ้นไปนอนบนเรือน อดใจสักแปดเก้าเดือน นังหนูมันไวไฟจะตาย เปิดปุ๊บติดปั๊บรับรอง”
       ตุ๊แอบเปรยๆ
       “จะได้เปิดรึเปล่าก็ไม่รู้ โม้อยู่ได้...เหม็นขี้ฟัน”
       ทองประศรีโผล่มายืนข้างๆเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
       “เหม็นอะไรนะพี่ตุ๊”
       ตุ๊ตกใจ
       “เหม็น...เอ่อ...” ตุ๊แกล้งทำจมูกฟุดฟิดแล้วหันมาดมผมทองประศรี “หือ...หัวน้องศรีนี่เอง เหม็นหืนจัง สระบ้างรึเปล่าเนี่ย”
       ทองประศรีวิตกจริต
       “ฉันสระทุกวันนะพี่ตุ๊”
       “เย็นนี้สระมัน 3 รอบเลย คุณอาทิจเขาชอบผู้หญิงผมหอม”
       คำมาเสริม
       “ไม่ใช่แค่หัวนะ เนื้อตัวก็เอาสบู่ถูให้มันสะอาดๆล่ะ”
       “ไม่ต้องห่วงจ้ะแม่ ฉันจะถูๆๆ ขัดๆๆ ให้คุณอาทิจอยากจะดมไปทุกซอกทุกมุมเลย”
       สิงห์ทองกับคำมา ยิ้มชอบใจในความคิดของลูก ในขณะที่ตุ๊ทำหน้าเพลีย พ่อแม่ ลูก เว่อร์สูสีกัน
      
       อาทิจ ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน แบกจอบเสียมและถุงปุ๋ยเดินลงเนินมา ต๊อดเห็นอาทิจเงียบไปเลยพยายามพูดฉุดอารมณ์เจ้านาย
       “ตื่นเต้นมั้ยนาย เมียมานอนให้กอดแก้หนาวถึงบ้านแล้วอะ”
       อึ่งแซว
       “รับรองนายอุ่นอกอุ่นใจทั้งคืนแน่ เพราะแม่ทองโตน่ะ ของเขามโหฬารเหลื๊อเกิน”
       อาทิจยังคงตีหน้าขรึม
       “แน่...ทำขรึม”
       อาทิจขึ้นรถกะบะที่จอดไว้ปลายเนิน ก่อนจะขับออกไปทันที ต๊อดหน้าเหวอ
       “อ้าว...แล้วพวกเราล่ะนาย เดี๋ยวรอก่อน นาย...นาย”
       “เป็นไง...ปากเก่งกันดีนัก กว่าจะกลับถึงบ้านคงได้นอนหยอดข้าวกันเลยล่ะทีนี้”
       ลุงเกร็งส่ายหน้าระอาสามเกลอในขณะที่ ทั้งสามเดินตามลุงเกร็งไปแบบเข่าอ่อน คอตก ไขข้อย้วยล่วงหน้า
      
       แก้วจัดแจงวางจานกับข้าวลงบนโต๊ะ ซึ่งย่าแดงกับดรุณีนั่งประจำที่อยู่แล้ว
       “น่าสงสารคุณอาทิจ ป่านนี้โดนยายทองประศรีปู้ยี้ปู้ยำไปแล้วก็ไม่รู้”
       “สงสาร แต่ก็ต้องทำใจ ยังไงเขาก็แต่งงานกันไปแล้ว”
       แก้วหนักใจ
       “แต่ถ้าอยู่กันคนละบ้าน คุณอาทิจก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกปล้ำนะคะ คุณย่าไม่น่าอนุญาตให้แม่นั่นมาอยู่ที่นี่เลย”
       “ไม่อนุญาตไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นเขาก็จะหยิบเรื่องรังเกียจ เรื่องชนชั้นขึ้นมาพูดกันอีก บอกตามตรงว่าฉันรำคาญ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยจะแยกว่าใครจนใครรวย เพราะทุกคนก็เป็นคนด้วยกันทั้งนั้น จะแยกก็เฉพาะคนดีกับคนชั่วนั่นล่ะ”
       “คุณอาทิจเป็นคนดี เราจะปล่อยให้คนดีๆไปอยู่กับคนชั่ว เอ๊ย...คนไม่ดีได้ยังไงคะ”
       ดรุณีขัดขึ้น
       “ถ้าเขาดีจริง เขาก็ต้องเปลี่ยนนิสัยเมียตัวเองให้ดีตามไปด้วยสิคะ น้าแก้วอย่าคิดมากเลยค่ะ เขาอาจจะกำลังนั่งป้อนข้าวป้อนน้ำมีความสุขกันอยู่ก็ได้”
       ย่าแดงถอนใจ
       “คงได้กินปลาร้าสมใจล่ะทีนี้ ตอนกลับเข้าบ้าน ได้กลิ่นน้ำพริกปลาร้าโชยมาแต่ไกล”
       ดรุณีประชด
       “ทองประศรีเขาคงทำเตรียมไว้ต้อนรับนายอาทิจนั่นล่ะค่ะ”
       แก้วเปรยๆ
       “น้ำพริกปลาร้าบ้านนี้ก็มี น้าแก้วอุตส่าห์ทำไว้ให้คุณอาทิจเหมือนกัน”
       อาทิจเดินเข้ามา
       “ถ้าอย่างนั้น...ผมขอฝากท้องกับที่นี่อีกสักวันนะครับ”
       ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามองอาทิจ
      
       ทองประศรีขยับมาผัดหน้านวลผ่องที่กระจกซึ่งแขวนไว้ที่ข้างฝา ก่อนจะหยิบน้ำหอมราคาถูกขึ้นมาฉีดที่ซอกคอ ปลดกระดุมอีกเม็ดก่อนจะแหวะอกโชว์เนินนมที่บวมตุ่ย ล้นทะลุเสื้อออกมา หญิงสาวจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกไปเปิดฝาชีที่ครอบกับข้าวซึ่งวางอยู่บนถาดที่ระเบียง พร้อมประดิษฐ์ท่าและเสียงเป็นกุลสตรีอ่อนหวาน
       “วันนี้ศรีทำน้ำพริกปลาร้าของโปรดของพี่ กินกับผักสด ปลาทอด ไข่ต้ม แล้วก็แกงผักหวานจ้ะ พี่กินเยอะๆนะจ๊ะ”
       ทองประศรีหัวเราะคิ๊กคัก เมื่อนึกถึงหน้าอาทิจที่ส่งตาหวานเชื่อมให้ตัวเอง
       “อู๊ย...แค่คิดก็สยิวแล้ว อยากเห็นหน้า อยากกอด อยากหอม อยากฟัด อื้ม...พูดแล้วหมั่นเขี้ยว เมื่อไหร่จะกลับมาสักทีนะ”
       ขาดคำ เสียงท้องก็ร้องดังจ๊อก จ๊อกขึ้นมา ทองประศรีเอามือลูบท้อง
       “ทนหิวอีกนิดนะคะลูกขา รอคุณพ่อกลับมาก่อนนะคะ”
       ทองประศรีชม้ายตา แล้วชะเง้อมองไปทางหน้าบ้านอย่างมีความหวัง
      
       แก้วยกถาดใส่ผลไม้มาวางที่โต๊ะที่ระเบียง อาทิจเดินออกมาจากห้องด้านในพร้อมย่าแดงและดรุณี
       “ผลไม้ค่า”
       “ขอบคุณครับ กับข้าวอร่อยมากครับน้าแก้ว”
       “อร่อย...ก็ต้องมากินที่นี่ทุกวันสิคะ”
       ดรุณีขัดขึ้น
       “ทำอย่างนั้นได้ยังไงคะน้าแก้ว เขามีครอบครัวแล้ว เขาก็ต้องกินกับครอบครัวเขา”
       “คุณณีคงสบายใจที่ไม่ต้องเทียวไปตามผมมากินข้าวที่นี่อีก”
       ดรุณีพูดไม่ออกเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสลดของอาทิจ
       “ผมขอตัวกลับก่อนนะครับคุณย่า พรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำอีกเยอะ”
       แก้วสวนทันที
       “นอนซะทีนี่เลยสิคะ แปลงกะหล่ำอยู่ใกล้ที่นี่มากกว่าที่บ้าน คุณอาทิจจะได้มีเวลาพักผ่อนนานๆ เดี๋ยวน้าแก้วไปจัดที่นอนให้ค่ะ”
       แก้วเดินออกไป อาทิจรีบบอก
       “ไม่ต้องหรอกครับน้าแก้ว รบกวนเปล่าๆ”
       “แต่...”
       อาทิจรู้ว่าแก้วเป็นห่วงเรื่องทองประศรี
       “ผมจะรักษาตัวให้รอดครับ”
       ดรุณีเปรย
       “ทำอย่างกับจะไปออกรบกันเลยนะคะ”
       แก้วทำหน้าสยอง
       “มันเสียวไส้ยิ่งกว่าเห็นคุณอาทิจไปรบอีกค่ะ”
       ย่าแดงหนักใจ
       “จะหลบไปไหนหรือพ่อ ถ้าฝ่ายนั้นเขาไม่ยอม ตามมาตอแยเราทั้งคืนล่ะ”
       “เขาคงไม่กล้าฉุดผมหรอกมั้งครับ”
       ย่าแดงยิ้ม
       “เออ...ถ้าโดนฉุดขึ้นมาล่ะก็ ร้องให้มันดังๆนะ ย่าจะส่งคนไปช่วย”
       ดรุณีคิดตามแล้วต่อมจินตนาการของเจ้าหล่อนก็เริ่มทำงานทันที...ใน ความคิดดรุณีเห็นอาทิจเดินมาตามทาง จู่ๆ ทองประศรีซึ่งสวมชุดและหมวกคาวบอยก็พุ่งออกมาจากข้างทาง แถมควงปืนและแสดงสีหน้าท่าทางเหมือนพวกจอมโจรที่แอบมาดักฉุดผู้หญิงในยุคไอ้ เสือบุก อาทิจเห็นทองประศรีแล้วทำท่าตกใจเว่อร์ ก่อนจะวิ่งหนี ทองประศรียิงปืนขึ้นฟ้า แล้ววิ่งตามมายื้อยุดฉุดแขน โดยที่อาทิจดิ้นแต๋วแตกเป็นนางเอกหนังไทยยุค16 มม. ไปมา
      
       ดรุณีหัวเราะตัวงอ ท้องคัดท้องแข็งกับภาพในจินตนาการเวิ่นเว่อร์ของตัวเอง สักครู่เสียงหัวเราะก็ขาดผึง เมื่อหญิงสาวหันมามองหน้าทุกคน อาทิจ ย่าแดง แก้ว ยืนมองดรุณีอย่างงงสุดขีดกับอาการหัวเราะไม่บันยะบันยังของหญิงสาว ดรุณียิ้มแหยใส่ทุกคน แต่เมื่อหันไปสบตาอาทิจหญิงสาวก็อดที่จะหัวเราะขำต่อไม่ได้ อาทิจมองดรุณีอารมณ์ เฮ้อ...ถ้าจะอ่านหนังสือมากไป หรือไม่ก็ทำข้อสอบจนเพี้ยนแน่เลยแม่คุณเอ๊ย
      
       ค่ำนั้น ต๊อดนอนกระดิกเท้าอยู่ที่พื้นระเบียงหน้าห้องพักคนงาน ไพฑูรย์เดินเข้ามา
       “ไง...ไอ้ต๊อด เมียตัวจริงเขามาแล้ว เลยโดนเขี่ยกระเด็นกลับมานอนนี่งั้นสิ”
       “ไม่ได้โดนเขี่ย ฉันกลับมาเอง ใครจะกล้าไปนอนเป็นก้างขวางนาย ถ้าแค่แอบดูก็ว่าไปอย่าง”
       “พนันกันมั้ยวะว่าคืนนี้นายอาทิจจะขึ้นชกสักกี่ยก”
       ลุงเกร็งนั่งกินยาดองอยู่กับอึ่งและพันอีกมุม ได้ยินก็ไม่พอใจนัก
       “เฮ้ย...จะนินทาอะไรก็ให้ระวังบ้างนะเว้ย คุณอาทิจน่ะเจ้านายพวกเรานะ”
       ไพฑูรย์ยิ้มๆ
       “แหม...น้าเกร็งก็ เรื่องในมุ้งน่ะเรื่องธรรมดาจะตาย มันก็เหมือนกับกินข้าวนั่นล่ะ”
       พันขัดขึ้น
       “แต่คนธรรมดาเขากิน 3 นอน 1ก็เหลือแหล่ ไม่มีใครเกินธรรมดาอย่างพี่ฑูรนี่”
       อึ่งมองไพฑูรย์
       “กิน 3 นอน 4 มันมากไป หมอเขาว่าอายุจะสั้นเอานะ”
       “ไอ้อึ่ง นี่เอ็งแช่งข้าเหรอ”
       ไพฑูรย์จะเข้ามาเตะ อึ่งยกมือห้าม
       “เก็บแรงเอาไว้เปิดโรงคืนนี้ดีกว่าน่า ป่านนี้นางเอกไม่คอยเงกแล้วเหรอ”
       ต๊อดแซว
       “เดี๋ยวเถอะ...เดี๋ยวได้โดนจัดหนักไม่ใช่น้อย”
       ไพฑูรย์นึกขึ้นได้
       “เออว่ะ” ไพฑูรย์วิ่งออกไปแล้วชะงัก “แล้วจะมีใครตามไปดูรึเปล่าวะ”
       ลุงเกร็งตัดรำคาญ
       “เออ...แล้วจะตามไป”
       ไพฑูรย์รีบวิ่งออกไป ต๊อดเบ้หน้า
       “ใครจะไปดูวะ โรงก็ผุ พระนางก็หง่อม ไปดูโรงใหม่ดีกว่า”
       ต๊อด อึ่ง พัน หัวเราะชอบใจ อาทิจเดินเข้ามาทางด้านหลัง
       “ไอ้ต๊อด”
       “ว้าย...นาย มาทำไมเนี่ย ว่าจะตามไปแอบดู เอ๊ย ตามไปขนของกลับมานี่พอดีเลย”
       อาทิจเสียงเข้ม
       “งั้นก็รีบไปขน”
       ต๊อดยิ้มๆ
       “แหนะ...ใจร้อนซะด้วย”
       “ของของฉันนะ ขนออกมาให้หมดเลย ฉันจะนอนที่นี่”
       “อ้าว”
       ทุกคนมองอาทิจด้วยอาการงวยงง
      
       ทองประศรีกินข้าวซัดเอาๆยังกับน้องผู้หิวโหย สักครู่หญิงสาวได้ยินเสียงคนเดินที่ระเบียงเลยรีบเช็ดปาก แล้วมายืนแนบฝาบ้านเตรียมจ๊ะเอ๋อาทิจ ต๊อดเปิดประตูย่องเข้ามาในบ้าน ทองประศรีโผเข้าไปกอดด้านหลังต๊อดแน่น หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ตอนแรกต๊อดก็ดีดดิ้น แต่สักพักก็ชักเคลิ้ม ปล่อยเลยตามเลย ตอนแรกทองประศรีก็หมั่นเขี้ยว กอดเอา ฟัดเอา แต่สักครู่ก็ต้องชะงัก เพราะรู้สึกถึงสัมผัสของกล้ามเนื้อที่ย้วยยวบยาบ สุดท้ายหญิงสาวอดสงสัยไม่ได้เลยลืมตาขึ้น
       “อ๊าย...ไอ้ต๊อด”
       “ก็ใช่น่ะสิ มากอดอยู่ได้ อึดอัดนะเนี่ย”
       “นี่มันบ้านของฉันกับพี่เขา แกสะเออะเข้ามาทำไม”
       “คุณย่าใช้ให้ฉันมานอนเป็นเพื่อนนายตั้งแต่วันแรกที่นายมาอยู่นี่ แต่ในเมื่อน้องทองโตมาแล้ว พี่ต๊อดก็อุตส่าห์มาย้ายของออก น้องทองโตจะได้อยู่กับนายสองต่อสอง ไม่ดีเหรอหรือจะอยู่กันแบบเราสามคน เออ...ดีเหมือนกัน ง่วงแล้วด้วย”
       ต๊อดล้มตัวลงนอนทันที ทองประศรีกระชากต๊อดขึ้นมา
       “รีบเก็บของของแกออกไปให้พ้นๆบ้านเดี๋ยวนี้เลย แล้วไม่ต้องโผล่มาให้เห็นหน้าอีก เข้าใจมั้ย”
       “เออ...ไม่ต้องไล่หรอกน่า จะเก็บให้หมดไม่เหลือสักชิ้นเลย”
       ต๊อดเดินไปหยิบผ้าขาวม้าที่พาดตากอยู่บนราว ทองประศรีมองๆ
       “ของผัวฉันรึเปล่า”
       “นายจะใช้ผ้าข้าวม้าปะแล้วปะอีกแบบนี้เหรอ คิดซะบ้างสิ”
       ต๊อดรีบหยิบกระเป๋าใส่เสื้อผ้าของอาทิจซึ่งวางอยู่ที่ชั้นล่างสุด ขึ้น แล้วรีบยัดเสื้อผ้าที่พับวางเรียบร้อยบนชั้นด้านบนยัดใส่กระเป๋า
       “เสื้อผ้าพวกนั้น...”
       ต๊อดหน้าตายมาก
       “ของพี่ต๊อด ของนายพับอยู่ที่พื้นโน่น นายยกชั้นนี่ให้พี่ต๊อดเพราะนายเป็นคนติดดิน นายชอบวางเสื้อผ้าที่พื้นจะได้หยิบง่ายๆ”
       ต๊อดคว้ากระเป๋า แล้วเดินไปหยิบแคนซึ่งวางอยู่มุมหนึ่งติดมือมา ก่อนจะเหล่ไปมองทองประศรี
       “ไม่ต้องสงสัยเลย แคนนี่ก็ของพี่ต๊อด นายเขาคนเมืองจะเป่าแคนได้ไง คิดสิคิด”
       ต๊อดเอ็ดใส่ทองประศรีแล้วหันไปเห็นรูปอาทิจกับครอบครัวซึ่งวางอยู่ ที่หัวเตียงเลยต้องเป็นฝ่ายคิดซะเอง...จะเอาไปยังไงดี แล้วสักครู่...ชายหนุ่มก็ร้องลั่นพร้อมกับชี้ไปที่เพดานด้านหนึ่ง
       “เฮ้ย...ตุ๊กแก!”
       ทองประศรีมองตาม ต๊อดรีบหยิบรูปถ่ายอาทิจใส่กระเป๋าทันที ทองประศรีหันมา
       “ไหนวะ”
       “ก็รอสักพักสิจ๊ะ ตุ๊กแกมันโผล่มาเมื่อไหร่ น้องทองโตก็ได้อ้อนออเซาะกอดนายจนหนำใจเองแหละ ไปนะ”
       ต๊อดแทบจะวิ่งออกไป
       “อันที่จริงก็กลัวนะ แต่ถ้ามันทำให้ได้กอดคุณอาทิจล่ะก็...” ทองประศรีทำก๋า “โผล่ออกมาสิวะ”
       ทองประศรียืนจังก้าท้าทายตุ๊กแก
ขอขอบคุณจาก manager.co.th  

อ่านละครธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 8 (ต่อ) วันที่ 8 ก.ค. 55

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น