วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

อ่านละคร ขุนเดช ตอนที่ 6 วันที่ 23 เม.ย. 55

อ่านละคร ขุนเดช ตอนที่ 6
“ฉันไปช่วยซ่อมหลังคาบ้านให้น้าคำปันมา แกมีอะไร” ขุนเดชตอบแทนหลวงลุง ทำเอายงยุทธนิ่งไป เปลี่ยนเป็นถามว่า วันนี้ตนไปตามองค์พระกลับมาได้แล้วรู้ไหม ขุนเดชบอกว่าไม่รู้ แต่ขอบใจที่มาบอก หลวงลุงถามว่าจับโจรได้ไหม

“ผมเองก็อยากจับเป็นให้ได้เหมือนกันครับหลวงลุง แต่โจรที่ระเบิดกรุขุดพระถูกวีรบุรุษบาปพร้อมกับพรรคพวกของมันฆ่าตายไปเสีย ก่อน” ยงยุทธตอบหลวงลุง ตาคอยชำเลืองจับพิรุธขุนเดช แต่กลับเจอสายตาขุนเดชที่จ้องเขม็งอยู่

“แล้วผู้หมวดสืบรู้รึยังว่าทำไมฆาตกรรายนี้ถึงไล่เข่นฆ่าพวกโจร แล้วช่วยตามเอาวัตถุโบราณมาคืนให้ราชการ”

“ผมยังสืบไม่ได้ครับหลวงลุง ถึงมันจะช่วยเหลือราชการ แต่ยังไงสิ่งที่มันทำก็เป็นความผิด ตราบใดที่ผมยังอยู่ที่ศรีสัชฯ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองของคนดี ผมขอสาบานต่อหน้าหลวงลุงว่า ผมจะปกป้องเมืองนี้จากพวกนอกกฎหมายด้วยชีวิตของผม!!”

ขุนเดชกับยงยุทธจ้องกันเขม็งแบบไม่มีใครยอมใคร หลวงลุงเห็นแล้วก็ไม่สบายใจ

ส่วนประดับ คว้าน้ำเหลวกลับไปที่บ้านกำนัน มีปากเสียงจนเกือบยิงกันกับสัมฤทธิ์ที่ต่างก็เขม่นกัน จนกำนันต้องปรามลูกชายให้หุบปากไล่จะไปไหนก็ไป แล้วถามประดับว่า “เท่าที่คุณเจอมัน พอจะรู้ไหมว่ามันเป็นใคร”

“ฉันไม่ทันได้เห็นหน้ามัน แต่เชื่อเถอะ ต่อให้มันเก่งกาจมากแค่ไหน มันก็ต้องโดนฉันจัดการเข้าสักวัน ไอ้วีรบุรุษบาป!”


ooooooo

ยงยุทธวางแผนสืบจากดาบไปสู่วีรบุรุษบาป เขาให้ช่างตีดาบที่สุโขทัยส่งของมีคมทุกชนิดที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้มาให้ดู เพื่อจะเปรียบเทียบคมดาบที่วีรบุรุษบาปใช้สังหารพวกโจร จ่าถามว่าแล้วเพลงดาบวีรบุรุษบาปใช้ล่ะ?

“เพลงดาบเดือนดับ” ยงยุทธบอก อธิบายว่า “มันเป็นเพลงดาบของพวกเพชฌฆาตโบราณที่มีไว้จัดการลงทัณฑ์คนผิด เป็นเพลงดาบที่ไร้ความปรานี เป้าหมายมีเพื่อสังหารจุดตายให้ได้ในดาบเดียว”

จ่าถามว่าในเมื่อมันเป็นเรื่องโจรฆ่าโจรไม่เป็นการช่วยผ่อนแรงเราหรือ ถูกยงยุทธเรียกปรามอย่างไม่พอใจ จนดาบต้องรีบขอโทษ รีบพูดแก้ว่า เราเป็นตำรวจเราต้องทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ถามว่าแล้วหมวดจะให้ตนช่วยอะไรได้บ้าง

“อยากช่วยใช่ไหมจ่า...ได้ ผมอยากหาที่ลองดาบพวกนี้ดู” ยงยุทธหยิบดาบเล่มหนึ่งขึ้นมา จ่าเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของหมวดก็หน้าเจื่อน

หลังจากนั้น จ่าแท่นกลับไปที่บ้านคำปัน ล้างเลือดออกจากมือในขณะที่เสื้อผ้าจ่าเต็มไปด้วยรอยเลือด จนคำปันกับบัวทองตกใจถามว่าไปโดนอะไรมาถึงได้เปรอะเลือดไปทั้งตัว

จ่าเล่าว่า หมวดยงยุทธให้ตนเอาดาบไปลองฟันที่โรงฆ่าหมู เพื่อจะสืบให้ได้ว่าอาวุธที่วีรบุรุษบาปใช้นั้นเป็นแบบไหน เลยใช้ตนเอาสารพัดดาบไปฟันเนื้อหมูดู เพื่อเปรียบเทียบรอยแผลที่มันทิ้งเอาไว้บนศพโจร

“แล้วได้เรื่องอะไรไหมลุงจ่า” บัวทองถามอย่างสนใจมาก

ooooooo

ที่คฤหาสน์ของปราชญ์ วันนี้บรรยากาศตึงเครียดมาก ประดับถูกปราชญ์ตบหน้าฉาดใหญ่ ตวาดด่าอย่างเกรี้ยวกราด

“ฉันไม่สนใจว่าพวกแกจะเรียกมันว่าอะไร แต่ถ้าใครมาขวางทางฉัน แกต้องจัดการมันให้ฉัน เข้าใจไหม!” ปราชญ์เอานิ้วจิ้มหน้าอกประดับจนเขาหงายไป เขารีบรับคำ ปราชญ์ถามว่า “ผมเสียพระพุทธรูปฟ้าผ่าไปแล้ว เรื่องโลหะธาตุทองแดงจะเอายังไงต่อ”

“พระพุทธรูปฟ้าผ่ามีอำนาจในการรวมพลังจากธรรมชาติ ผมไม่แน่ใจว่าจะหาวัตถุโบราณชิ้นอื่นที่มีอำนาจแบบนั้นได้อีก อาจจะต้องใช้เส้นสายของท่าน” ก้องเกียรติเสนอขึ้น

“ได้...ผมจะได้ทำเรื่องขอยืมออกมาจากพิพิธภัณฑ์ เอามาจัดงานให้คนกราบไหว้แล้วให้อาจารย์เอาของปลอมเข้าไปเปลี่ยน ส่วนแก...” ปราชญ์หันไปทางประดับ “ให้ไปจัดการเรื่องไอ้วีรบุรุษบาปนั่น อย่าให้มันมาขวางทางฉันอีก ไป!”

คืนนี้ ประดับไปที่ไนต์คลับพบกับปารมี เธอ ลูบไล้ใบหน้าเขาที่ถูกตบ ถามว่าเจ็บไหม บ่นว่าทำไมพ่อต้องทำกับเขาถึงขนาดนี้ บอกว่าจะไปเอาเรื่องกับพ่อ ประดับรีบห้าม เพราะนั่นจะทำให้ปราชญ์รู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา คราวนี้เขาจะไม่เพียงแค่โดนตบแต่อาจต้องติดคุกทีเดียว

ปารมีดื้อรั้น บอกว่าพ่อไม่มีทางขวางตนได้ประดับเตือนว่าเธอยังเรียนไม่จบ ปารมีตอบอย่างไม่แยแสว่าตนไม่อยากเรียนคิดจะลาออกอยู่แล้ว เธอยอมตามที่ประดับขอร้องแต่ย้ำกับเขาว่า ตนใจร้อนอยากแต่งงานใจจะขาดอยู่แล้ว

ประดับกับปารมีต่างจ้องตากันด้วยความปรารถนาร้อนแรง โน้มหน้าเข้าจูบกันท่ามกลางแสงสลัวในไนต์คลับ

ที่เคาน์เตอร์ ผกายืนมองอยู่ตาร้อนผ่าว นักร้องสาวคนหนึ่งเข้ามาพูดอย่างทนดูไม่ได้ว่า

“เป็นฉันละก็...ฉันเตรียมหาผัวใหม่แล้วล่ะ เพราะพอมันได้เป็นเขยรัฐมนตรีเมื่อไหร่ แกได้เป็นหมาหัวเน่าแน่นังผกา”

ผกามองไปที่ประดับกับปารมีตาขวาง กระแทกแก้วเหล้าปัง!

ooooooo

คืนนี้ ยงยุทธไปหาขุนเดชที่กระท่อม ขุนเดชกำลังตีจอบตีเสียมให้ชาวบ้านอยู่ เขาถามทั้งที่ไม่ได้หันมองว่ายังไม่หมดธุระกับตนหรือ ยงยุทธบอกว่ายัง แล้วเล่าว่า

“วันนี้ ฉันลองเอาดาบทุกชนิดเท่าที่หาได้ไปลองใช้ดู เพราะอยากรู้ว่าวีรบุรุษบาปที่ชาวบ้านกำลังสรรเสริญ ใช้อาวุธแบบไหนไปเที่ยวไล่ฆ่าคน”

ขุนเดชเดาว่า ลองแล้วไม่ได้เรื่องใช่ไหม ยงยุทธบอกว่าได้เรื่อง รู้ว่ามันใช้เพลงดาบเดือนดับจัดการสังหารโหด ถามขุนเดชว่าเคยได้ยินเพลงดาบนี้รึเปล่า

“เปล่า...ฉันไม่เคยได้ยิน”

“แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับต้องรู้ให้ได้ว่า ดาบที่มันใช้เป็นดาบอะไร เท่าที่ฉันลองใช้ดาบทุกชนิดแล้ว ไม่มีอันไหนเลยที่จะเป็นอาวุธมันได้ ก็แสดงว่า ดาบของมันต้องเป็นดาบพิเศษที่ตีขึ้นมาเองโดยเฉพาะ”

ขุนเดชบอกว่าแบบนี้เขาก็เจองานหนักแล้ว คงต้องเปลี่ยนแนวทางอื่นไปสืบแทน ยงยุทธยืนยันว่า ทางอื่นก็ต้องเดินหน้าไปด้วย แต่ยังไงตนก็ไม่ทิ้งการสืบทางนี้ คิดจะจับฆาตกรให้มันดิ้นไม่หลุดก็ต้องจับให้ได้พร้อมอาวุธของมัน แล้วเอ่ยปากขอให้ขุนเดชช่วย พอขุนเดชหันมอง ยงยุทธบอกว่า

“วิชาตีเหล็กของลุงเถินได้ชื่อว่าไม่เป็นสองรองใคร คนที่ได้รับการถ่ายทอดมาทั้งวิชาตีดาบ ทั้งเชิงดาบ ก็มีแต่แกเท่านั้น”

“แกก็เลยอยากให้ฉันตีดาบเพื่อเอาไปใช้เปรียบ เทียบกับอาวุธของวีรบุรุษบาป?”

“ฉันคิดว่าแกคงช่วยราชการได้ แล้วที่สำคัญ แกเอง ก็มีอุดมการณ์เดียวกับไอ้หมอนั่น แกคงอยากรู้ว่ามันเป็นใคร”

“ฉันไม่อยากรู้ว่าไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร” ขุนเดชโพล่งออกไป ยงยุทธเรียกเขาอย่างคิดไม่ถึง ขุนเดชพูด เรียบๆว่า “กลับไปเถอะยงยุทธ ลุงเถินไม่เคยสอนวิชาตีดาบให้ฉัน สิ่งที่ฉันรับการถ่ายทอดมาก็มีแต่การหล่อพระ เตาตีเหล็กที่เห็นก็มีไว้ทำจอบ ทำเสียม ทำเครื่องมือให้พวกชาวบ้านไว้ทำมาหากินเท่านั้น

“น่าเสียดายนะขุนเดช ทั้งๆที่ฉันพยายามจะดึงแกให้มาร่วมมือกับราชการ มาช่วยกันจัดการกับโจร แต่แกก็ยังเฉย แกเฉยเพื่อสนับสนุนให้โจรมันอยู่เหนือกฎหมาย”

ขุนเดชไม่พูดอะไร หันไปใช้คีมคีบเหล็กที่เผาไฟจนแดงออกมาวางบนทั่งตีเหล็ก ในขณะที่ยงยุทธพูดเสียงสะท้านว่า

“แกทำให้ฉันเสียดายเวลาที่เคยคิดว่าแกกับฉันเป็นพี่เป็นน้องกัน” พูดแล้วยงยุทธเดินออกไปเลย

ขุนเดชเงียบ หยิบค้อนขึ้นมาตีกระหน่ำลงเนื้อเหล็กที่แดงฉาน เหมือนตอกย้ำจิตวิญญาณของตัวเอง!

ooooooo

คืนเดียวกันนี้ ที่บ้านทรงไทยของเศรษฐีในละแวกนั้น ถูกโจรเอาผ้าขาวม้าโพกหน้าบุกปล้น มันฆ่าเศรษฐีใช้ดาบฟันผ่าแต่หน้าผากลงมาถึงท้องในดาบเดียวตายคาที่ ฆ่าลูกจ้างในบ้านทั้งหมด

ลูกน้องมันอุ้มพระองค์หนึ่งออกมาบอกว่าเจอแล้ว โจรโหดหัวเราะอย่างสะใจที่ได้ของที่ต้องการ มันสั่งลูกน้องว่า


“เอาไปขึ้นเรือ ส่วนพวกมึงอยากได้อะไรก็ขนไปให้หมด ไหนๆก็มาแล้วจะได้ไม่เสียเที่ยว” ลูกน้องมันถามว่าแล้วผู้หญิงพวกนี้ มันชี้ไปที่ลูกสาวเศรษฐี “กูเอาอีนี่ ส่วนอีแก่นั่น ส่งมันไปอยู่กับผัว” แล้วมันก็ลากลูกสาวเศรษฐีที่ร้องไห้โฮๆออกไป ส่วนลูกน้องมันก็หันไปมองเมียเศรษฐีอย่างเหี้ยมโหด

ลูกสาวเศรษฐีถูกลากไป เธอร้องขอความช่วยเหลือ มันตะคอกให้หยุด ลูกสาวเศรษฐีด่ามันว่า “ไอ้เลว แกฆ่าพ่อฉัน” ก้มกัดแขนมัน แล้วกระชากผ้าขาวม้าที่พันหน้ามันออก เธอตกใจสุดขีดเมื่อจำได้ว่ามันคือไอ้น้ำ ลูกชายผู้ใหญ่น่วมนั่นเอง!

“อีนี่...วอนหาเรื่องตายซะแล้ว” มันบีบปากลูกสาวเศรษฐีสีหน้าเหี้ยมเกรียม

รุ่งขึ้น ตำรวจไปดูที่เกิดเหตุที่บ้านเศรษฐี จ่าแท่นเห็นสภาพศพของเศรษฐี เมีย และลูกจ้างแล้ว รีบเอาผ้าคลุม สบถอย่างแค้นใจ “โหดเหี้ยมเหมือนไม่ใช่คน ไอ้โจรพวกนี้มันเลวได้ใจจริงๆ”

จากการสอบถามผู้ใหญ่น่วมที่มาดูสถานที่ ผู้ใหญ่ดูแล้วบอกว่าตายเกลี้ยงทั้งบ้าน ยงยุทธถามว่า เห็นจ่าแท่น บอกว่า บ้านนี้มีลูกสาวคนหนึ่ง จ่าบอกว่าลูกสาวหายไปตั้งแต่เมื่อคืนตอนนี้ยังไม่มีใครพบเลย

ขณะนั้นเอง มีตำรวจเข้ามารายงานว่าพบลูกสาวผู้ตายแล้ว ทุกคนหันมองและรีบตามตำรวจคนนั้นไปที่ศาลาท่าน้ำ ลูกสาวเศรษฐีถูกฆ่าด้วยการกดน้ำให้ตายอย่างทรมาน

ยงยุทธถามผู้ใหญ่น่วมว่าสนิทกับครอบครัวผู้ตายหรือเปล่า ผู้ใหญ่บอกว่ารู้จักกันมาเป็นสิบปีแล้ว หมวดถามอีกว่ารู้ไหมว่า ครอบครัวผู้ตายมีปัญหากับใครบ้าง ผู้ใหญ่บอกว่าเท่าที่รู้ก็ไม่มีย้อนถามว่า หมวดสงสัยจะไม่ใช่คดีปล้นธรรมดาหรือ

“ผมสงสัยว่าผู้ตายจะรู้จักกับไอ้โจรคนนี้ดี สังเกตจากศพที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ เธอคงเห็นหน้ามันเข้า มันก็เลยต้องจัดการฆ่าให้ตายเพื่อปิดปาก”

จ่าแท่นเห็นด้วยกับหมวด เสนอว่าเราต้องสืบจากคนใกล้ชิดก่อน ยงยุทธเห็นด้วย ผู้ใหญ่น่วมแอบกังวลขึ้นมาจนผิดสังเกต

เมื่อกลับถึงบ้าน ผู้ใหญ่ด่าน้ำว่า ส่งให้ไปปล้นเอาแต่พระไปให้กำนันบุญ แต่ไปทำจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา น้ำเชื่อว่ายังไงตำรวจก็สาวมาไม่ถึงเรา ผู้ใหญ่ไม่ห่วงตัวเองเพราะมีปลอกคอ แต่ห่วงตัวมันเองที่มีคดีบัญชียาวเป็นหางว่าว ถ้ามีเรื่องนี้อีกตนขี้เกียจบากหน้าไปขอร้องให้กำนันบุญช่วยเหลือ

น้ำเสนอว่าเราต้องเป็นลูกน้องทำตามคำสั่งกำนัน เพราะเรารวยไม่เท่ากำนัน ชวนพ่อเอาเงินที่ปล้นได้กับเงินค่าพระที่ได้จากกำนันไปเข้าบ่อนดีกว่า ตาตนกระตุกมาทั้งวัน ดวงเรากำลังขึ้น คราวนี้ถ้าไม่รวยให้กระทืบเลย

ooooooo

เพราะวัดเกาะน้อยทรุดโทรมลงไปมาก หลวงลุง จึงปรึกษาดาราจะให้ทางกรมศิลป์ฯช่วยบูรณะ ดารารับปากจะเสนอเรื่องให้ ขุนเดชถามว่า แล้วพระเพชรทอง จะให้บูรณะพร้อมกันไปเลยไหม

หลวงลุงหันมององค์พระประธานปางสมาธิปูนปั้นองค์ใหญ่ ศิลป์ช่วงปลายสุโขทัย ท่านปรารภว่า

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป หลวงลุงก็อยากจะบูรณะพระเพชรทองด้วย หลวงพ่อท่านอยู่คู่กับวัดมานาน ถ้าไม่ได้บารมีของท่านช่วยสร้างขวัญกำลังใจ บรรพบุรุษของคนที่นี่ก็คงจะล้มหายตายจากหมด”

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะรับหน้าที่ดูแลให้เองครับ” ขุนเดชอาสา

หลวงลุงขอบใจ ขุนเดชก้มกราบด้วยความดีใจ ในขณะที่ดาราแหงนมององค์พระเพชรทองอย่างสงสัย... อยากรู้

ระหว่างเดินออกจากโบสถ์ ขุนเดชจึงเล่าประวัติพระเพชรทองที่เล่าขานกันมาให้เธอฟังว่า

“เป็นเรื่องเล่ากันปากต่อปากของพวกชาวบ้านแถวนี้ ว่ากันว่า ช่วงปลายสุโขทัย โจรออกอาละวาดชุกชุม ชาวบ้านต้องออกมาช่วยกันป้องกันทรัพย์สินของตัวเอง แต่ก็ยังสู้โจรไม่ได้ ถูกพวกมันปล้นฆ่าไปมาก เหลือคนที่ต้องการรักษาชีวิตและทรัพย์สินที่หามาทั้งชีวิตไม่ให้ตกไปอยู่ในมือโจร เมื่อไม่มีที่ไหนเป็นที่พึ่ง ก็ต้องหันมาพึ่งวัด”

“ชาวบ้านพากันอพยพมาอยู่ที่วัดกันหมดเลยเหรอ”

“ใช่...ที่นี่เป็นวัดเล็กๆ ไม่มีแม้แต่พระประธานให้กราบไหว้ พวกชาวบ้านก็เลยช่วยกันสร้างพระเพชรทองขึ้นมาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ”

“แล้วทำไมถึงเรียกพระเพชรทองล่ะ”

“เล่ากันว่า ตอนสร้างองค์พระ ชาวบ้านได้นำสมบัติที่เหลืออยู่ติดตัว ทั้งเพชร ทั้งทอง เก็บรักษาไว้ในเศียรพระเพื่อป้องกันไม่ให้พวกโจรมาขโมยไปอีก”

“แล้วในเศียรพระมีสมบัติอยู่จริงๆเหรอขุนเดช”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อยากให้ไม่มีสมบัติอยู่ในนั้น เพราะยุคสมัยนี้ก็ไม่ต่างจากสมัยที่บรรพบุรุษเราต้องลุกขึ้นมาปกป้องชีวิตตัวเองจากพวกโจร” น้ำเสียงขุนเดชเครียดขึ้น พูดแล้วเขาเดินจากไปเงียบๆ ดารามองตามอย่างครุ่นคิด...

ooooooo

ประดับได้รับคำสั่งจากปราชญ์ให้มาประจำที่บ้านกำนันบุญ ผกาตามมาด้วยเพราะไม่ไว้ใจกลัวถูกถีบหัวส่งเมื่อเขาไปถึงฝั่ง พอมาถึง กำนันที่ติดใจผกามานานแล้ว ให้การต้อนรับอย่างกระตือรือร้น เอาใจผกาถึงขั้นให้เข้าไปในห้องเก็บของเก่าที่กำนันสะสมไว้

ผกาดูอย่างสนใจแต่ไม่ใช่เพราะชอบ หากแต่สงสัยว่าทำไมแค่เศษอิฐเศษเหล็กเก่าๆถึงได้มีราคาสูงขนาดแย่งจนฆ่ากันตาย กำนันบอกว่าเรื่องพวกนี้ผู้หญิงอาจไม่เข้าใจ เพราะมันเป็นเรื่องของอำนาจและบารมีที่ยิ่งมีของดีของหายากมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงถึงความยิ่งใหญ่

ผกาแบะท่าว่าตนไม่สนใจของพวกนี้ ใครก็ตามขอแต่มีเงินให้ตนจับจ่ายได้ไม่อั้นตนก็พอใจแล้ว กำนันมองหน้าผกาถามว่า “แล้วถ้าผมบอกว่า ผมมีให้ได้อย่างไม่จำกัดล่ะ”

“แล้วฉันจะคอยดูว่า ผู้ใหญ่ที่มีคนเคารพนับหน้าถือตาอย่างกำนันเป็นคนพูดจริงทำจริงหรือแค่ปากหวานหว่านล้อมคนเก่งเท่านั้น” พูดแล้วทิ้งสายตาเดินยั่วยวนออกไป กำนันมองตามตาเป็นประกายด้วยความมันเขี้ยว

ooooooo

ผู้ใหญ่น่วมกับน้ำ ออกจากบ่อนอย่างห่อเหี่ยวเพราะเล่นเสียหมดซ้ำยังเป็นหนี้ทั้งเก่าและใหม่บานตะไท แม้ว่าผู้ใหญ่โมโหลูกชายแต่ก็ไม่ได้กระทืบตามที่น้ำเดิมพันไว้ ทำได้แค่บ่น ถามน้ำว่าแล้วจะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้กำนันหมด

น้ำเสนอจะไปปล้นพระดีๆจากพวกเศรษฐีเอามาขายอีก แต่ผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วยกลัวลูกชายจะโดนหมวดวิสามัญเสียก่อน แล้วไหนยังมีวีรบุรุษบาปนั่นอีก

“ถ้าพ่อยังขี้ขลาดตาขาวแบบนี้ ทางเดียวที่จะไม่โดนเจ้าหนี้ตามก็ต้องหนีไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่”

น้ำบ่นไปพายเรือไป จนผ่านท่าน้ำหน้าวัดเกาะน้อย ผู้ใหญ่ฉุกคิดอะไรได้บอกให้น้ำเอาเรือไปเทียบท่าน้ำวัด มันถามว่าพาตนเข้าวัดทำไม ผู้ใหญ่พูดเบาๆว่า “ข้ามีทางหาเงินไปใช้หนี้บ่อนแล้วน่ะสิวะ ตามมา ข้าจะให้ดูอะไร” แล้วผู้ใหญ่น่วมก็เดินนำไปในโบสถ์ พลางเล่าว่า

“เอ็งเคยได้ยินที่เขาลือกันรึเปล่า ว่าตอนสร้างพระเพชรทอง พวกชาวบ้านสมัยสุโขทัยเอาสมบัติมาซ่อนไว้ในเศียรพระ” น้ำถามว่าป่านนี้ไม่ถูกขโมยไปหมดแล้วหรือ ผู้ใหญ่ชี้ให้สังเกตว่า “เอ็งดูองค์พระให้ดีๆ

ไอ้น้ำ สมัยโน้นช่างฝีมือปั้นพระเก่งๆมีให้เกลื่อน พระสุโขทัยถึงได้งามขึ้นชื่อ ไปวัดไหนก็งามทุกองค์ แต่มีแค่องค์เดียวที่ตั้งใจปั้นไม่ให้มีความงามเหมือนองค์อื่น”

ผู้ใหญ่อธิบายว่า นี่คือกุศโลบายของคนโบราณ เข้าทำนองผ้าขี้ริ้วห่อทอง พระไม่งามโจรก็ไม่สนใจ น้ำฟังอย่างสนใจเชื่อตามเหตุผลที่พ่อบอก ระหว่างนั้น ขุนเดชเดินออกมาทัก “จะมาไหว้พระกันเหรอ” ทำเอาสองพ่อลูกสะดุ้งเฮือกหันมองขุนเดชหน้าตาตื่นตกใจ

อ่านละคร ขุนเดช ตอนที่ 6 วันที่ 23 เม.ย. 55
ละคร ขุนเดช บทประพันธ์ โดย: สุจิตต์ วงศ์เทศ
ละคร ขุนเดช บทโทรทัศน์ โดย : แพรพริมา
ละคร ขุนเดช กำกับการแสดง โดย : สยาม น่วมเศรษฐี
ละคร ขุนเดช ผลิต โดย : บริษัท พอดีคำ จำกัด โดยธงชัย - มณีรัตน์ ประสงค์สันติ
ละคร ขุนเดช แนวละคร โดย : ดราม่า แอ็คชั่น อิงประวัติศาสตร์
ละคร ขุนเดช ออกอากาศ : วันพุธ-วันพฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7
ละคร ขุนเดช ออกอากาศตอนแรก : เริ่มพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555
ที่มา ไทยรัฐ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น