วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 8/3 วันที่ 20 เม.ย. 55

อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 8/3 วันที่ 20 เม.ย. 55
ภายในห้องประชุม เมื่อครู่ปรียากมล พูดโทรศัพท์เบาๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแบบมีแผน โดยเธอกะ Surprised ตระกูล ไม่รู้ว่าเพ็ญพักตร์มาด้วย
กรรมการคนอื่นๆ คุยกันบ้าง ดูเอกสารบ้าง รอเวลาประชุม

ตระกูลเปิดประตูเข้ามา ไหว้ทักทาย ขอโทษขอโพยที่มาสาย โดยที่ยังไม่เห็นปรียากมล
พอหันมาเห็นปรียากมล ก็ตกใจแทบช็อก ยืนละล้าละลัง

“ครบองค์ประชุมแล้วนะครับ ผมขอแนะนำเป็นทางการอีกครั้งนี่คุณปรียากมลหุ้นส่วนคนใหม่ของเราครับ” อัศนัยเริ่มการประชุมแล้ว
ปรียากมลไหว้

ตระกูลมองปรียากมลแบบต่อว่า สองคนนั่งฝั่งตรงข้ามกัน ปรียากมลยิ้มยั่วๆ ตระกูลใจสั่นสะท้าน
“ผมขอเปิดประชุมนะครับ วาระที่ 1. รับรองรายงานการประชุม ครั้งที่ 3”
กรรมการเปิดเอกสารดู
“มีใครแก้ไขอะไรมั้ยครับ หน้าแรกครับ” อัศนัยถาม
กรรมการคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “มีพิมพ์ผิดหลายที่นะครับ อยากให้ปรู๊ฟให้ถูกต้องด้วยอย่างคำว่า อนุญาตไม่มีสระอิ ที่ ต.เต่านะครับ คำว่าสังเกตไม่มีสระอุนะครับ”
ระหว่างนั้นตระกูลทำท่ากับปรียากมลต่อ ว่าทำไมทำอย่างนี้ ปรียากมลผายมือสองข้าง ยิ้มล้อๆ

ส่วนเพ็ญพักตร์นั่งตรวจลายเครื่องเบญจรงค์ ด้วยสีหน้าหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น หันไปทางห้องประชุมหน้าบึ้งจัด

ภายในห้องประชุม อัศนัยกำลังรายงานต่อที่ประชุม
“วาระที่สองนะครับ เรื่องแจ้งที่ประชุม คือ คุณปรียากมลเป็นหุ้นส่วนคนใหม่ ถือหุ้นมีมูลค่าเท่ากับ 5 เปอร์เซ็นต์ของหุ้นทั้งหมด”
กรรมการทำท่ารับรู้ อัศนัยแจ้งที่ประชุมต่อ
“วาระที่สาม รายงานผลประกอบการไตรมาสที่สี่ครับ”
ปรียากมลลุกขึ้น ก้มหัวพูดเบาๆ “ขอโทษนะคะ” เดินออกไปจากห้อง
ตระกูล ก้มหน้าอ่านเอกสาร ไม่เห็น เงยหน้าขึ้นมารู้สึกตกใจมาก เหลียวขวับไปดูประตู เห็นประตูปิดตามหลังปรียากมลที่เดินออกประตูไป ตระกูลใจหายวาบ ทำอะไรไม่ถูก
“มีใครสงสัยอะไรมั้ยครับ ผมให้เรียกหัวหน้าแผนกการเงินแล้วครับ” อัศนัยถาม
ตระกูล ลุก..ก้มหัวนิดหนึ่ง แล้วออกไปทันที

หัวหน้าแผนกเดินสวนเข้าไปในห้อง พร้อมกับถือแฟ้มเอกสารอันโต 2 แฟ้ม ตระกูลไล่ตามปรียากมลออกมาเร็วรี่ มองปราดไปที่หมู่เก้าอี้ ไม่มีร่างเพ็ญพักตร์อยู่ตรงนั้นแล้ว
“คุณปรียากมลครับ” ตระกูลเรียก
“คะ...เป็นไง surprised มากมั้ย” ปรียากมลยิ้มล้อๆ
“ภรรยาผมมาด้วย” ตระกูลบอกเสียงเคร่ง
“อ๋อ...ก็ดีสิเดี๋ยวฉันจะขอบคุณที่ขายหุ้นให้ฉัน”
“เขาไม่รู้ว่าผมขายหุ้น”
“อ้าว! ...หมายความว่าไง” ปรียากมลไม่เข้าใจ
“คุณเพ็ญไม่เคยสนใจเอกสารอะไรทั้งสิ้น ผมทำคนเดียว”
“คุณเก็บเงินค่าหุ้นที่ฉันซื้อไว้เอง?”
“ผมผลักเป็นผลกำไร เป็นเงินปันผล เข้าแบงค์ไปแค่นี้คุณเพ็ญพอใจแล้ว”
“แน่ใจ?” ปรียากมลไม่อยากจะเชื่อนัก
“นั่นมันเรื่องของผม”
“โอเค เรื่องของคุณ คุณจะให้ฉันทำยังไง ถ้าเจอภรรยาคุณให้ฉันโกหกว่าไง”

ระหว่างนั้นเพ็ญพักตร์เดินมาพอดี แต่กำลังบีบครีมทามือจากหลอดเล็กๆ แล้วนวดมือตัวเอง ยังไม่เห็น
“ไม่ต้อง บอกว่าคุณมาประชุม” ตระกูลพูดเร็ว
เพ็ญพักตร์เงยหน้ามาเห็นพอดี “เอ๊ะ”
ปรียากมลไหว้ “สวัสดีค่ะ คุณเพ็ญพักตร์”
เพ็ญพักตร์ฉงน “กำลังคุยอะไรกันท่าทางเรื่องสำคัญ”
“อ๋อ...ไม่สำคัญหรอกค่ะ เผอิญดิฉันมา...” ทำทีเป็นแกล้งทำอะไรบางอย่างตกพื้น ก้มลงเก็บ
ตระกูลใจหาย เพ็ญพักตร์จดสายตาจ้องคอยฟัง
“ขอโทษค่ะ...”
“คุณมาทำไมนะ” เพ็ญพักตร์คาดคั้น
“อ๋อ....” ปรียากมลมองหน้าตระกูล “ดิฉันมาหาอัศนัยค่ะ”
ตระกูลลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ขอตัวนะคะ คุณตระกูล” ยิ้มหวานมาก “ยินดีที่ได้พบค่ะ เชิญทานกลางวันกับเรานะคะวันนี้ ฉันกับอัศนัยจะไปทาน....”
ปรียากมลพูดไม่ทันจบ เพ็ญพักตร์พูดสวนออกมา “ขอตัววันนี้เรามีนัดแล้ว” ส่งยิ้มให้
“มีนัดแล้ว เอ๊ะ ก็เมื่อกี้คุณตระกูลบอกว่ากลางวันนี้ว่างนี่คะ”
ตระกูลทำหน้าพูดไม่ออก
“คุณตระกูลพูดอะไรอย่าเชื่อค่ะ บางครั้งฉันกำหนดไว้แล้วแต่เขาไม่รู้” เพ็ญพักตร์วางอำนาจ
“โอ...ได้เห็นผู้หญิงเป็นช้างเท้าหน้ารู้สึกดีจัง คุณตระกูลทันสมัยมากนะคะยอมเป็นช้างเท้าหลัง” ปรียากมลหยัน
“ผมขอตัวไปประชุมต่อ” ตระกูลเดินไป สีหน้าพยายามปรับสุดขีดแต่เหลืออด หันกลับไป “คุณเพ็ญ คุณไปทางกลางวันกับพวกที่เรานัด” เน้นคำ “นะครับ ผมขอตัวทำงานต่อ”
“ไม่ได้” จากท่าทีที่พูดแบบธรรมดาๆ เพ็ญพักตร์เสียงเข้มขึ้นนิด “ทุกคนอยากพบคุณ”
“ผมขอตัว...ผมขอโทษ” ตระกูลเดินหนีเข้าห้องไปทันที
เพ็ญพักตร์ยืนอึ้งมองตาม
ปรียากมลยังยืนดูสถานการณ์ เพ็ญพักตร์หันมาสบตาปรียากมล นิ่งๆ สักครู่ ทำท่าจะเดินหนีไป
“ตายจริง ช้างเท้าหลังทำท่าจะไม่เดินตามเท้าหน้าซะแล้ว” ปรียากมลเยาะอยู่ในที
เพ็ญพักตร์มองนิ่ง สายตาดูแคลน
ปรียากมลสำทับ “หรือไม่จริง”
“คุณปรียากมล คุณเป็นคนไม่มีมารยาท ไม่ทราบว่าเล่าเรียนมาขนาดไหน แต่คงไม่มากเพราะมารยาทสังคมคุณไม่มีเลย”
“ตรงไหนหรือคะ” ปรียากมลย้อนถาม
เพ็ญพักตร์ไม่ตอบคำถาม “กรุณาไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ด้วยฉันจะทำงาน”
“นั่นเป็นคำพูดที่มีมารยาทมากเลยหรือคะ” ปรียากมลเยาะ
“ไม่มี...เพราะคนอย่างคุณไม่จำเป็น”
“ค่ะ สวัสดีนะคะ” ปรียากมลไหว้ ยิ้มแย้ม เดินหนีไปอีกทาง
เพ็ญพักตร์ยืนสีหน้าเครียด
สองพี่น้องต่างมารดา ปะทะกันและตั้งรับกันไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครยอมใคร

รถจอดรออยู่ที่หน้าโรงเรียน นายสมยืนคอย อุ๊ วิ่งออกมากับเพื่อน โบกมือร่ำลากันแล้วไปขึ้นรถ
“สม...ไปเร็ว”
“ไม่ทันแล้วครับคุณอุ๊”
ดอกโศกเปิดประตู ก้าวขึ้นมานั่ง หน้านิ่งสงบ

อุ๊ส่งเสียงดังๆ อย่างไม่พอใจดัง “บ้าจริงเชียว”
รถแล่นออกไป

อัศนัยทำงานอยู่ในห้อง อ่านเอกสาร เซ็นเอกสาร รวดเร็วแคล่วคล่อง ปรียากมล นั่งอ่านหนังสือที่เก้าอี้มุมห้องเงยหน้าสบตากันนิดหนึ่ง ปรียากมลแตะริมฝีปากส่งให้
อัศนัย ทำหน้ารับจูบนั้น ปรียากมลลุกขึ้นทันที รวดเร็วมาก เข้าไปกอดจูบแรงๆ
มีเสียงเคาะประตูขัดจังหวะ ปรียากมลผละไปนั่งที่เดิม บุรีเข้ามา อัศนัยเชิญให้นั่ง
อัศนัยหายใจแรงๆ มองปรียากมลส่งสายตาปรามๆ ปรียากมล แลบลิ้นให้นิดๆ พองาม เป็นกิริยาที่ยวนใจ
อัศนัยส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ครับ พี่บุรี” หันมาทักบุรี

ส่วนดอกโศกทำงานบ้านอย่างรวดเร็ว อุ๊เข้ามามอง ดอกโศกไม่สน
“ถ้าครบ 7 วัน ฉันตรวจพบว่าห้องไม่สะอาดตรงไหน เธอต้องมาทำให้ฉันอีก”
ดอกโศกเสร็จพอดี เดินออกไม่มองหน้า “ไม่...ฉันจะทำให้ครบ 7 วันตามที่เธอสั่งแล้วไม่ทำอีก”
“ไม่เหรอ...งั้นไปทำห้องน้าสวยต่อ”
“ถ้าครบ 7 วัน ฉันจะไม่ทำห้องไหนอีก” ดอกโศกบอกเสียงเรียบ
“แน่ใจนะ” เดินพรวดเดียวถึงประตู เปิดออก “น้าสวย...เขาไม่ยอม เขาว่าไม่ใช่คนใช้น้าสวย ให้น้าสวยทำเองสิ”
สุดสวยเข้ามาเหมือนพายุ ตรงเข้าชาร์จทันที ดอกโศกหลบแล้ว แต่ไม่ทัน จึงถูกสุดสวย ลากแขนดอกโศกถูลู่ถูกังไป

สุดสวยเปิดประตู ลากดอกโศกเข้ามาในห้องตัวเอง แล้วเหวี่ยงลงไปนอนกองกับพื้น
“จะทำหรือไม่ทำ” สุดสวยคาดคั้น
“ไม่ทำค่ะ”
“จะทำหรือไม่ทำตอบใหม่”
“ไม่ค่ะ”
“นี่แน่ะ” สุดสรวยปราดเข้ามา แล้วตีตรงตัวอย่างแรง 2-3 ที
ดอกโศกฟุบไปกับพื้น
“ทำมั้ย”
“ไม่ทำค่ะ” ดอกโศกจ้องหน้าไม่ยอมให้
สุดสวยร้องกรี๊ดเสียงลั่น แล้ววิ่งพรวดออกไป

สุดเขตอยู่ในห้องทำงานหันมาเห็น สุดสวยวิ่งพรวดเข้ามา
“คุณพ่อขา...คุณพ่อ ลูกไม่ยอม คุณพ่อจัดการ...ลูกถึงจะยอม” สุดสายพิลาปรำพัน
“จ้ะ...จ้ะ บอกพ่อเรื่องอะไร”
สุดสวยส่งเสียงร้องไห้ดังมากขึ้น
“สุดสวยเงียบก่อนนะลูก...พูด...บอกพ่อ”

ดอกโศกนั่งหน้าเฉยอยู่ในห้อง เฉลยเดินเข้ามาเงียบๆ
“ท่านให้หา”
ดอกโศกเหนื่อยใจ รู้ดีว่าเรื่องอะไร ลุกขึ้น
“คุณอดทนมาหลายปีอดทนต่ออีกนิด” เฉลยปลอบ...เท่าที่จะทำได้
“ก็ทำไมล่ะ....ทำไม ต้องทนขนาดไหนกันถึงจะพอ” เสียงดอกโศกแหลมสูง หอบหายใจอย่างแรง
เฉลยนิ่ง นัยน์ตาเห็นใจ
ดอกโศกพยายามสะกดอารมณ์ลงไป...กดลึกลงไปอีก แล้วลุกออกไปอย่างอัดอั้น

ที่สนามหน้าตึกดอกโศกนั่งก้มหน้านิ่งอยู่เบื้องหน้าคุณตา
“น้าสวยเขามีปัญหาเจ้าก็รู้ใช่มั้ยอภิรมย์” สุดเขตเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ
“ทราบค่ะ”
“ตาขอเจ้าอย่างหนึ่งนะ” สุดเขตเอ่ยเสียงจริงจัง
“ค่ะ” ดอกโศกรู้อยู่แล้ว
“สงสารน้าเขานะ...อภิรมย์ฤดี...สงสารเขา”
ดอกโศกหน้าเฉยนิ่ง กำลังทำใจอย่างหนัก
“ช่วยตาหน่อย”
“ค่ะ คุณตา” ดอกโศกมองอย่างแน่วแน่ นัยน์ตาจริงใจ “หนูเข้าใจค่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องไปทำงานให้เขานั่นมันแค่ส่วนประกอบ ส่วนสำคัญที่ตาขอให้เจ้ามีให้เขาคือ หัวใจที่อ่อนโยนต่อเขา”

ดอกโศกเช็ดโต๊ะห้องสุดสวย มีสุดสวยชี้ให้ทำตรงนี้ ตรงนั้น ตรงโน้น ชี้และชี้...และชี้ ดอกโศกทำตามไม่เกี่ยงงอน สีหน้าสงบนิ่ง มองสุดสวย เห็นใจ บางจังหวะยิ้มให้บ้าง
สุดสวยพอเห็นดอกโศกยิ้มให้ก็หน้าเหวอนิดหน่อย ขมวดคิ้ว สงสัย
ดอกโศกเช็ดมาถึงที่สุดสวยยืน สุดสวยไม่ขยับ ดอกโศกยิ้มให้แล้วจับแขนสุดสวยให้ขยับไปนิด
สุดสวยสงสัยมากขึ้น ดอกโศกเช็ดไปเรื่อยๆ
สุดสวยหน้าเครียด สงสัยไม่ไว้ใจ และในที่สุดหันมาขยุ้มดอกโศกเต็มแรง ดอกโศกตกใจ ไม่ทันระวัง หันไปจะสู้ คิดถึงเสียงคุณตา จึงนิ่ง
“จะหลอกชั้นเหรอ นี่แน่ะ...นี่แน่ะ ยิ้มทำไม...ยิ้มให้ใคร”
ร่างดอกโศกถูกเหวี่ยงกระเด็นกระดอน ล้มทรุดลงกับพื้น สุดสวยตามไปถล่ม ดอกโศกคลานหนี แล้วดึงตัวเองออกแทบจะเป็นคลานสี่ขา ซมซานออกไปจากตรงนั้น

รถยนต์คันหนึ่งขับผ่านประตูชื่อบ้านรัตนาชาติพัลลภ ที่แท้เป็นรถอัศนัยขับเข้ามา จังหวะนั้นปรียากมลหยิบผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่มาคลุมตัวเอง
“แอร์แรงจริง...หนาว”
“หรี่สิ ผมคิดว่าคุณชอบเย็นๆ”

ระหว่างนั้นดอกโศกวิ่งลงมาหน้าตึกร่างเซไปเซมา อัศนัยขับรถเข้ามามองเห็นดอกโศกวิ่งถลันเกือบจะล้ม แล้วถลาออกไป
“ดอกโศก” อัศนัยจอดรถเต็มแรง เปิดประตูแล้วลงวิ่งตามดอกโศกไปทันควัน “จะไปไหน...มานี่ก่อน”
“อัศนัย” ปรียากมลอุทาน อึ้ง ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นในยามนี้
ดอกโศกลับตัววิ่งหนีไป อัศนัยวิ่งตามไปอย่างเร็วรี่

ดอกโศกซมซานมาที่ริมน้ำ ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง ร้องไห้เงียบๆ พยายามกัดฟันไม่ให้ใครได้ยินเสียงร้อง
แต่ในที่สุดแล้วก็ทนไม่ได้ เสียงสะอื้นเป็นริ้วๆ แล่นออกมาจากในอก แล้วค่อยๆ ดังขึ้น...ดังขึ้น จนกลายเป็นเสียงร้องไห้จนร่างสั่นสะท้าน พริบตานั้นดอกโศกลุกขึ้น เดินเปะปะเล็กน้อย อัศนัยวิ่งมาจนทัน และมองเห็นดอกโศก
แต่แล้วดอกโศกก็เกิดสะดุดอะไรตรงนั้น เซแล้วตกน้ำไปต่อหน้าต่อตา

“ดอกโศก” อัศนัยตกใจ และตกตะลึง
อัศนัยวิ่งตามมาสุดแรงเกิด มองไปในน้ำเห็นร่างดอกโศกโผล่พรวดขึ้นมาเหนือน้ำวูบหนึ่ง แล้วจมหายลงไปใหม่ ไวเท่าความคิดอัศนัยพุ่งหลาวลงไปในน้ำสุดตัว

ภายใต้ผืนน้ำดอกโศกดิ้นรนสุดชีวิต ทะลึ่งพรวดขึ้นไปเหนือน้ำ ดอกโศกฟาดฟันแผ่นน้ำ แล้วหมดแรง เวลาเดียวกันใต้ผืนน้ำเดียวกันอัศนัยควานหาตัวดอกโศกอย่างร้อนรุ่มใจ เพราะน้ำขุ่นทำให้มองไม่เห็น
จังหวะต่อมาอัศนัยโผล่พรวดขึ้นมาเหนือน้ำ อนิจจา...เป็นเวลาเดียวที่ดอกโศกจมหายลงไปอีก
อัศนัยเห็นพรายน้ำ ตัดสินใจดำวูบลงไปตรงนั้น อัศนัยมองหา ควานมือออกไปรอบๆ หวังว่าจะเจอ
เวลานั้นดอกโศกหมดสติแล้ว ร่างลอยห่างออกไป อัศนัยว้าวุ่นหนัก เพิ่มแรงมากขึ้น ทั้งควานหาทั้งมองหา วินาทีนั้นเขาเห็นบางสิ่งไหวๆ อยู่เบื้องหน้า ใช่แน่ เห็นร่างดอกโศกแล้ว อัศนัยพุ่งตัวไปอย่างแรง โอบร่างดอกโศกเข้ามา ปล่อยร่างขึ้นเหนือน้ำ

ครู่ต่อมาอัศนัยคุกเข่าอยู่ข้างกายดอกโศกที่นอนแน่นิ่ง อัศนัยตัดสินใจช้อนตัวพาดบ่า ตบหลังเบาๆ ให้น้ำออก แต่ดอกโศกยังนิ่ง
“ดอกโศก...ดอกโศก” อัศนัยส่งเสียงเรียก
ดอกโศกยังคงนิ่งเงียบ อัศนัยพุ่งพล่านในใจ แล้วเอาแต่พร่ำเรียกชื่อ ทำอะไรไม่ถูก
ในที่สุดอัศนัยตัดสินใจ ช่วยด้วยวิธีปากต่อปาก ถอนตัวขึ้นมาแล้ว แต่ดอกโศกยังเงียบไม่ไหวติง อัศนัยใจหายวูบวาบ
พร่ำเรียกอีก “ดอกโศก ฟื้นสิ...อย่าเป็นอะไรนะดอกโศก ฟื้นมาหาคุณนัย”
ดอกโศกเงียบ เหมือนคอจะตกนิดๆ
“ดอกโศก”
สีหน้าอัศนัยวิตกหนัก นัยน์ตาแดงก่ำ ทำทุกวิธีที่นึกออก พร่ำเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงสะท้าน
จนกระทั่งร่างของดอกโศก สะดุ้งพรวด น้ำพุ่งออกมาจากปาก สายตาอัศนัยจดจ้อง ห่วงใยสุดๆ สีหน้าละล้าละลัง
“ดอกโศก” น้ำเสียงสั่นพร่าเต็มไปด้วยความดีใจ
“คะ...คะ คุณนัย” ดอกโศกมองเขม็ง
“ดอกโศกตกน้ำ...เป็นอะไร เป็นลมเหรอ”
“ตกน้ำเหรอคะ” ดอกโศกงงงวย
“ใช่....หัวทิ่มลงไปเลย...เป็นไงมั่งตอนนี้ ปวดหัวมั้ย”
“ปวด...นิดหน่อยค่ะ” จังหวะนั้น ดอกโศกสำลักจนไอออกมา
อัศนัยลูบหลังให้ดอกโศกไปมา “ทีหลังมาตรงนี้คนเดียวไม่ได้นะ จำไว้นะอย่ามาคนเดียว”
“ค่ะ” เสียงดอกโศกดังอุบอิบ
“ไม่เอา...พูดดังๆ แล้วอย่าดื้อ อย่าอวดดีอีก เป็นเด็กต้องทำตัวให้เป็นเด็ก ไม่งั้นคนเขาจะว่าเอาได้ว่า ดื้อ...อวดดี...จองหอง”
ดอกโศกตะลึง ไม่เคยเจอคำพูดแรงๆ แบบนี้จากปากอัศนัย
อัศนัยนั้นพอว่าคำนั้นออกไปแล้วก็รู้สึกตกใจเหมือนกัน “ขอโทษ...เพราะดอกโศกดื้อคุณนัยจะช่วยอะไรไม่ยอม รู้มั้ยว่าคุณนัยเป็นห่วงดอกโศกมาก อย่างเนี้ย...คุณนัยไม่มาเห็นก็จมน้ำตายไปแล้ว รู้ตัวว่าไม่สบายมานั่งริมน้ำทำไม” พูดไปของขึ้น โมโหปนห่วง
ดอกโศกนิ่งก้มหน้าน้ำตาตก ไอในคอเสียงค่อยๆ
“ทำไมถึงคิดว่าไม่มีคนรักไม่มีคนห่วง ยายล่ะ น้าปองล่ะ แล้วคุณนัยล่ะ คุณนัยรักดอกโศก ห่วงดอกโศกมาเป็นนานสองนานแล้ว ไม่มีความหมายอะไรเลยเหรอ”
ดอกโศกสะอื้น
“คนเรานะ..เกิดมาชาติหนึ่ง มีคนที่รักเราจริงใจไม่ต้องมากหรอก แค่คนสองคนก็เกินพอแล้ว”
ดอกโศกนิ่งฟัง
“ไม่นับพ่อแม่นะ”
คราวนี้ คำนี้ ดอกโศกเบรกแตกเมื่ออัศนัยพูดถึงพ่อแม่ ร้องไห้สะอื้นแรงมากขึ้นจนเสียงดัง เสียงสะอื้นเป็นระลอก นัยน์ตาอ้างว้างเหมือนเด็กน้อยหลงทาง
“ดอกโศก....” อัศนัยจับตัวดอกโศกไว้
ดอกโศกไม่ยอม หันหลังกลับ เดินเซซังซมซานออกไป
อัศนัยตามติด “ดอกโศก...เป็นอะไร”
ดอกโศกไม่ฟังเสียง เดินหนี ร้องไห้เสียงดัง อัศนัยตามไปจับตัวไว้มั่น
พร่ำถามออกมา “เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
“คุณนัยพูดถึงพ่อแม่ทำไม...พูดทำไม” ดอกโศกสะอึกสะอื้นจนตัวโยนอย่างน่าเวทนา
อัศนัยเพิ่งเข้าใจ โอบร่างดอกโศกแนบอก ปลอบโยน ดอกโศกค่อยๆ เงียบลง สงบนิ่งอยู่กับอ้อมอกอัศนัย
สีหน้าของทั้งสองคน มีความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้น...ทีละน้อยๆ
“อัศนัย” เสียงปรียากมลดังขัดขึ้น ในห้วงอารมณ์พิศวง
สองคนผละออกจากกัน อย่างบริสุทธิ์ใจ หันไปดู เห็นปรียากมลยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ
“ดอกโศกเป็นอะไร...ตัวเปียก...ตกน้ำเหรอ” ปรียากมลถาม
“ใช่ เป็นลมตกน้ำ” อัศนัยบอก
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก เอ้า...เอานี่ห่มไปก่อน”
ปรียากมลปลดผ้าคลุมไหล่ผืนนั้น เดินไปคลุมให้ดอกโศก
ดอกโศกไหว้..ขอบคุณ
“อัศนัย...คุณว่าจะเข้าไปหาใครนะ...คุณตาดอกโศกใช่มั้ย”
“วันนี้อย่าเพิ่งเลย ดอกโศกไม่เป็นอะไรแล้วนะ” อัศนัยว่า
“ค่ะ”
“รีบไปอาบน้ำใส่เสื้ออุ่นๆ แล้วนอนซะ” อัศนัยบอก
“กินยาแก้ไข้ซักเม็ด” ปรียากมลมองหน้า
“ค่ะ”
อัศนัยตบหัวเบาๆ หนึ่งที ดอกโศกไหว้ทั้งสองคนอีกครั้งแล้วเดินไป

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น