วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 8/4 วันที่ 21 เม.ย. 55

อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 8/4 วันที่ 21 เม.ย. 55
อัศนัยขับรถ แล่นออกจากบ้านรัตนาชาติพัลลภไป
“เหมือนบ้านคนโบราณในนิยาย จะมีฆาตกรรมแย่งสมบัติมั้ย” ปรียากมลเปรยขึ้นมา
“ทุกคนได้สมบัติยกเว้นดอกโศก” อัศนัยว่า
“โธ่เอ๊ย....น่าสงสารจริง เป็นหลานของเจ้าของบ้านใช่มั้ย...ทำไมล่ะ”
รถแล่นผ่านประตูไป ปรียากมลไม่เห็นชื่อบ้านเช่นเดิม

ดอกโศกเดินกะปรกกะเปรี้ยกลับมาจนถึงที่หน้าห้องตัวเอง เสียงสุดสวยฟังดูกราดเกรี้ยวดังขึ้นด้านหลัง
“นังดอกโศก”
ดอกโศกเหลียวไปตามเสียง เห็นสุดสวยเดินหน้าตั้งเข้ามาเลย กะลุยเต็มที่
“ไปว่ายน้ำเล่นมาเหรอ...ฮะ..หนีงานไปว่ายน้ำเรอะ?”

สุดสวดก้าวพรวดมาถึงตัว ดอกโศกไม่ไหวแล้วทรุดตัวลงคุกเข่า พนมมือไหว้
สุดสวยหยุดกึก แปลกใจ “ไหว้ทำไม”
“อย่าตีหนูเลยค่ะ หนูจะไปทำห้องให้เดี๋ยวนี้” ดอกโศกร้องขอ
ระหว่างนั้นเฉลยเปิดประตูออกมาจากห้องดอกโศก ถือไม้กวาดและถังผ้าขี้ริ้วถูบ้านมาด้วย
สุดสวยหรี่ตามอง ไม่วางใจ “หลอกอะไรชั้นอีกรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้หลอก หนูจะทานยาก่อนแล้วไปทำค่ะ”
“กินยาทำไม...ไม่สบายเหรอ” มองจ้องหน้า
“นิดหน่อยค่ะ”
“เดี๋ยวเหลยทำให้ค่ะคุณสุดสวย” เฉลยอาสา
“ไม่” สุดสวยไม่ยอม
“ไม่ต้องเฉลย ฉันทำเอง” ดอกโศกบอก
“ก็ไม่สบาย”
“กำลังจะกินยา” ดอกโศกขยับตัว ลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป
สุดสวย คิด...คิดไปมาสักครู่ แล้วออกคำสั่ง เฉลยเดินไปแล้ว
“เหลย แกไปทำห้องชั้น”
เฉลยยิ้มออก “ค่ะ” เดินไปเร็วรี่
ปล่อยให้สุดสวยยังยืนคิดอยู่อย่างนั้น

สุดสวยนำเรื่องเมื่อครู่มาเล่าให้บิดาฟัง สีหน้าฉงนไม่วางวาย
“ลูกพ่อใจดี..น่ารักจริงๆ ลูก”
“คุณพ่อมันอาจจะหลอกลูกก็ได้ว่าไม่สบาย...ลูกไม่ค่อยเชื่อแล้วล่ะลูกจะไปดูมัน” สุดสวยลุกพรวดขึ้น
“ลูกจ๋า...ลูกคนดีของพ่อ” สุดเขตลุกตามแล้วกอดสุดสวยไว้พามานั่งลง “มันไม่สำคัญว่าเขาจะไม่สบายจริงหรือไม่จริง”
“สำคัญ...ทำไมจะไม่สำคัญ” สุดสวยแย้ง
“แต่ไม่สำคัญเท่าที่ลูกยอมให้เขาไปนอนพัก”
“เค้าคุกเข่าไหว้...เค้าเล่นละครรึเปล่า” สุดสวยคาใจฉากนี้ไม่หาย
“เล่นก็ช่าง แต่ลูกพ่อเป็นคนดีแล้วกัน พ่อมีความสุขที่สุดที่เห็นลูกใจดี..มิน่าวันนี้ลูกสวยมาก” สุดชมชื่นชม
“จริงเหรอคุณพ่อ”
“จริง เสื้อตัวนี้สวยมาก”
“ไม่ค่อยสวย...ตัวใหม่สวยกว่า”
“ตัวใหม่เหรอไปเลย...ไปซื้อเสื้อ ซื้อเพลงใหม่ๆ นะลูก”
สุดสวยโผเข้าหาพ่อ กอดพ่อไว้แนบแน่น ด้วยกิริยาเหมือนเด็กหลงทางแล้วเจอพ่อ สุดเขตกอดนิ่ง สีหน้าหมอง สงสารลูกสาวคนสุดท้องคนนี้เหลือเกิน

ทางด้านอัศนัยพาปรียากมลเข้าบ้าน หมื่นถือของตามมา หม่อนถือถาดใส่น้ำผลไม้มาวางให้
“อาหารพร้อมแล้วนะคะ” หม่อนเอ่ยขึ้น
“ขอบใจป้าหม่อน”
“ค้างมั้ยคะ คุณปรียา” ป้าหม่อนหันมาทางปรียากมล
“เรียกให้เต็มๆ ชื่อ ชั้น ปรียากมล” น้ำเสียงปรียากมลไม่พอใจ
“ยาว...จำไม่ค่อยได้ค่ะ”
“ต้องจำให้ได้”
“โธ่ ทำไมล่ะคะ เรียกยังไงก็เป็นคุณอยู่แล้ว”
“เพราะฉันจะมาเป็นคุณผู้หญิงน่ะสิป้าหม่อน และฉันไม่ชอบให้เรียกชื่อครึ่งๆ กลางๆ”
หม่อนฟังอย่างเบื่อหน่าย “จริงเหรอ คุณนัย” น้ำเสียงไม่ได้ตื่นเต้นใดๆ
“อาจจะจริง ไป...ปรียากมล ทานข้าว”
“ตกลงค้างไม่ค้างคะ”
“ค้าง”
“ก็เท่านั้น” หม่อนบ่นเบาๆ “ไอ้หมื่น....แกเสิร์ฟ แม่จะไปเปิดห้องแขก” เน้นเสียงตรงคำว่าแขกอย่างจงใจ
“รับทราบ...ปฏิบัติ”
หม่อนเดินออกประตู เหลียวกลับมาดู หมื่นเดินออกไปอีกทาง
ปรียากมลโผเข้าไปกอดอัศนัย
“ค้างได้ แต่อย่าปล้ำผมนา” อัศนัยสัพยอก
ปรียากมลชอบใจ หัวเราะกิ๊ก “ระวังตัวไว้ให้ดี”
หม่อนมองภาพนั้นสีหน้าเป็นกังวล

หมื่นรินไวน์ ขณะที่สองคนทานข้าวกันไปในห้องอาหาร
“ที่ฉันเห็นคุณกับดอกโศกวันนี้ยังติดตาฉันอยู่ เด็กมันเป็นสาวเต็มตัว คุณจะปฏิบัติตัวเป็นลุง เป็นอาของแกก็ได้ แต่เขาไม่กอดหลานแน่นอย่างนั้นหรอก” ปรียากมลพูดไปเรื่อยๆ
อัศนัยนิ่งฟัง สีหน้าเริ่มเครียด
“ร้อยคนเห็นเขาก็คิดทั้งร้อยว่า คุณไม่ใช่ปกติกับเด็กคนนั้น”
“หมายความว่าไง”
“ที่ฉันเห็นคือ หนุ่มสาวกอดกัน”
“ผมตกลงที่จะคบกับคุณ คุณยังคิดว่าผมจะไปทำไม่ดีกับเด็กต่อหน้าคุณรึ”
“ฉันยังไม่มานะตอนนั้นน่ะ” ปรียากมลยังติดใจ
“นี่เรากำลังพูดเรื่องไร้สาระ” อัศนัยฉุน หยิบโทรศัพท์กดโทร.ออก “พี่บุรี เดี๋ยวผมจะเข้าออฟฟิศ พี่บุรีช่วยหยิบแผนงานโรงงานใหม่ให้ผมดูด้วย...ผมจะไปประมาณ...” อัศนัยดูนาฬิกา
ปรียากมล หยิบโทรศัพท์ออกจากมืออัศนัย กดปิด
“คุณรู้ใช่มั้ยว่าไม่ควรทำแบบนี้และไม่ควรพูดแบบนี้”
“ไม่ต้องไปไหน ฉันจะไม่พูดอะไรที่คุณไม่ชอบอีก”
“บอกตัวเอง” อัศนัยลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปทันที “แล้วทำให้ได้”
ปรียากมลนั่งนิ่ง สำเหนียกได้ว่าอัศนัยไม่พอใจอย่างมาก
หมื่นจะเอาแก้วไวน์มารินเติม ปรียากมลพูดเสียงแข็ง “ พอ”
หมื่นถอยกรูด หน้าเหวอ ท่าทีน่าขำ
“มานี่ แม่รินเอง รับไวน์อีกมั้ยคะ” หม่อนถาม
“ป้าหม่อน เล่าเรื่องเด็กดอกโศกให้ฉันฟังหน่อย”
“ไม่ต้องเล่าหรอกค่ะ เพราะไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่” หม่อนบอก
“ไม่ต้องยุ่งกับความคิดฉัน ฉันอยากฟังแต่เรื่องของเด็กคนนี้”
หม่อนยืนนิ่งหน้าเฉย
ปรียากมลคาดคั้น “ป้าหม่อน”
“ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่มีอะไรจะเล่า” หม่อนเดินหนีออกไปทันที

เวลาเดียวกันในห้องนอนดอกโศก ต่อ
ดอกโศกนั่งเอนๆ กับพื้น พิงข้างฝา มือทอดยาวออกไปถือโทรศัพท์ เหลือบดูนาฬิกา...สองทุ่มสิบห้านาที
นึกถึงเหตุการณ์วันนี้ ตอนที่อัศนัยกอด...ปลอบโยน น้ำเสียงปลอบโยน
อีกภาพ...เป็นตอนที่อัศนัยโอบกอดไหล่ปรียากมลหลวมๆ พากันเดินไป
นึกถึงตรงนี้ ดอกโศกหลับตาลงสะอื้นนิดๆ แล้วสักครู่ก็ลุกขึ้น ดอกโศกนั่งดูหนังสือ อย่างตั้งอกตั้งใจเต็มที่

อัศนัยขับรถตรงมายังออฟฟิศ และอยู่ภายในห้องทำงานแล้ว บุรีเอาแฟ้มมาวางให้ อัศนัยกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณครับ”
บุรีเดินออกไป
อัศนัยเปิดงานดู แล้วคิดถึงเรื่องราววันนี้ เรื่องดอกโศก...ตอนที่ดอกโศกอยู่ในอ้อมแขน ดอกโศกน้ำตาเต็มหน้า ดอกโศกที่พูดถึงพ่อแม่ เสียใจ
อัศนัยรู้สึกหวั่นไหวกับความคิดตัวเอง

กลางดึกคืนนั้น เพ็ญตระการ สะดุ้งตื่น ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกัน

เพ็ญพักตร์ของขึ้น ปรี๊ดสุดขีดเสียงดังแล้ว “คุณไม่ต้องเถียงรับฟังอย่างเดียว ชั้นไม่ต้องการให้คุณติดต่อสัมพันธ์กับแม่ปรียากมลนั่นอีก”
ตระกูลเสียงดังเหมือนกัน “คุณเพ็ญ คุณพูดหลายครั้งแล้วนะ ไม่ให้ผมติดต่อสัมพันธ์กับเขา มันหมายความว่าไง ผมไปสัมพันธ์อะไรกับเขา”
“ถึงชั้นใช้คำพูดไม่ถูก แต่คุณเข้าใจ ชั้นไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ชั้นไม่ต้องการให้สามีฉันสนทนาวิสาสะกับเขา”
“แค่สนทนาวิสาสะเท่านั้นหรือ คุณทำท่าทางสุ้มเสียงยังกับผมไปนอนกับเขามาแล้ว”
“อ๋อ อยากใช่มั้ย ถึงได้เข้าใจไปอย่างนั้น” เพ็ญพักตร์พาลแล้ว
ตระกูลหงุดหงิด หยิบกุญแจรถ
“ใช่มั้ย บอกมาอยากใช่มั้ย เห็นหน้าก็รู้แล้ว”
ตระกูลไม่สนเดินออกไป
“จะไปไหน”
ตระกูลไม่หยุด
“จะไปไหน” เพ็ญพักตร์ตามมากระชากไหล่ “ไม่ให้ไป” พร้อมกับดึงหลุนๆ เข้ามา ด้วยกำลังแรงเยอะกว่า
“พอทีเถอะ ผมไม่ยอมให้คุณทำกับผมอย่างนี้อีก พอกันที”
เพ็ญพักตร์ดึงรั้ง ตระกูลจะไป ทั้งคู่สู้กันไปมา

อุ๊ ยืนฟังที่หน้าห้อง สีหน้าเครียด ใจแข็งไม่ร้องไห้ ประตูเปิดออกมาอย่างแรง อุ๊หลบวูบ
ตระกูลเดินออกมาแรงๆ โดยมีหนังสือเล่มหนึ่งถูกปาตามหลังมา โดนตระกูลเต็มแรง
“ไปแล้วไม่ต้องกลับมา”
ตระกูลเดินพรวดๆ ลงบันไดไป อุ๊วิ่งตาม
ครู่ต่อมาตระกูลเดินออกมาที่หน้าประตูบ้าน อย่างรวดเร็ว
“คุณพ่อ”
ตระกูลหันขวับมา อุ๊ยืน ผมยุ่งเหยิง หน้าซีดเผือดมองจ้องอยู่ ตระกูลหยุดนิ่ง คิดว่าจะทำยังไงดี
ครู่ต่อมาอุ๊นั่งลงบนเก้าอี้ ตระกูลนั่งใกล้
“มันเป็นเรื่องธรรมดานะลูก คนเป็นสามีภรรยาเหมือนลิ้นกับฟัน เมื่อคิดไม่ตรงกันก็พูดกัน พูดกันไม่เข้าใจ ถ้าขืนยังพูดกันต่อไปอาจจะเลิกพูดกันตลอดชีวิต”
“คุณพ่อ” อุ๊เสียงสั่น น้ำตามาแล้ว
“อุ๊ฟังดีๆ ลูก ต้องตั้งใจฟัง”
“ก็คุณพ่อบอกว่าจะไม่พูดกับคุณแม่ตลอดชีวิต”
“อุ๊....โตแล้วนะลูก ฟังให้รู้เรื่อง”
“จริงหรือเปล่าคะ”
“พ่อจะออกไปจากบ้านเพื่อจะหยุดพูดกับคุณแม่ชั่วคราว คืนนี้เมื่อเรื่องสงบแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
“จริงๆ นะคะ”
ตระกูลโอบลูกกอดลูบหลังลูบไหล่ ดอกโศกยืนมองอยู่ สีหน้าสะเทือนใจ

ไม่นานหลังจากนั้น ตระกูลพาตัวเองมาอยู่ที่คอนโดเมียน้อย เวลานั้นตระกูลอยู่ในชุดนอน นั่งกุมหัว ครุ่นคิดหนัก
“หนูขอรถใหม่ได้มั้ยคะ” เมียน้อยพูดเสียงเบา อ่อนๆ
“ทำไม”
“รถคันนี้หมดสภาพแล้วค่ะ ช่างเขาบอกว่ารถอายุ 10 ปีกว่า ต่อไปนี้ซ่อมอย่างเดียว”
ตระกูลนิ่งอึ้ง
“แต่ถ้า...” เมียน้อยจะพูดต่อ
ตระกูลสวนขึ้นก่อน “ไม่เป็นไร แล้วจะหาให้ มือสองนะ” แล้วล้มตัวลงนอน
“ค่ะ” เมียน้อยไหว้ลงข้างๆ ตัวตระกูล เหมือนกราบกรายๆ
ตระกูลลูบผมเบาๆ ถอนหายใจยาว นึกถึงคำพูดเพ็ญพักตร์ก่อนหน้านี้
“ไปแล้วไม่ต้องกลับมา”
ตระกูลรู้เต็มอกว่า ต้องกลับไปหาเพ็ญพักตร์อยู่ดี

รุ่งสางวันนั้นตระกูลเปิดประตูเข้ามาเบาๆ เสื้อผ้ายุ่งยับนิดๆ ผมยุ่งๆ กิริยาไม่สบายใจ ยืนมองเพ็ญพักตร์สักครู่ เดินมาห่มผ้าให้ แล้วเดินเข้าห้องน้ำ
“ตระกูล”
ตระกูลหันมา
“ทาครีมให้หน่อย”
“ครับ...คุณเพ็ญ”
ตระกูลหยิบบีบครีม มือตระกูลทาครีมที่ไหล่เพ็ญพักตร์ เพ็ญพักตร์ท่าทางสบาย หลับตาพริ้ม
ตระกูลเกลียดตัวเองเหลือเกิน

ตอนเช้าวันต่อมา ดอกโศกเปิดประตูห้องออกมาอย่างเร็ว แต่ต้องชะงักกึก เห็นอัศนัย ยืนคอยอยู่
ดอกโศกใจสั่น...ยกมือไหว้
อัศนัยเดินเข้ามาหา หยิบกระเป๋านักเรียนไปถือ เดินนำไปที่รถ เปิดประตูให้ขึ้นไปปิดประตูเรียบร้อย ไปขับรถ นั่งนิ่งๆ สักครู่
ดอกโศกก็นั่งนิ่ง ใจยังหวั่นไหว
อัศนัยนิ่งอยู่ ในที่สุดหันมา แตะหน้าผากเบาๆ “ตัวไม่ร้อน ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“คุณนัยไม่ได้โทร.หา”
“ค่ะ”
“คอยรึเปล่า”
ดอกโศกนิ่ง
“คอยมั้ยดอกโศก” อัศนัยถามย้ำ
“คอยค่ะ”
“คิดว่าคง...นอนเร็ว เพราะ...คงไม่สบาย”
“ไม่สบาย คอยใคร..ไม่ได้หรือคะ” ดอกโศกย้อนถาม
อัศนัยหัวเราะเสียงดัง “นี่สิ...ถึงจะใช่ดอกโศก ใช่มั้ย”
ดอกโศกมองสายตาเป็นคำถาม ออกหวานๆ ค้อนๆ นิดๆ
“ใครๆ ก็คิดว่า ดอกโศกนะเรียบร้อยยยยย...สงบเสงี่ยม ไม่พูดไม่เถียง โธ่เอ้ย ไม่มีใครรู้จักดอกโศกดีเท่าคุณนัยหร๊อก”
“ไม่มีใคร...แม้แต่ตัวดอกโศกเองหรือคะ”
อัศนัยดีดนิ้ว “นี่แหละ...เจ้าคารมดีนัก” พลางจับจมูกบีบเบาๆ
“เดี๋ยวจมูกบี้” ดอกโศกเอนตัวหนี
“ฮ่ะ...ฮ่ะ โห...จมูกโด่งขนาดนี้เอาคีมมาหนีบยังไม่บี้เลย” อัศนัยเย้า
“แต่หายใจไม่ออก ตายไปเลย”
อัศนัยหัวเราะชอบใจ
“สายแล้วนะคะ”
“โอเค...เอ้ะ วันนี้สุดท้ายแล้วใช่มั้ยที่ต้องไปโรงเรียนเอง” อัศนัยถามขณะสตาร์ทรถ
“พรุ่งนี้ค่ะวันสุดท้าย”
“ดี...พรุ่งนี้ออกมาเช้าๆ ได้มั้ย คุณนัยจะพาไป...” อัศนัยทอดคำ ค้างไว้เท่านั้น
ดอกโศกสงสัย “ไปไหนคะ”
“ยังไม่บอกดีกว่า...พรุ่งนี้ค่อยรู้”
“เผื่อว่าพรุ่งนี้ไม่มาถึงล่ะคะ” ดอกโศกย้อน
อัศนัยชะงัก “ทำไมพูดอย่างนี้”
“อ้าว...คุณนัยเคยบอกดอกโศกเอง จำไม่ได้หรือคะ”

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น