วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 9 วันที่ 21 เม.ย. 55

อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 9 วันที่ 21 เม.ย. 55
ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในความคิดอัศนัย วันนั้นที่สนามบ้านอัศนัย ด.ญ.ดอกโศกเก็บช็อคโกแล็ตที่อัศนัยให้ เอาทิชชูห่อ
“เก็บทำไม” อัศนัยสงสัย
“เก็บไว้ทานพรุ่งนี้” เด็กหญิงบอก
อัศนัยหยิบจากมือมา แกะแล้วป้อนใส่ปาก ดอกโศกส่ายหน้า อัศนัยแตะคางทำให้เปิดปาก ป้อนให้อย่างนุ่มนวล
“ทานเสียวันนี้ เผื่อว่าพรุ่งนี้ไม่มาถึง” อัศนัยบอก

วันนั้นดอกโศกรับฟัง จดจำไว้เต็มหัวใจ...จวบจนวันนี้
อัศนัยขับรถมาจอดรถที่หน้าโรงเรียน แล้วโน้มตัวไปแกะที่รัดเข็มขัดนิรภัยให้ดอกโศก จังหวะนั้นดอกโศกจ้องมองอัศนัยด้วยสายตาลึกซึ้งยิ่ง ดอกโศกไหว้ขอบคุณแล้วรีบเปลี่ยนสายตา

“อย่าลืมพรุ่งนี้” อัศนัยย้ำ
“จะมาถึงหรือคะ”
อัศนัยมองด้วยสายตาอ่อนโยน ดอกโศกมองสบตา
สองคนต่างนิ่งงันกันไปสักครู่ อัศนัยกลบเกลื่อนด้วยการพูดเสียงดังขึ้น
อัศนัยตบหัว “ตั้งใจเรียน เรียนเก่งดีกว่าเรียนไม่เก่งนะ”


ดอกโศกยิ้มจนตาหยี “ความรู้ใหม่”
อัศนัยหัวเราะ เอื้อมมือมาเปิดประตูให้
จังหวะนั้นดอกโศก จ้องมองอีก ใบหน้าอัศนัยใกล้เหลือเกิน อยู่แค่เอื้อมตรงนี้เอง
ประตูเปิดออก ดอกโศกลงมา แล้วชะงัก เห็นเพ็ฯตระการยืนอยู่ไกลๆ มองจ้องมา
รถอัศนัยแล่นออกไป ดอกโศกเดินช้าๆ ไปหาอุ๊ อัศนัยไม่เห็น
“ไหนบอกว่าไม่ได้นัดกัน” อุ๊ถามเสียงเข้ม แต่เบา
“ฉันพูดจริง”
“ไม่จริง” อุ๊ตวาดเสียงหายไปในคอ “คนอย่างเธอมันน้ำนิ่งไหลลึก ทำเป็นสงบเสงี่ยมที่แท้เจ้าเล่ห์...เจ้ามารยา เหมือนยายเธอที่เจ้ามารยายั่วยวนคุณตาฉัน”
ดอกโศกตะลึง ฟังอย่างสงบ
“ฉันเกลียดเธอ เธอตัวมารเหมือนที่ยายเธอน่ะเป็นตัวมารของคุณยายฉันต่อไปนี้อย่าหวังจะอยู่สุขสบาย ฉันจะทำทุกอย่างให้เธออยู่แบบไม่มีความสุข ให้ทุกข์ทรมานที่สุดจนเธอทนไม่ได้เลย...คอยดู”
อุ๊ประกาศสงครามชัด ดอกโศกจ้องมองอุ๊ สายตาเข้มขึ้นแต่ไม่โต้ตอบอะไร
“อย่าหวังจะมีความสุขทนได้ทนไป”

เย็นวันนั้นดอกโศก ขึ้นไปทำความสะอาดห้องนอนเพ็ญตระการ จะอดทนอย่างที่สุด วันสุดท้ายแล้ว ดอกโศกนึกในใจ
ดอกโศกทำความสะอาดไปเรื่อย แต่อุ๊กำลังอาละวาดให้ห้องสกปรก เหวี่ยงโน่นนี่นั่น เทน้ำ เทน้ำหวานลงพื้น สีหน้ายิ้มหยันด้วยความสะใจ
ดอกโศก ยืนมองแบบอ่อนใจ แต่ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ จังหวะหนึ่ง อุ๊ขยับผ้าคลุมเตียง แยกออกมากอง เหวี่ยงหมอนไปอีกทางหนึ่ง
“ฉันทำแล้ว” ดอกโศกบอก
“ทำแล้วเหรอ ทำไมมันยังยุ่งอยู่ล่ะ...เธอทำยังไง”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันทำใหม่”
“เธอจะไม่ทำใหม่ได้ไง...” อุ๊โยนของไปพูดไป “ฮะ จะไม่ทำได้ไง” โยนอีกชิ้น “เธอก็ต้องทำ เฮอะ...ต้องทำสิ”
ระหว่างนั้นเฉลยโผล่เข้ามา ของบางอย่างโดนตัวเข้าจังๆ
“คุณอุ๊...อะไรคะนี่”
“ไปให้พ้น...” อุ๊ตวาด ปาอะไรไปอีกอย่างใส่ “ไป๊”
“คุณอุ๊ทำอะไรเนี่ย คุณอภิรมย์เขาทำเสร็จหมดแล้ว เหลยเห็น” เฉลยว่า
“งั้นเหรอ...เห็นเหรอ....ก็ฉันทำให้เห็นจะไม่เห็นได้ไง”
อุ๊อาละวาดสุดขีด ดอกโศกยืนมองนิ่งๆ
“พอเถอะคุณอุ๊” เฉลยบอก
“ไป” อุ๊ชี้มือไปทางประตู “แกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”
ดอกโศกมองเฉลยเป็นเชิงบอกให้ไป เฉลยออกไป
“เธอออกไปด้วยอุ๊” ดอกโศกบอก
“ทำไมนี่มันห้องฉัน”
“ฉันจะทำได้ยังไงถ้าเธอยังอยู่”
“เธอต้องทำตอนที่ฉันยังอยู่”
ดอกโศกมองจ้องเพ็ญตระการนิ่งๆ
“ทำไป....ทำ.....เข้าใจมั้ย ทำ” อุ๊เดินเข้ามาผลักตัว
ดอกโศกยืนหน้าอดกลั้นอยู่สักครู่ แล้วตั้งตนทำงานต่อ อุ๊ยังอาละวาดโยนโน่นนี่
“พอเถอะอุ๊ อย่างนี้ทั้งคืนก็ไม่เสร็จ” ดอกโศกว่า
“ไม่ต้องเสร็จ...ทำไปจนกว่าแกจะตาย” อุ๊พูดเน้นเสียงตรงคำว่าแก...เปลี่ยนสรรพนามเรียกดอกโศกอย่างเหยียดหยามด้วยประโยคนี้
ดอกโศกอึ้ง หยุดกึก สองคนจ้องหน้ากัน
สีหน้าดอกโศกหมองลง..หมองลง แล้วจึงหันหลังให้อุ๊ รู้สึกเศร้ามากจนน้ำตาคลอ อุ๊มองไม่ละสายตาทั้งเกลียดและทั้งไม่สบายใจ

ระหว่างนั้นเฉลยเดินเข้ามาพอดี “คุณอุ๊ ท่านให้หา”
อุ๊ นิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง แล้วปรี๊ดแตกทันทีปราดเข้าหาเฉลย
“แกไปฟ้องคุณตาใช่มั้ย เหลย นี่แน่ะ” โผเข้ามาผลักตัวเฉลยไปมา “แกคนปากบอนแกคิดว่าคุณตาจะว่าชั้นเหรอ ฮะ...จะบอกให้ไม่มีวัน คอยไปเถอะ...ใช่มั้ยแกฟ้องใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ” เฉลยบอก
อุ๊ เงื้อมือสุดมือกำลังจะฟาดลงมา ดอกโศกจับมือทันที อุ๊ หันไปแล้วสะบัดออกโดยแรง แต่ไม่หลุด ดอกโศกยังจับอย่างแน่นเหนียว
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” อุ๊ตวาด
“ถึงเขาจะเป็นคนใช้แต่เขาเป็นผู้ใหญ่”
“ปล่อย...ปล้อย...ปล่อยเดี๋ยวนี้ แก...” อุ๊อาละวาด ทั้งสะบัดทั้งฟาดฟันอย่างรุนแรง “ปล่อยฉันนะ อย่ามาจับฉัน มือสกปรก ฉันเกลียดแก”
ดอกโศกปล่อยแบบเหวี่ยงตัวอุ๊ไปด้วย อุ๊ถลาไปนั่งกองกับพื้น
“คิดให้ดีๆ ว่าทำถูกรึเปล่า” ดอกโศกเดินไปอย่างรวดเร็ว
อุ๊ เจ็บใจแค้นใจจนน้ำตาคลอ ส่งเสียงสะอื้นออกมาแรงๆ
เฉลย ยืนมองเฉยๆ สักครู่ อุ๊จะลุก เฉลยเข้ามาช่วย แต่อุ๊ตวาดสุดเสียง
“อย่ามายุ่งกะชั้น แกอีนกสองหัว”
เฉลยถอยไป “ท่านรอคุณอยู่” เฉลยเดินหนีไป
อุ๊ สะอึกสะอื้น ร้องไห้แล้วซมซานออกไป

อุ๊เดินหน้าตั้งมาที่สนามหน้าบ้าน สีหน้าแค้นใจฝังอยู่จนเต็มหัวใจ “แก...” กัดฟันพูดในคอ “อีดอกโศก อีตัวมาร...”
สุดเขตมองเห็นแต่ไกล สีหน้าเพ่งมองหลาน พินิจ พิจารณา เห็นอาการสีหน้านายพลชราเครียดจัด
อุ๊มายืนตรงหน้า นัยน์ตาตก กัดฟันแน่น สะอื้นนิดๆ สุดเขตเดินเข้าหากอดไว้เต็มอ้อมแขน
“คุณตา” อุ๊สะอื้นเต็มแรง
“พาตาเดินออกกำลังหน่อยนะลูก”
อุ๊ กอดคุณตาแน่น เดินไปกับคุณตา ท่าทีอุ๊ยังหมองๆ คุณตารู้ใจหลานดี
สองตาหลานมานั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง สุดเขตโอบไหล่หลานไว้ ตบเบาๆอย่างปลอบโยน
“คุณตาขา...คุณตาไม่ว่าอุ๊ใช่มั้ยคะ”
“ถ้าตาไม่รัก ตาจะไม่ว่าอะไรเลย”
“คุณตา...” อุ๊เสียงแผ่วลงไป “ทำไมคะ”
“เพระอุ๊ผิด”
อุ๊นิ่งงันรู้ตัวดี
“รู้ตัวใช่มั้ยว่าผิด ทุกสิ่งที่อุ๊ทำมันไม่ถูกต้องเลย ตารู้ว่าอุ๊ไม่ชอบเขาแต่ไม่น่าจะทำกับเขาถึงอย่างนั้น”
“เหลยฟ้องว่าไงมั่งคะ” เพ็ญตระการไม่รู้สำนึก
“อุ๊” สุดเขตเสียงเข้มขึ้น “เราทำยังไงเขาก็บอกตาอย่างนั้น ก่อนทำทำไมไม่คิด”
อุ๊กัดฟันแน่น
“เห็นมั้ยว่าในที่สุดใจเราก็ร้อนเสียเอง ร้อนเพราะเกลียด เพราะโกรธเขา ดับไฟในใจเสียเถอะลูก ตาหวังว่าอุ๊จะไม่ทำผิดอีก” สุดเขตสั่งสอนหลานสาว
“คุณตาเกลียดอุ๊แล้วใช่มั้ยคะ”
“ตารักอุ๊ยังก็ยังรักอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง รักอุ๊ตั้งแต่วันแรกที่ตาเห็นหนู...อุ๊เพิ่งเกิดได้วันเดียว มองอุ๊คิดในใจว่านี่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของตา”
อุ๊สะอื้นแรงๆ

ห้องคุณตา เป็นทั้งห้องสมุดและห้องทำงาน
ขึ้นภาพอุ๊ เด็กทารก เด็กโตขึ้นหน่อย จนเป็นสาว อยู่ในอัลบั้ม
คุณตา มองจ้องหลาน อุ๊มองรูปภาพทุกรูป
“ดอกโศกเขาก็เลือดเนื้อเชื้อไขของคุณตา”
สุดเขตตอบเร็วเหมือนเตรียมคำตอบไว้แล้ว “ใช่ แต่ตาไม่มีวันรักดอกโศกเท่าอุ๊”
“จริงหรือคะ คุณตา”
“จริง อุ๊เป็นหลานของตาตั้งแต่วันแรกที่หนูเกิดจนถึงวันนี้ ดอกโศกเขาเพิ่งมาเป็นหลานตาตอนเขาโตแล้ว”
อุ๊ฟังอย่างตั้งใจ แต่สายตาลึกๆ ยังคลางแคลง
“ความรักต้องใกล้ชิด ความใกล้ชิดต้องการเวลา จำไว้นะลูก”

แต่แล้วเพ็ญพักตร์ กับบอกสิ่งที่ตรงข้ามกับที่สุดเขตพูดเมื่อครู่
“อุ๊ไม่เชื่อคุณตาหรอก คุณแม่เชื่อมั้ยคะ”
“ไม่...แม่ไม่มีวันเชื่อ คุณตากำลังหลงมัน แรกๆ ก็สงสาร ต่อมาก็รักมันจริงๆ แม่เชื่อว่าคุณตารักมันมากกว่าอุ๊”
อุ๊สีหน้าบิดเบี้ยว ใจร้อนรุ่มเพราะความอิจฉาล้นอก “แล้วอุ๊จะทำยังไงล่ะคุณแม่”

“จะทำอะไรกับคุณตาได้ล่ะลูก” เพ็ญพักตร์ทำเป็นพูดเรื่อยๆ เหมือนไม่สนใจ
“ไม่ได้ค่ะ”
สีหน้าอุ๊ โกรธ ลึกๆ ในใจคั่งแค้นหนัก
“คุณแม่เล่าเรื่องยายมันแม่มันให้อุ๊ฟังอีกครั้งสิคะ”

ในห้องเรียนวันต่อมา ทั้งห้องคอยครูที่ยังไม่เข้า มีเล่นกัน คุยกัน หัวเราะต่อกระซิก
ดอกโศก กำลังดูหนังสือและคุยกับเจนนิเฟอร์ เพ็ญตระการเดินเข้ามา ก๊วนเพื่อนตาม มายืนหน้าห้อง มองจ้องมายังดอกโศก
เพื่อนคนอื่นไม่เห็น ดอกโศกก็ไม่เห็น
“ดอกโศก” อุ๊พูดขึ้นเสียงดัง
เพื่อนๆ หันมามองเป็นตาเดียว เสียงกระซิบถามกันว่าเรียกใคร ดอกโศกจ้องมองหน้าอุ๊
“เค้าชื่อดอกโศก อภิรมย์ฤดีนั่นคุณตาฉันมาตั้งให้ทีหลัง อ้อ ความจริงก็เป็นคุณตาเค้าด้วย เพราะยายเค้าเป็นเมียน้อยคุณตาฉัน เป็นคนใช้ในบ้าน แล้วเขยิบฐานะเป็นเมียน้อยหรือสมัยนั้นเขาเรียกว่า นางบำเรอ” เพ็ญตระการแฉข้อมูลที่ฟังมาจากแม่เมื่อคืน
เพื่อนๆ งง
อุ๊เสียงเหมือนพูดเรื่องธรรมดา “ต่อมายายเค้าก็ทนไม่ได้ เพราะคุณตาแก่แล้วเลยไปมีชู้ออกจากบ้านไปอยู่กับชู้ เอาแม่เค้าไปด้วย ตอนนั้นแม่เค้าอายุ 2 ขวบ”
“เพ็ญตระการ....พูดทำไมเนี่ย” เจนนิเฟอร์ฉุน
“หยุด” อุ๊ตวาด “อย่ายุ่ง นี่มันเรื่องพี่น้อง”
“อ๋อ ยอมรับแล้วเหรอว่าเป็นพี่น้อง” เจนนิเฟอร์เยาะ
“มันก็ต้องเป็นช่วยไม่ได้ แล้วต่อจากนั้นเธอเล่าต่อได้มั้ยดอกโศกว่าแม่เธอเค้าเหลวแหลกยังไงถึงมีลูกตั้งแต่อายุ 16 หน้าตาเป็นฝรั่งแบบเนี้ย”
ดอกโศกจ้องมองอุ๊นิ่งๆ แบบกำลังระงับอารมณ์เต็มที่ น้ำตาเริ่มคลอ
เจนนิเฟอร์ทนไม่ไหว ปราดออกไปหาอุ๊ “ทุเรศ...พูดจาทุเรศ”
“แล้วเธอจะทำอะไรๆ ที่มันทุเรศกว่าล่ะ จะตบชั้นเหรอ” อุ๊ยั่ว
“เสียมือ หน้าเธอมันสกปรกกว่ามือชั้น ชั้นจะไปบอกมาแมร์” เจนนิเฟอร์เดินออกไป
“อย่าให้มันไป” อุ๊กร้าวพูดเสียงประกาศิต
เพื่อนอุ๊สองคนรวบตัวเจนนิเฟอร์ไว้ทันที เจนนิเฟอร์ดิ้นรน
“ว่าไง ดอกโศก ชีวิตเธอเนี้ยมันโศกจริงนะ ไม่งั้นยายเธอคงไม่ตั้งชื่อเธอแบบนั้น..ใช่มั้ย บอกความจริงเพื่อนมาเถอะ เราจะได้รู้กันไว้ไม่ต้องสงสัยกันอีกว่า เธอเป็นญาติของชั้นยังไง”
ดอกโศกน้ำตารินไหลออกมาทันที พูดอะไรไม่ออก

ริมน้ำเย็นวันนั้น ดอกโศกนั่งมองสายน้ำ สีหน้าเศร้าหมอง นัยน์ตาแดง จมูกแดงเพราะร้องไห้อย่างหนัก ระหว่างนั้นเสียงเพ็ญตระการยังดังก้องอยู่ในความคิด ทั้งเรื่องยายมีชู้ และเรื่องแม่ที่ยายเล่า
“ยายเป็นเมียน้อยคุณตาฉัน...คุณตาแก่เลยไปมีชู้...มีลูกตั้งแต่อายุ 16...ชีวิตเธอมันโศกจริงๆ ถึงมีลูกตั้งแต่อายุ 16”
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูซ้อนทาบทับกันซ้ำไปซ้ำมา

นายพลสุดเขตมองออกไปหน้าต่าง เห็นดอกโศกอยู่ในกรอบสายตาคู่นั้น
“ให้ไปเรียกมามั้ยคะ ท่าน” เฉลยที่อยู่ด้วย ออกความเห็น
“ไม่ต้อง”
“คงโดนคุณอุ๊ทำอะไรซักอย่างที่โรงเรียน” เฉลยว่า
“คงใช่”
“ท่านไม่ปลอบ...” เฉลยแนะ
“บอกว่าไม่ต้องไงเหลยเอ๊ย” น้ำเสียงรำคาญ
“โธ่ ท่าน...” เฉลยครวญ
“มีเวลาอีกเยอะที่จะปลอบกัน” สีหน้าครุ่นคิด พึมพำเบาๆ “หลานชั้น มันแข็งแรงพอ..ฉันเชื่อ” พึมพำกับตัวเอง “อีนังยายมันแข็งขนาดไหนไม่มีใครรู้เท่าฉัน”

ห้องนอนดอกโศก คืนนั้น
ดอกโศกร้องไห้ สะอึกสะอื้น ขณะพูดโทรศัพท์กับอัศนัย
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ คุณนัยไม่ต้องห่วง ดอกโศกทนได้..ทนได้จริงๆ ค่ะ เท่านี้ก่อนนะคะ” พูดไปร้องไห้มากขึ้น
เฉลยยืนมองสีหน้าเรียบๆ

ในห้องรับแขก อัศนัยคุยโทรศัพท์อยู่กับดอกโศก
“ดอกโศก อย่าเพิ่งวาง บอกคุณนัยมาเดี๋ยวนี้นะว่าร้องไห้ทำไม..ใครทำอะไร เดี๋ยวสิดอกโศก คุณนัยจะไปรับนะ พรุ่งนี้เช้า...” อัศนัยหงุดหงิดทางโน้นวางหูแล้ว “ดอกโศก”
ปรียากมลทำทีเป็นอ่านหนังสือ แต่ลอบฟังอยู่
อัศนัยไม่สบายใจเลย เดินมากระแทกตัวนั่ง หน้าขมวดมุ่นอยู่
ปรียากมลเข้ามาใกล้ๆ กอดเอวจากด้านหลัง แนบหน้ากับแผ่นหลัง..เงียบสักครู่แสดงด้วยกิริยาว่าเป็นห่วง “อัศนัย”
อัศนัยขยับตัวนิดหนึ่ง หันมา
“คุณห่วงเด็กคนนี้มากเกินไปแล้วนะ” ปรียากมลเอ่ยขึ้น
“คุณอยากพูดอะไร ฟังผมนะ ผมเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เขายังเด็ก ชีวิตน่าสงสาร...ผมสงสาร”
“น่าสงสารยังไง”
สีหน้าอัศนัย เหมือนจะบอก แต่กลับเปลี่ยนใจ
“เอาเถอะ...คุณอย่ารู้เลย ผมบอกได้แค่ว่าไม่มีใครที่ผมจะห่วงเท่าดอกโศก”
ปรียากมลหน้าเครียด

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น