วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 1 (จบตอน) วันที่ 22 มิ.ย. 55


       อธิการบดีกำลังให้โอวาทนักเรียนเกษตร ในวันรับประกาศนียบัตร เสียงดังก้องกังวานไปทั้งหอประชุมแห่งนั้น
     
       “อาจารย์มีความยินดีกับนักเรียนเกษตรฯทุกคน ที่จบการศึกษาในวันนี้ หลังจากที่บากบั่นพากเพียรกันมากว่า 5 ปี อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่านักเรียนทุกคน จะได้นำวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมาเป็นเครื่องเตือนใจ ว่า ปัญญานั้นมีอยู่ 2 ลักษณะ คือปัญญาที่เกิดจากการเล่าเรียนจดจำอย่างหนึ่ง กับปัญญาที่เกิดจากการศึกษา สังเกต และพิจารณาจนรู้ชัดอย่างหนึ่ง นักเรียนเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาดีแล้ว จึงต้องสังเกตและศึกษาให้มาก ไม่มองข้ามแม้สิ่งเล็กน้อย เพราะแม้แต่ต้นหญ้าก็สามารถนำมาเทียบเคียงให้เป็นประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต ได้ ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิต และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรให้แก่ประเทศชาติสืบไป”
       กลุ่มนักเรียนเกษตร ก้มๆ เงยๆ จดรายงานการเจริญเติบโตของข้าวโพด กระจายตามจุดต่างๆ ณ แปลงทดลองปลูกข้าวโพดขนาดใหญ่ที่ปากช่อง มองเห็นแปลงข้าวโพดยาวสุดลูกหูลูกตา
       อาจารย์เดินเข้ามาถามนักเรียนคนหนึ่ง
       “อาทิจล่ะ”
       นักเรียนคนนั้น เหลียวซ้ายแลขวา แล้วตะโกนถามเพื่อน
       “อาทิจอยู่ไหนวะ”
       เพื่อนมองหาแล้วตะโกนไปทางด้านหลัง
       “อาทิจ!”
       เพื่อนนักเรียนต่างช่วยกันตะโกนเรียกอาทิจเป็นทอดๆทีละคน จนคนสุดท้าย นักเรียนคนสุดท้ายก็ตะโกนลั่น
       “อาทิจโว้ย...อาจารย์เรียก”
       แนวข้าวโพดสั่นไหวเป็นระลอก เพราะมีคนแหวกดงข้าวโพดออกมา อาทิจ คาบปากกาออกมาจากดงข้าวโพดพร้อมสมุดรายงานที่อยู่ในมือ ชายหนุ่มมองเห็นอาจารย์อยู่ไกลๆ จึงวิ่งเข้าไปหาอย่างกระตือรือร้น
       “อาจารย์มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”
       “พรุ่งนี้อาจารย์จะขึ้นไปสัมมนาที่ พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ฝาง เธอสนใจจะไปศึกษางานกับอาจารย์มั้ย อาจารย์บอกเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่า อาจจะมีนักเรียนที่ได้ทุนเรียนดีขึ้นไปดูงานด้วย 3 คน หรือว่าจะกลับบ้านเลย”
       “ไปสิครับ ผมอยากไป”
       “ดีแล้ว ไปดูงานที่ในหลวงท่านทรงไว้ จะได้นำความรู้ไปใช้ ให้เป็นศิริมงคลกับตัวเอง”
       “ครับ ขอบคุณมากครับอาจารย์”
       อาทิจยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อาจารย์ยิ้มแล้วตบบ่าเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป อาทิจสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเบิกบาน ก่อนจะหันมาสบตาเพื่อนๆแล้วทุกคนพากันตะโกนลั่น
       “เย้ๆๆๆ”
       อาทิจและเพื่อน พากันกระโดดตัวลอยแล้วพร้อมใจกันโยนสมุดรายงานในมือขึ้นไปบนฟ้า
     
       หน้าพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ฝาง เจ้าหน้าที่บรรยายความหมายของตราสัญลักษณ์ของโรงงาน และประวัติความเป็นมาของโรงงานกับนักท่องเที่ยว อาทิจหยิบสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋าสะพายพร้อมปากกา เตรียมเก็บเกี่ยวความรู้ที่จะได้รับอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันนั้นรถกระบะขนส้มคันหนึ่ง แล่นมาแบบกระตุกๆแล้วพุ่งผ่านหลังอาทิจไป
       รถกระบะพุ่งเข้ามาแล้วเบรกเอี๊ยดในที่จอดรถรับ-ส่งของด้านข้างของโรง งาน ดรุณีเปิดประตูรถด้านคนขับ แล้วหันไปหยิบกระเป๋าสะพายที่เย็บจากผ้าปักของชาวเขาเก๋ๆวิ่งลงมาอย่างรีบ เร่ง แต่แล้วหญิงสาวเหมือนนึกอะไรได้วิ่งกลับไปที่รถอีกครั้ง ลุงเกร็ง คนงานในไร่อยู่ในรถนั่งหลับตาปี้ พร้อมนับลูกประคำที่แขวนอยู่บนคอ ปากก็ท่องพุทโธ...ธัมโม...สังโฆ ดรุณีชะโงกหน้าเข้าไปเรียก
       “ลุงเกร็ง...ลุงเกร็ง”
       ลุงเกร็งสะดุ้ง
       “ชะ...ชะ...ชนแล้วครับคุณหนูณี ชน”
       ดรุณีหัวเราะขำ
       “ชนอะไรล่ะลุงเกร็ง ถึงโดยสวัสดิภาพ...เห็นมั้ย”
       ลุงเกร็งค่อยๆลืมตา
       “เดี๋ยวหนูจะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์หน่อยนะจ๊ะ ลุงเกร็งช่วยเจ้าหน้าที่เอาส้มลง อย่าให้บุบสลายล่ะ”
       ดรุณีวิ่งเริงร่าออกไป
       “ส้มไม่บุบ แต่ลุงนี่สิคุณหนูณี...ยังครบ 32 อยู่รึเปล่าวะเนี่ย”
       ลุงเกร็งลูบคลำอวัยวะตัวเอง ด้วยสีหน้าและความรู้สึกที่ยังเสียวไม่หาย
     
       ดรุณีรีบจ้ำเข้ามาหน้าพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงจะวิ่งไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ แต่หญิงสาวไม่เห็นใครแล้ว จึงรีบเข้าไปด้านใน
       ที่ลานกิจกรรมด้านใน เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนไปชมอีกห้อง ดรุณีเดินเข้ามากวาดตามองดูบรรยากาศห้องที่จำลองเครื่องมือเครื่องใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นวิถีชีวิตของชาวจีนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดั้งเดิมด้วยความ สนใจ ก่อนจะเดินตามทุกคนไปยังห้องข้างๆ
     
       ทุกคนเข้ามาในห้องชีวิตชายขอบ เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนลงนั่งที่ม้านั่ง อาทิจและเพื่อนๆเลือกเดินมานั่งม้านั่งแถวหน้า โดยที่เขานั่งตรงกลางและเพื่อน 2 คนนั่งประกบข้าง ดรุณีตามเข้ามาสมทบหญิงสาวเอามือควานหาสมุดเล็คเชอร์และปากกาที่อยู่ใน กระเป๋า ในขณะที่นักท่องเที่ยวอื่นๆกำลังเลือกที่นั่งกัน อาทิจสะบัดปากกาที่กำลังเขียน แล้วหันไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
       “มีปากกาอีกด้ามมั้ย ยืมหน่อย”
       เพื่อนรีบควานหาปากกาอีกด้ามในกระเป๋า ทำให้ปากกาที่อยู่ในมือตัวเองหล่นตกพื้นและกระเด็นไปไกล เพื่อนลุกจากเก้าอี้ไปเก็บ ในจังหวะเดียวกันนั้น เพื่อนอีกคนที่นั่งข้างเขาชวนคุย ดรุณีหยิบปากกาออกจากกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปนั่งแทนที่เพื่อนอาทิจที่ลุกไป อาทิจหันมา หางตาเห็นปากกาในมือดรุณีเข้าใจว่าเพื่อนส่งปากกาให้ เลยเอื้อมมือไปดึงปากกาจากมือหญิงสาวมาพร้อมกับเปรยขึ้นขณะหันไปคุยกับ เพื่อนต่อ
       “ขอบใจ”
       เพื่อนอึ้งกำลังจะอ้าปากเรียกอาทิจ แต่เจ้าหน้าที่ปิดไฟในห้องเสียก่อน เพื่อจะให้ทุกคนได้ชมวิดีทัศน์ เพื่อนที่ลุกไปเก็บปากกาจำต้องหาที่นั่งใกล้ๆแถวนั้น เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิคนอื่น ทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่จอโปรเจคเตอร์ ภาพในวีดิทัศน์ที่พูดถึงอาชีพและความเป็นอยู่ของชาวเขาบนดอยสูงเมื่อหลายสิบ ปีมาแล้ว อาทิจกับดรุณีนั่งดูสารคดีอย่างตั้งใจ จนถึงเนื้อหาช่วงสุดท้ายของวีดิทัศน์
       เจ้าหน้าที่เปิดไฟ ห้องสว่างขึ้น ดรุณีหันมาเบิกตามองอาทิจ ในขณะที่เจ้าหน้าที่บรรยายไปเรื่อยๆ สักครู่ อาทิจรู้สึกว่ามีคนมองอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มหันไปเห็นเป็นดรุณีก็แปลกใจ แต่ก็ส่งยิ้มให้ลืมเรื่องปากกาที่หยิบมาซะสนิท ดรุณีกำลังจะเอ่ยปากขอปากกาคืน แต่เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนไปพบกับคำตอบที่อยู่อีกห้องว่า ผู้ที่มากับเฮลิคอปเตอร์ในวิดีทัศน์นั้นคือใคร อาทิจรีบเดินตามเจ้าหน้าที่ออกไปพร้อมกับเพื่อนๆและคนอื่นๆ ดรุณีบ่นตามหลัง
       “เอาของเขาไปแล้วยังจะหน้ามายิ้มให้อีก”
       ดรุณีจ้ำตามไม่พอใจ
     
       ดรุณีเดินเข้ามาสมทบกับคนอื่นๆ ในขณะที่เจ้าหน้าที่เฉลยว่า ผู้ที่มากับเฮลิคอปเตอร์นั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อาทิจและทุกคนตั้งใจฟัง รวมทั้งดรุณี เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนเดินไปยังอีกห้อง
       เพื่อนอาทิจคนหนึ่งหันไปมองดรุณี แล้วแอบกระซิบอาทิจ
       “ผู้หญิงคนนั้นเขาแอบมองนายบ่อยๆน่ะ”
       “ไม่ได้แอบมองอย่างเดียวนะ ฉันว่าเขาแอบเดินตามนายด้วยล่ะ” อีกคนเสริม
       อาทิจหันไปมองดรุณี แล้วยิ้มให้หญิงสาวตามมารยาทอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามเพื่อนและทุกคนออกไป ดรุณีเรียกไว้เบาๆ
       “เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป”
       อาทิจและเพื่อนๆชะงักหันมามองดรุณี ดรุณีเดินมาหา เพื่อนส่งสายตาใส่อาทิจเป็นเชิงล้อนิดๆ
       “ไปรอข้างนอกนะ”
       เพื่อนทั้งสองเดินออกไป ดรุณีแบมือ
       “ช่วยเอาปากกาที่นายถือวิสาสะดึงจากมือฉันไปคืนมาด้วย”
       อาทิจยืนอึ้งไป ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วส่งปากกาให้
       “เอ่อ...ขอโทษครับ ผมนึกว่าของเพื่อนผม”
       “ฉันนั่งข้างๆนาย มันจะเป็นของเพื่อนนายได้ยังไง”
       “คือ...ก็...เพื่อนผมเขานั่งตรงที่ที่คุณนั่งก่อน...” อาทิจขี้เกียจแก้ตัว “เอ่อ...เอาเป็นว่าผมขอโทษ ก็แล้วกันครับ”
       “ทีหลังจะทำอะไรก็หัดดูตาม้าตาเรือซะบ้าง”
       ดรุณีพูดจบก็เดินหนีไป อาทิจเปรยตามลอยๆ
       “แค่ปากกาแค่นี้เนี่ยนะ”
       อาทิจงงกับความไม่พอใจของหญิงสาวว่าอะไรจะปานนั้น
     
       ทุกคนเข้าในห้องของโรงงานชั่วคราว เจ้าหน้าที่เล่าถึงระยะแรกของการทำอาหารกระป๋อง พร้อมกับฉายภาพสไลด์มัลติวิชั่นประกอบให้ฟัง ดรุณีเห็นเป็นเรื่องการทำอาหารกระป๋อง ก็สนใจเดินแทรกเข้ามายืนด้านหน้าสุดข้างๆเพื่อนอาทิจ หญิงสาวก้มลงจดรายละเอียดตามเสียงบรรยาย ตาก็จับจ้องไปที่ภาพเงาในห้อง อาทิจเดินตามเข้ามา รวมกลุ่มกับเพื่อนอีกด้าน ชายหนุ่มมองดูภาพเงาและฟังเสียงบรรยายอย่างสนใจ เพื่อนทั้งสองซึ่งยืนคั่นกลางระหว่างอาทิจและดรุณี แอบเหล่มองทั้งคู่แล้วหันมาสบตากัน ยิ้มมีเลศนัย ขณะเดียวกันนั้น นักท่องเที่ยวคนหนึ่งบอกกับเจ้าหน้าที่
       “อยากเห็นเครื่องกระป๋องที่แปรรูปแล้วจังเลยค่ะ”
       “โรงงานเรามีจำหน่ายและให้ลองชิมกันด้วยนะคะ เชิญทางด้านนี้ค่ะ”
       นักท่องเที่ยวพากันทยอยเดินตามเจ้าหน้าที่ออกไป อาทิจพูดกับเพื่อนแต่ตาจ้องอยู่ที่ภาพในห้อง
       “เทคนิคน่าสนใจดีนะ ดูแล้วเข้าใจง่ายดี”
       เพื่อนเออออ
       “อื้อ”
       ว่าแล้วเพื่อนทั้งสองก็ค่อยๆก้าวถอยหลัง แล้วเร้นกายตามคนอื่นออกไปอย่างเงียบเชียบอาทิจนึกว่าเพื่อนยังอยู่
       “เอ...เขาทำยังไง ถ่ายเป็นสไลด์งั้นเหรอ”
       ดรุณีหันมามองอาทิจ แล้วหน้าตึง เมื่อเห็นว่าเป็น...อีตาบ้านี่อีกแล้ว...หญิงสาวผละออกมาเพื่อจะตามคนอื่นๆ ไป แต่แล้วก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อ เมื่ออาทิจรวบตัวเธอไว้ แล้วลากหญิงสาวเข้ามาใกล้ก่อนจะโอบไหล่เหมือนเพื่อนผู้ชายโอบไหล่ดูบอลกัน
       “เฮ้ย...อย่าเพิ่งไป ดูสิ...เหมือนคนงานยกของแพ็คใส่ลังจริงๆเลยอะ...ว่ามั้ย”
       อาทิจพูดจบก็หันไปยิ้มพยักพะเยิดกับเพื่อน แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องหุบยิ้มในบัดดลเมื่อเห็น ดรุณียืนกัดฟันกรอด พร้อมจะฮึ่มใส่ อาทิจยิ้มแหยๆ ก่อนจะค่อยๆเอามือออกมาจากไหล่ของเธอ
       “ผม...ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ คือ...ผมคิดว่าคุณเป็นเพื่อนผม”
       ดรุณีอ้าปากกว้าง เหมือนจะแผดเสียงดังลั่นออกมา อาทิจรีบตัดบท
       “อะ...เอาเป็นว่า...ผมจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีกก็แล้วกัน ขอโทษอีกครั้งนะครับ”
       อาทิจยิ้มเจื่อนแล้วรีบจ้ำออกไป ก่อนที่เสียงกรี๊ดของดรุณีจะดังแผดขึ้น
     
       ดรุณีอยากจะกรี๊ดให้ลั่นห้องแต่หญิงสาวก็ทำไม่ได้ดั่งใจได้แต่ยืนสูดหายใจลึกถี่อยู่อย่างนั้น

    บ่ายวันนั้น...เสียงกรี๊ดอันยาวนานของดรุณีดังก้องไปทั่วสวนส้ม ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล หญิงสาวยืนแหกปากกรี๊ดลั่นอยู่กลางสวน คนงานวิ่งแตกหือจากทุกซอกทุกมุมของสวน เพื่อมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แก้วแม่บ้านคนสนิทของย่าแดง เจ้าของอาณาเขคแห่งนี้ ยืนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
       “นี่หนูโมโหจริงๆนะคะ น้าแก้วขำอะไร”
       “ก็...น้าแก้วกำลังสงสัยน่ะสิคะว่า คุณณีโดนพ่อหนุ่มคนนั้นโอบไหล่เฉยๆ หรือว่าโดนจุ๊บมากันแน่ ถึงได้กรี๊ดดลั่นสวนยาว 3 รอบอย่างนี้”
       “ก็ลองมาทำแบบนั้นกับหนูสิ หนูจะชกเข้าให้ ผู้ชายอะไรทั้งซุ่มซ่ามทั้งบ้ากาม นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นสถานที่ที่ต้องเคารพล่ะก็ หนูจะโวยจะอัดให้จุกกลับไปแล้ว”
       ย่าแดง กำลังใช้กรรไกรตกแต่งกิ่งส้มอยู่อย่างใจเย็นและอารมณ์ดีพูดขึ้น
       “เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกแม่ณี สถานที่ศึกษาหาความรู้อย่างนั้น คงไม่มีใครคิดจะเข้าไปทำอะไรไม่ดีไม่งามหรอกน่า” ย่าแดงหันไปดุคนงาน “อ้าว...แล้วมายืนมุงดูอะไรกันจ๊ะ งานการไม่มีทำรึไง กลับไปทำงานได้แล้ว”
       คนงานพากันมองหน้ากัน แล้วแยกย้ายกลับไปทำงาน ย่าแดงหันกลับมาหาดรุณี
       “เราก็เหมือนกัน จะมายืนอารมณ์เสียอยู่ทำไม มาช่วยย่าแต่งกิ่งส้มนี่ เดี๋ยวก็อารมณ์ดีขึ้นเอง ได้ประโยชน์ด้วย”
       ดรุณีจำต้องหยิบกรรไกรมาตัดกิ่งส้มฉับๆๆๆ พร้อมกัดฟันกรอด
       “อย่างนี้มันโรคจิตชัดๆ เป็นพวกขาดความรักแหงๆ”
     
       เย็นวันต่อมา อาทิจก้าวเข้ายืนหน้าบ้าน นิตยากับภาณีกำลังพาน้องๆรดน้ำต้นไม้ และพรวนดินอยู่ที่แปลงปลูกพืชผักสวนครัวที่หน้าบ้าน...สักครู่ นิตยาและภาณีหันมาเห็น นิตยาตาลุกวาวแล้วตะโกนขึ้นอย่างดีใจ
       “พี่อาทิจ!”
       เท่านั้นเอง เด็กๆที่กำลังทำงานอยู่ต่างพากันหันไปมองชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่หน้าบ้านเป็นตา เดียว ทั้งหมดมีอาการเดียวกันคือดีใจสุดขีด ภาณีตะโกนเรียกพ่อกับแม่
       “พ่อคะ...แม่คะ พี่อาทิจกลับมาแล้วค่ะ”
       เด็กๆทุกคนต่างพากันทิ้งอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานในมือลงกับพื้น แล้วส่งเสียงเรียก พี่อาทิจๆๆ กันเซ็งแซ่ในขณะที่วิ่งกรูเข้าไปหา อาทิจกางแขนโอบกอดน้องๆทุกคนที่วิ่งเข้ามา น้องๆทั้งกอดรัด ซุกไซ้ กระโดดขี่คอ หอมจ๊วบจ๊าบอย่างคิดถึงสุดชีวิต
       “พี่คิดถึงทุกคนที่สุดเลยรู้มั้ย”
       ประวิทย์และพูนทรัพย์ ซึ่งอุ้มลูกน้อยวัย 8 เดือน จ้ำออกมายืนหน้าบ้านด้วยความดีใจ ยิ่งได้
       เห็นน้องๆล้อมหน้าล้อมหลังพี่ชายแล้วยิ่งปลื้มใจขึ้นไปอีก เด็กๆพากันตะเบ็งเสียงแข็งกัน
       “หนูก็คิดถึงพี่อาทิจ / ผมก็คิดถึงพี่อาทิจเหมือนกัน”
       อาทิจทั้งกอดทั้งอุ้มทั้งหอมน้องๆจนหน่ำใจแล้วหันมาเห็นพ่อกับแม่ ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วก้มลงกราบแทบเท้าทั้งคู่ ประวิทย์ประคองลูกชายคนโตขึ้นมา
       “จบซะทีนะไอ้ลูกชาย”
       “ครับคุณพ่อ” อาทิจแอบแซวพ่อกับแม่ “นี่น้องคนที่ 9 ของผมหรือครับ”
       พูนทรัพย์ยิ้มแย้มแจ่มใส
       “จ้ะ ชื่อ ณเดชน์จ้ะลูก”
       อาทิจรับณเดชน์ขึ้นมาอุ้มอย่างกระฉับกระเฉง ชายหนุ่มหอมแก้มน้องคนสุดท้องอย่างเอ็นดูทะนุถนอม ก่อนจะชูเด็กน้อยขึ้นไปกลางอากาศ
       “พี่อาทิจกลับมาแล้วน้า พี่จะกลับมาทำงานและเลี้ยงน้องๆทุกคนจ้ะ”
       เด็กๆเฮเจี๊ยวจ้าว ที่ยังตัวเล็กๆก็พากันกอดแข้งกอดขาอาทิจพันยั้วเยี้ยเป็นปลาหมึก ท่ามกลางบรรยากาศพ่อแม่พี่น้องรักใคร่กลมเกลียว เป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น
     
       อาทิจคว้าณเดชน์ที่กำลังคลานอย่างเมามันกับพื้นขึ้นมาอุ้มใส่เอวแล้ว ป้อนข้าวน้องอย่างชำนาญเพราะช่วยแม่เลี้ยงน้องมากับมือทุกคน
       “ใจจริงผมก็อยากจะเรียนต่ออีก 2 ปี จะได้รับปริญญา”
       ประวิทย์ซึ่งกำลังนั่งอ่านเอกสารราชการ และพูนทรัพย์ซึ่งกำลังกำผักอยู่กับนิตยาและภาณีเพื่อจะเอาไปขายที่ตลาดชะงัก กึก แล้วหันมามองหน้ากัน อาทิจเห็นปฏิกิริยาของทุกคน แล้วพูดต่ออย่างเข้าใจ
       “แต่ผมสงสารน้อง ผมรู้ว่านิตยากับภาณี เสียสละหยุดเรียนเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ ส่งผมเรียนมา 2 ปีแล้ว ผมเลยคิดว่าจะหางานทำเพื่อส่งน้องๆเรียนดีกว่า”
       ประวิทย์มองลูกชายอย่างเห็นใจ
       “ดีแล้วล่ะลูก พ่อเองก็จน เงินเดือนปลัดอำเภอก็เท่านี้ น้องๆก็กำลังกินกำลังนอนกันทั้งนั้น นี่ถ้าแม่เราเขาไม่ขยัน ไม่ปลูกผักทำขนมขาย เราคงลำบากกันมากกว่านี้”
       พูนทรัพย์หันมาหาลูกชาย
       “แล้วอาทิจอยากทำงานอะไรล่ะลูก”
       “ผมอยากทำในสิ่งที่เรียนมา ผมอยากเป็นชาวไร่ชาวนา เป็นเกษตรกรครับ”
       “แต่...เราไม่มีทุนรอนเลยนะลูก อย่าว่าแต่ทุนค่าเมล็ดพันธุ์ค่าปุ๋ยเลย แม้แต่ที่ดินสักกระแบะมือ เราก็ไม่มี”
       ประวิทย์มองลูกชาย
       “พ่อว่ารับราชการดีกว่านะลูก ไม่ต้องเหนื่อยมาก แล้วก็ไม่ต้องเสี่ยงลงทุนลงแรงรอฟ้าฝนรอเก็บเกี่ยวอะไร แค่เราตั้งใจทำงานให้เต็มที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตก็พอแล้ว”
       “แต่ผมอยากปลูกผัก ปลูกผลไม้ ผมอยากปลูกข้าว”
       ประวิทย์ตัดบททันที
       “ตำแหน่งเกษตรอำเภอที่นี่ว่างอยู่ตำแหน่งหนึ่งพอดี พรุ่งนี้พ่อจะคุยกับนายอำเภอให้ พ่อปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตมานาน ท่านต้องเห็นใจพ่อแน่”
       อาทิจจำต้องจบบทสนทนาไปโดยปริยาย ทั้งๆที่สิ่งที่พ่ออยากให้ทำขัดแย้งกับความต้องการของตัวเอง
     
       ค่ำนั้น ย่าแดงนั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน ดื่มนมจนหมดแก้วแล้วหันมาถามดรุณีซึ่งนั่งดื่มนมเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ
       “แล้วเราล่ะแม่ณี คิดไว้รึยังว่าต่อไปจะทำอะไร”
       ดรุณีกระตือรือร้น
       “ตอนแรกหนูก็ว่าจะสอบเข้าคณะเกษตรฯ จะได้มาช่วยคุณย่าดูแลสวน แต่วันนี้ไปดูงานที่พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงมา ก็เลยชักจะลังเล หนูอยากจะทำอาหารกระป๋องด้วยน่ะค่ะคุณย่า จะได้เอาผักผลไม้ที่เหลือจากคัดไปขายมาแปรรูปน่ะค่ะ คุณย่าว่าดีมั้ยคะ”
       ดรุณีเกาะแขนย่าแดงอ้อนอย่างน่าเอ็นดู
       “ก็ดีเหมือนกันนะ งานในไร่ในสวน มันออกจะหนักเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างเรา”
       “แต่คุณย่าก็จัดการเองได้คนเดียวมาตั้งนานนี่คะ”
       “ย่าทำมาตั้งแต่ยังสาว ตั้งแต่ที่ดินมีแค่กระผีก มันก็เลยชิน แต่ตอนนี้ที่ดินขยายขึ้นเป็นพันไร่ ย่าว่ามันหนักหนาเกินไปสำหรับหนู”
       “ถึงจะหนักแสนหนักแค่ไหน หนูก็จะสู้ค่ะ ถ้าไม่มีใครที่คุณย่าพอจะไว้ใจและวางมือให้รับหน้าที่แทนได้ หนูจะขอรับหน้าที่ทุกอย่างแทนคุณย่าเองค่ะ”
       แก้วซึ่งเอาถาดมาเก็บแก้วนมให้ย่าหลาน ได้ยินเข้าก็อดไม่ได้ที่จะแซว
       “แต่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนนะค้า”
       “มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะน้าแก้ว”
       ดรุณีซุกตัวเอาหน้าแนบแขนย่า ย่าแดงโอบหลานรักกระชับกอดอย่างชื่นใจและมีความหวัง
     
       เช้าวันใหม่...อาทิจนั่งพรวนดินต้นไม้อยู่ ในขณะที่น้องๆช่วยกันเก็บพริก มะเขือ มะกรูด มะนาวอยู่ทางด้านหลัง พูนทรัพย์ซึ่งนั่งเจียนใบตองสำหรับห่อขนมอยู่อีกมุม แอบมองลูกชายด้วยความเข้าใจและเห็นใจ พอเห็นประวิทย์เดินออกมาจากบ้าน พูนทรัพย์จึงเปรยๆกับลูกชาย
       “ลองคุยกับพ่อเขาดูอีกทีสิจ๊ะ”
       ประวิทย์ซึ่งกำลังเดินออกจากบ้านไปทำงานชะงัก หันกลับมาหาอาทิจ
       “มีอะไรเหรอลูก”
       อาทิจเกรงใจและหนักใจ
       “ถ้าคุณพ่อจะให้ผมรับราชการ ผมคิดว่า...เงินเดือนอาจจะไม่พอส่งน้องๆเรียน”
       ประวิทย์เสียงแข็งขึ้นมาทันที
       “อย่าดูถูกอาชีพข้าราชการอย่างนั้นสิลูก ถึงเงินเดือนจะน้อยแต่มันก็เป็นอาชีพที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี แถมยังมีสวัสดิการต่างๆมากมาย ไม่เหมือนพวกชาวไร่ชาวนาที่เราอยากจะเป็น เหนื่อยยากก็เท่านั้น ลงแรงไปแทบตายก็ไม่มีใครยกย่องชื่นชม หนำซ้ำยังมีคนดูถูกดูแคลนว่าเป็นพวกชนชั้นรากหญ้า”
       “แต่ถ้าไม่มีชนชั้นรากหญ้า คนชนชั้นอื่นก็ไม่มีอะไรจะกินนะครับพ่อ ผมเชื่อครับว่าวิชาความรู้ที่ผมเรียนมาจะสามารถทำเป็นอาชีพที่มั่นคงได้ ผมเชื่อว่าอาชีพเกษตรกรจะมีความสำคัญมากขึ้นทุกวัน ในเมื่อคนเกิดมากขึ้น พื้นที่เพาะปลูกน้อยลง ราคาพืชผลมันก็ต้องแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว”
       “กว่าจะถึงเวลานั้น ลูกก็คงเหนื่อยตายซะก่อน”
       “ถึงจะเหนื่อยแต่ถ้ามันเป็นงานที่เรารัก เราก็สุขใจนะครับพ่อ”
       “อย่าเพิ่งฝันลมๆแล้งๆกับอุดมคติที่ยังจับต้องไม่ได้ สิ่งที่ลูกเรียนมามันยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของความยากลำบากที่ต้องเผชิญในความ เป็นจริง ลูกยังไม่เคยเจอสภาพไม่เคยรับรู้ว่าการเกิดมาเป็นชาวไร่ชาวนาจริงๆมันทุกข์ ยากขนาดไหน...พ่อบอกได้เลยว่ามันไม่น่าพิสมัยนักหรอก”
       ประวิทย์เดินออกไปอย่างอัดอั้นตันใจ พูนทรัพย์เดินเข้ามาตบบ่าอาทิจเบาๆเพื่อปลอบใจ อาทิจไม่เข้าใจ ทำไมพ่อถึงได้มีอคติกับอาชีพชาวไร่ชาวนานักหนา
     
       ในไร่...ดรุณียืนตัดแต่งกิ่งส้มอยู่ใกล้ๆย่าแดง หญิงสาวแอบมองย่าด้วยความชื่นชมบูชา
       “ตั้งแต่หนูจำความได้ ไม่เคยมีวันไหนเลยที่หนูจะเห็นคุณย่าไม่ทำงาน คุณย่าไม่เหนื่อยบ้างหรือคะ”
       “เหนื่อยสิลูก แต่มันทำให้ย่ามีความสุข งานในไร่ในสวนมันเหนื่อยยากลำบากมากก็จริง แต่มันให้ความสุขทางใจ ย่าภูมิใจที่ย่าเป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งที่ทำให้ใครๆเรียกประเทศของเราว่า อู่ข้าวอู่น้ำของโลก คนเราเกิดมาจะมีความสุขอะไรมากไปกว่า การทำเพื่อปากท้องของพวกเราเองและมีเหลือเผื่อแผ่ไปยังเพื่อน
       มนุษย์คนอื่นด้วยล่ะ จริงมั้ย”
       ดรุณียิ้มอย่างมีความสุข
       “คุณย่าเป็นแม่พระของหนู เป็นคนที่หนูรักและเคารพนับถือในความคิดที่สุด หนูจะเดินตามรอยคุณย่า ถึงจะได้ไม่เต็มร้อย แต่หนูจะพยายามให้ได้สักครึ่งหนึ่งของคุณย่าก็ยังดี”
       ย่าหลานยิ้มให้กัน ด้วยดวงตาที่บ่งว่ารักและนับถือกันอย่างสุดหัวใจ
     
       ประวิทย์นั่งคุยกับนายอำเภอในห้องทำงานของนายอำเภอ ประวิทย์พูดจาฉะฉานมั่นใจ
       “เจ้าอาทิจลูกผมเรียนดี และได้รับทุนเรียนดีมาตลอดครับท่าน เขารักเรือกสวนไร่นารักในสิ่งที่เขาเรียนมาก ผมคิดว่าเขาจะถ่ายทอดความรู้ที่มีไปยังชาวบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ครับ”
       “เออ...ดีจริง เพิ่งจะได้ยินว่าเด็กรุ่นใหม่อยากเป็นชาวไร่ชาวนาก็วันนี้แหละ ท่าทางจะไฟแรงซะด้วยสิ”
       ประวิทย์ภูมิใจ
       “ครับ...อาทิจเป็นเด็กที่ใฝ่หาความรู้ และชอบลงมือทำงานด้วยตัวเองครับ”
       “อย่างนี้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”
       ประวิทย์ดีใจ
       “หมายความว่าท่านเห็นด้วยว่า อาทิจเหมาะสมกับตำแหน่งนี้”
       นายอำเภอยิ้มๆ
       “ยังนั้นสิ...แหม จะให้เอาเด็กจบไฟฟ้ามานั่งตำแหน่งเกษตรอำเภอเหรอปลัด”
       ประวิทย์หน้าบาน
       “ขอบคุณมากครับ ถ้าอย่างนั้นจะให้อาทิจมาเริ่มงานวันไหนดีครับท่าน”
       “ก็ถ้าหาเงิน 3 แสนมาได้วันไหนก็วันนั้นล่ะปลัด แต่รีบหน่อยก็ดีนะ เพราะมีคนมาฝากลูกฝากหลานไว้หลายคนแล้ว นี่ผมเห็นแก่ปลัดนา ก็เลยคิดราคาแบบคนกันเอง”
       ประวิทย์หน้าค่อยๆเหี่ยวลงๆ
     
       อาทิจกำลังผัดข้าวผัด ประวิทย์นั่งหน้าเครียดที่โต๊ะกินข้าว ในขณะที่พูนทรัพย์นั่งห่อข้าวต้มผัดใส่ใบตองอยู่กับนิตยาและภาณี โดยที่น้องคนอื่นๆ นอนกลางวัน และนั่งเย็บกระทงสำหรับใส่ผักขายอยู่กับพื้น
       “เป็นธรรมดาครับคุณพ่อ ผมว่ากว่าเขาจะได้ตำแหน่งมา เขาเองก็คงต้องจ่ายไปเยอะเหมือนกัน ถึงเวลาเขาก็เลยต้องเอาทุนคืน”
       อาทิจบอกอย่างเข้าใจ แต่ประวิทย์ขบฟันแน่น
       “ชีวิตนี้พ่อยังไม่เคยได้จับเงินแสน แล้วจะให้ไปหามาจากไหนตั้ง 3 แสน ที่ประชาชนพากันเกลียดข้าราชการก็ไอ้เพราะเรื่องเงินใต้โต๊ะนี่แหละ เมื่อไหร่ค่านิยมพวกนี้มันจะหมดสิ้นไปจากประเทศนี้เสียที”
       อาทิจตักข้าวใส่จานวางใส่ถาด แล้วตักแกงจืดใส่ถ้วยก่อนจะยกมาวางที่โต๊ะให้พ่อ
       “แต่ผมว่าข้าราชการที่ดีก็คงพอมี อย่างน้อยก็นั่งอยู่ตรงนี้คนหนึ่ง”
       “พ่อถือมากเรื่องนี้ ให้พ่อตายเสียดีกว่าจะยอมเสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรีไปรับเงินไม่บริสุทธิ์จากใครแม้แต่บาทเดียว” ประวิทย์หันมาจ้องหน้าอาทิจ “พ่อว่าบางทีลูกอาจจะคิดถูก”
       “เรื่องอะไรครับ”
       “เรื่องที่ลูกอยากทำไร่ทำนาน่ะสิ บางทีความเหนื่อยยากแต่เป็นอิสรเสรี อาจจะทำให้ลูกมีความสุข มากกว่า ต้องมาทนกับระบบพวกพ้อง และการประจบเอาหน้าแบบข้าราชการก็ได้”
       อาทิจยิ้มดีใจ
       “หมายความว่าคุณพ่อจะไม่ห้ามใช่มั้ยครับ ถ้าผมจะไปทำงานอย่างอื่นก่อนแล้วค่อยเก็บเล็กประสมน้อยมาซื้อที่ ผมฝันมานานแล้วที่จะได้เป็นเจ้าของที่ดินสักแปลง”
       พูนทรัพย์ถอนใจเฮือก
       “แล้วลูกจะทำอะไรล่ะ จะไปเช่าที่เขาทำกินก่อนงั้นเหรอ หาได้เท่าไหร่มันจะไม่จมไปกับค่าเช่าหมดเหรอลูก”
       ประวิทย์นิ่งคิดแล้วบอก
       “มันอาจจะไม่ยากเย็นขนาดนั้นก็ได้แม่ พ่อพอมีหนทาง ว่าแต่...ลูกจะทนลำบากกับงานในไร่ในสวนได้แน่เหรอ”
       “โธ่...คุณพ่อครับ กว่าผมจะเรียนจบมาก็ 5 ปี มันยังไม่เป็นการพิสูจน์ความอดทนของผมหรือครับ ขอแค่มีที่ดินให้ผมได้ทำกิน ถึงจะเหนื่อยสายตัวแทบขาดยังไง ผมก็สู้ครับ”
       “ดี...ถ้าลูกตั้งใจและมั่นใจอย่างนั้น พ่อก็จะเขียนจดหมายส่งตัวลูกไปทำไร่ทำสวนกับคุณย่า”
       อาทิจงง
       “คุณย่า...คุณย่าไหนครับ”
       พูนทรัพย์รามือจากขนม เงยหน้าขึ้นมามองประวิทย์อย่างแปลกใจและหนักใจ นิตยากับภาณีทำหน้างงๆไม่ต่างจากอาทิจ ประวิทย์มีแววขื่นขมปนสำนึกผิดอยู่ในแววตา
     
       ดรุณีอ่านจดหมายให้ย่าแดงฟัง โดยมีแก้วนั่งเช็ดข้าวของอยู่ไม่ไกล แต่เงี่ยหูฟังตลอด
       “...สุดท้ายนี้ผมกราบขอโทษ ในความผิดร้ายแรงของผมที่ผ่านมา ผมหวังว่าคุณแม่จะให้อภัยผม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณแม่จะเมตตาอาทิจ และรับอาทิจเข้าทำงานที่สวนของคุณแม่นะครับ...พวกเราจะรอความเมตตาและรอฟัง ข่าวดีจากคุณแม่ครับ...ประวิทย์”
       ดรุณีครุ่นคิด
       “ประวิทย์...ประวิทย์ไหนคะคุณย่า ทำไมหนูไม่เคยได้ยินคุณย่าพูดถึงคุณเอ่อ...คุณลุงคนนี้มาก่อนเลยคะ”
       ย่าแดงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินถอนใจ
       “เขาเป็นลูกคนโตของย่า ย่าหวังจะพึ่งเขาให้ช่วยสานต่องานในไร่ แต่เขากลับทำให้ย่าเสียใจด้วยการหนีออกจากบ้าน แถมยังขโมยเงินที่ย่าเพิ่งได้จากการขายข้าวไปด้วย ตอนนั้นย่าจนแสนจน เงินนั่นย่าก็กะจะเอาไปจับจองที่นาไว้ให้เขาทำกินนั่นล่ะ”
       แก้วโพล่งขึ้นมาทันที
       “อ๋อ...คุณประวิทย์ ที่คุณย่าสั่งไม่ให้แก้วส่งข่าวไปบอกตอนคุณปู่เสียใช่มั้ยคะ”
       “ก็ในเมื่อเขาหนีไป แล้วไม่มีแก่ใจส่งข่าวกลับมา แล้วเราจำเป็นอะไรต้องติดต่อเขา ในเมื่อเขาคิดดีแล้วว่าจะไป ก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์กันให้มากความ”
       ดรุณีมองย่า
       “คุณย่าโกรธขนาดนั้นเลยหรือคะ”
       “ใช่...ตอนนั้นย่าทั้งแค้นใจทั้งเสียใจ เลยประกาศตัดขาดไม่ยอมให้เขาเข้าบ้าน จนคุณปู่ตายก็ไม่ยอมให้มาเผาผี”
     
       ดรุณีนั่งทำตาปริบๆ นานๆ ทีจะเห็นย่าหน้านิ่งเสียงแข็งแบบนี้ ขอขอบคุณจาก manager.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น