วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อ่านละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง 2012 ตอนที่ 1 วันที่ 21 มิ.ย. 55

ณ แปลงทดลองปลูกข้าวโพดขนาดใหญ่ที่ปากช่อง...อาทิตย์สาดแสงอ่อนๆ ไล้ยอดข้าวโพดที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมเหมือนคลื่นน้อยๆ โลดไล่กันไปในทะเลสีเขียว

นักเรียนเกษตรประมาณ 20 คน กำลังกระจายกันไปตามไร่ข้าวโพดที่กำลังออกฝัก ทุกคนขะมักเขม้นกับการเก็บข้อมูล จดรายงานการเจริญเติบโตของต้นข้าวโพด ต่างยังจดจำคำให้โอวาทของอธิการบดีในวันรับประกาศนียบัตรได้ขึ้นใจ

“อาจารย์ มีความยินดีกับนักเรียนเกษตรฯทุกคนที่จบการศึกษาในวันนี้ หลังจากที่บากบั่นพากเพียรกันมากว่า 5 ปี อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักเรียนทุกคน จะได้นำวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวมาเป็นเครื่องเตือนใจว่า...”

อาจารย์หยุดนิดหนึ่งก่อนอัญเชิญพระราชดำรัสว่า

“ปัญญา นั้นมีอยู่ 2 ลักษณะ คือปัญญาที่เกิดจากการเล่าเรียนจดจำอย่างหนึ่ง กับปัญญาที่เกิดจากการศึกษา สังเกตและพิจารณาจนรู้ชัดอย่างหนึ่ง นักเรียนเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาดีแล้ว จึงต้องสังเกตและศึกษาให้มาก ไม่มองข้ามแม้สิ่งเล็กน้อย เพราะแม้แต่ต้นหญ้าก็สามารถนำมาเทียบเคียงให้เป็นประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต ได้”

สุดท้ายอาจารย์อวยพรแก่นักเรียนที่เรียนจบว่า “ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิต และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรให้แก่ประเทศชาติสืบไป”

ระหว่าง นักเรียนกำลังเก็บข้อมูลกันนั้น อาจารย์เดินมาที่ข้างหลังนักเรียนคนหนึ่งถามหาอาทิจ นักเรียนสองสามคนตรงนั้นช่วยกันถามหา มองหาและร้องเรียก “อาทิจ...อาทิจ...อาจารย์เรียก”

ครู่เดียวต้นข้าวโพดก็ไหวยวบเปิดเป็นทางเพราะอาทิจแหวกออกมา เขารีบวิ่งเข้าไปหาอาจารย์ถามอย่างกระตือรือร้น

“อาจารย์มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”

“พรุ่ง นี้อาจารย์จะขึ้นไปสัมมนาที่พิพิธภัณฑ์โรงงานที่ฝาง เธอสนใจจะไปศึกษางานกับอาจารย์ไหม อาจารย์บอกเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่า อาจจะมีนักเรียนที่ได้ทุนเรียนดีขึ้นไปดูงานด้วย 3 คน หรือว่าจะกลับไปบ้านเลย”

“ไปสิครับ ผมอยากไป” อาทิจรีบบอกอย่างตื่นเต้นดีใจ

“ดีแล้ว ไปดูงานที่ในหลวงท่านทรงไว้ จะได้นำ ความรู้ไปใช้ให้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง”

“ครับ...ขอบคุณมากครับอาจารย์” อาทิจยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อาจารย์ยิ้มตบบ่าเขาเบา ก่อนเดินออกไป
อาทิจหันมาสบตากับเพื่อนๆพากันตะโกน “เย้ๆๆๆ” กระโดดโลดเต้น โยนสมุดรายงานในมือขึ้นฟ้ากันอย่างร่าเริง...

ooooooo

รุ่ง ขึ้น ที่หน้า “พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวง” ที่ฝาง อาทิจกับเพื่อนนักเรียนอีก 2 คน รวมทั้งนักท่องเที่ยวอีก 10 คน เดินตามเจ้าหน้าที่นำชมโครงการ เริ่มจากความหมายของตราสัญลักษณ์ของโรงงานและประวัติความเป็นมาของโรงงาน

อาทิจจดบันทึกอย่างสนใจมาก

ขณะนั้น มีรถกระบะขนส้มคันหนึ่งแล่นเข้ามาแบบกระตุกๆ พุ่งผ่านหลังอาทิจไปจอดส่งของที่ข้างโรงงาน

ทันที ที่รถจอด ดรุณี สาววัย 17 ท่าทางทะมัดทะแมง กระโดดลงจากฝั่งที่นั่งคนขับ หยิบกระเป๋าสะพายเก๋ๆแบบชาวเขาจะวิ่งไป แต่นึกอะไรได้วิ่งกลับมาที่รถร้องเรียก “ลุงเกร็ง...ลุงเกร็งงงง...”

ลุง เกร็งค่อยๆลืมตาขึ้นถามทั้งที่ยังนั่งเกร็งอยู่เพราะหวาดเสียวกับการขับรถ ของดรุณี ถอนใจโล่งอกเมื่อรู้ว่าถึงที่หมายรอดปลอดภัยแล้ว ดรุณีบอกลุงเกร็งให้ช่วยจัดเจ้าหน้าที่เอาส้มลง ตนจะไปชมพิพิธภัณฑ์หน่อย ว่าแล้ววิ่งตื๋อไปเลย

ooooooo

ดรุณีจ้ำอ้าวไปที่ลานกิจกรรมแต่ไม่เห็นใครแล้ว รีบเดินเข้าไปด้านใน เห็นเจ้าหน้าที่กำลังเชิญทุกคนไปชมอีกห้องหนึ่ง เธอรีบตามไป

เจ้า หน้าที่นำนักเรียนและนักท่องเที่ยวเข้าไปในห้องที่แสดงชีวิตชายขอบ เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนนั่ง อาทิจกับเพื่อนๆเลือกมานั่งที่แถวหน้าประสาคนรักเรียนใฝ่รู้ อาทิจนั่งกลางเพื่อนทั้งสองนั่งขนาบ

ดรุณีเดินเข้ามา พอดีอาทิจเอาปากกาออกมาเตรียมจดปรากฏว่าเขียนไม่ออก หันไปถามเพื่อนว่ามีปากกาอีกด้ามไหมขอยืมหน่อย เพื่อนควานหาปากกาในกระเป๋า ทำให้ปากกาตัวเองหล่นกลิ้งไปเลยลุกไปหยิบ

ดรุณีเห็นมีที่ว่างจึงเข้า ไปนั่งแทน อาทิจเหล่ๆเห็นปากกาในมือดรุณีนึกว่าเพื่อนส่งให้ยืม เอ่ยขอบใจแล้วหยิบปากกาไป พลางหันไปคุยกับเพื่อนอีกคน

เจ้าหน้าที่ปิดไฟในห้องเพื่อให้ทุกคนได้ชมวีดิทัศน์ เพื่อนคนนั้นที่ลุกไปหยิบปากกาเลยหาที่นั่งใหม่เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิคนอื่น

ดรุณี ดูสารคดีอย่างตั้งใจ จนจบไฟเปิดสว่าง เธอหันไปมองอาทิจที่เอาปากกาตนไป อาทิจรู้สึกมีคนมองอยู่จึงหันมายิ้มให้อย่างมีไมตรีไม่เฉลียวใจสักนิดว่าตน หยิบปากกาใครมา ดรุณีกำลังจะเอ่ยปากทวงปากกา ก็พอดีเจ้าหน้าที่เชิญไปพบกับคำตอบที่อยู่อีกห้องหนึ่ง

อาทิจลุกตามเจ้าหน้าที่ไป ดรุณีมองเคืองๆ บ่นตามหลัง “เอาของเขาไปแล้วยังจะมายิ้มให้อีก” พลางจ้ำตามไป
พอเข้าไปในห้องภาพเฉลย เจ้าหน้าที่เฉลยว่า “ผู้ที่มากับเฮลิคอปเตอร์นั้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

จาก นั้นเชิญไปยังห้องโรงงานชั่วคราว ระหว่างนั้นเพื่อนนักเรียนกระซิบบอกอาทิจว่าผู้หญิงคนนั้นแอบมองเขาบ่อยๆ อีกคนบอกว่าไม่ใช่แอบมองเท่านั้นยังแอบเดินตามด้วย

อึดใจเดียว ดรุณีก็ทนไม่ได้เดินเข้าใกล้อาทิจร้องบอก “เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป” เพื่อนทั้งสองนึกว่าอาทิจเจอดีแน่แล้วต่างบอกว่าจะไปรอข้างนอกแล้วเลี่ยงไป เหมือนเปิดโอกาสให้เพื่อน ดรุณีเดินเข้าไปหาอาทิจบอกเขาว่า

“ช่วยเอาปากกาที่นายถือวิสาสะดึงจากมือฉันไปคืนมาด้วย”

อาทิ จทำหน้าเหวอๆ พอนึกได้ก็รีบขอโทษและส่งปากกาคืนให้บอกว่านึกว่าของเพื่อนตน ดรุณีถามอย่างไม่ยอมให้แก้ตัวง่ายๆ ว่าตนนั่งอยู่ข้างเขาแล้วจะนึกว่าเป็นเพื่อนได้ยังไง อาทิจตอบอย่างไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดว่า

“คือ...ก็...เพื่อนผมเขานั่งตรงที่ที่คุณนั่งก่อน... เออ...เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกันครับ”

“ทีหลังจะทำอะไรก็หัดดูตาม้าตาเรือซะบ้าง” ว่าแล้วก็สะบัดพรืดไป อาทิจมองตาปรอยพึมพำอ่อยๆ

“แค่ปากกานี้เนี่ยนะ?...”

ooooooo

เมื่อเข้ามาในห้องโรงงานชั่วคราว เจ้าหน้าที่เล่าถึงระยะแรกของการทำอาหารกระป๋องในโรงงานชั่วคราวประกอบภาพสไลด์มัลติวิชั่น

ดรุณี สนใจการทำอาหารกระป๋อง จึงเดินแทรกเข้าไปยืนด้านหน้าสุดข้างๆเพื่อนอาทิจ เธอมีสมาธิในการศึกษามาก ก้มๆเงยๆจดๆดูๆภาพเงาและฟังเสียงบรรยาย

นัก ท่องเที่ยวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่าอยากเห็นเครื่องกระป๋องที่แปรรูป เจ้าหน้าที่จึงเชิญไปยังห้องที่มีจำหน่ายและให้ชิม นักท่องเที่ยวทยอยกันเดินตามเจ้าหน้าที่ไป

อาทิจศึกษาอย่างสนใจ ตามองที่ภาพปากพูดกับเพื่อนว่าเทคนิคน่าสนใจดี ดูแล้วเข้าใจง่าย เพื่อนคนหนึ่งทำเสียงอือเห็นด้วย แล้วเดินตามเจ้าหน้าที่ไปกับเพื่อนอีกคน อาทิจนึกว่าเพื่อนยังอยู่ เขาคุยไปเรื่อย ดรุณียืนอยู่ติดกันเหล่มองด่าด้วยสายตาทำนองว่า “อีตาบ้านี่อีกละ” แล้วจะผละไป

พลันเธอก็ชะงักกึกยืนตัวแข็งทื่อเมื่อถูกอาทิจรั้งไว้ แล้วเอามือโอบไหล่บอกว่าอย่าเพิ่งไป ชวนดูภาพที่ฉายต่อ ดรุณีกัดฟันกรอด อาทิจเห็นเงียบไปเลยหันมอง เขาผงะยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ตนโอบไหล่อยู่เป็นใคร เขารีบขอโทษบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ นึกว่าเพื่อน ว่าแล้วก็รีบจ้ำอ้าวไป ทั้งอายทั้งกลัวโดนด่า

ดรุณีโกรธจนอยากจะกรี๊ดให้ลั่นห้องแต่ไม่กล้า เลยได้แต่ยืนสูดลมหายใจลึกๆ ลึกๆ สะกดอารมณ์เต็มที่

ooooooo
ขอขอบคุณจาก thairath.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น