วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครรักเกิดในตลาดสด ตอนที่ 1 (ต่อ) วันที่ 26 ก.ค. 55

“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 1
     
       บ่ายวันหนึ่ง ท่ามกลางเปลวแดดร้อนเปรี้ยง มีกลุ่มควันกำลังพวยพุ่งจากโรงเก็บของหลังตลาด “ร่วมใจเกื้อ” มันเป็นกลุ่มควันหนาทึบ ผู้คนในตลาดหนีตายอลหม่านเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายไปหมด
     
       คิตตี้หรือสมคิด กะเทยร่างยักษ์แม่ค้าขายดอกไม้จิตตกวิ่งวุ่นอยู่ที่แผง เช่นเดียวกับแม่ค้าพ่อค้าคนอื่นๆ ทั่วทั้งตลาดก็กำลังแตกตื่น ร้องวี้ดวายไปมา ต่างไม่รู้จะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาทางไหนดี
     
       “อ๊าย อ๊าย!” เสียงคิตตี้ร้องโวยวาย พลางวิ่งไปวิ่งมา
       รูปร่างอวบอ้วนกลายเป็นการกีดขวางทางจราจรกลางตลาด... ขวางกระแสผู้คนที่กำลังวิ่งพุ่งมา แม่ค้าคนอื่นเห็นดังนั้นก็โวยวายร้องด่ากันจ้าละหวั่น แถมหมั่นไส้ปนรำคาญในท่าทางสะดีดสะดิ้งของคิตตี้
       “อีคิตตี้ จะยืนให้ไฟมันตามมาเผาตรงนี้รึไงฮะ จะไปไหนก็ไปซักทางซิ” แม่ค้าคนหนึ่งตะโกนด่า
       “อ๊าย อ๊าย!”
       คิตตี้ยังคงไม่ได้สติ ร้องวี้ดว้ายอยู่อย่างนั้น จนแม่ค้าคนหนึ่งต้องเอาถังน้ำแช่ดอกไม้ของร้านคิตตี้สาดใส่หัวเพื่อเรียกสติ คิตตี้หยุดร้องยืนนิ่ง แต่ทุกคนวิ่งจ้ำอ้าวต่อไปได้
     
       ขณะเดียวกันที่เขียงหมูเต๊กไฮ้ ซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของตลาด เต๊กไฮ้กำลังพยายามโกยแหลกหวังจะขนเนื้อหมูไปให้ได้มากที่สุดในขณะที่ลักษณ์ เมียคนไทยของเต๊กไฮ้พยายามฉุดดึงให้ผัวรีบหนีออกจากตลาด
       “พอได้แล้ว จะขนไปทำไมนักหนาเฮีย”
       “ไม่ได้ซิ หมูทั้งแผงนี่มันตั้งกี่ร้อยกี่พัน จะปล่อยไว้ให้ไฟมันเผาเงินเล่น รึไง”
       “ถ้าเห็นว่าหมูมีค่ากว่าชีวิตตัวเองก็ตามใจ ชั้นจะได้มีผัวใหม่”
       ลักษณ์ เมียของเต๊กไฮ้พูดจบแล้วเดินออกไปทันที
       “รออั๊วด้วยซิ อาลักษณ์”
       เต๊กไฮ้เลยต้องแบกเนื้อหมูเท่าที่แบกได้ตามลักษณ์ออกไปเช่นกัน
     
       เวลาไล่เลี่ยกันนั้นที่แผงปลา และอาหารทะเลของกิมฮวย แม่ค้าปากจัดมือวางอันดับหนึ่งและมีอิทธิพลคับตลาดร่วมใจเกื้อ แถมยังเป็นแม่จอมบงการของกิมลั้ง สาวหมวยหน้าตาน่ารัก กล่องดวงใจของกิมฮวย ที่กำลังพะวักพะวงอะไรบางอย่างทางด้านหลัง กิมฮวยรีบลากกิมลั้งไปแบบไม่ทันมอง
       “เร็วๆ เข้าซิอากิมลั้ง เรี่ยวแรงลื้อหายไปไหนหมดนะ”
       กิมลั้งที่ถูกดึงมาตามแรงกิมฮวย หันไปมองเห็นหญิงชราซึ่งกำลังวิ่งหนีไฟอยู่ด้านหลัง แต่เพราะรีบร้อนยายคนนั้นจึงล้มลงไป กิมลั้งสะบัดมือกิมฮวยสุดแรงแล้ววิ่งฝ่าฝูงคนกลับไปช่วย จนกิมฮวยหันไปด่า
       “ลื้อจะบ้ารึไงอากิมลั้ง”
       กิมลั้งยังคงกุลีกุจอประคองช่วยยายที่ล้มให้ลุกขึ้น
       “กลั้นใจลุกหน่อยนะยาย เดี๋ยวหนูพายายออกไปเองนะ”
       “อากิมลั้ง ลื้ออยากเป็นผีเฝ้าตลาดรึไงฮะ”
       กิมลั้งโวยวายทันที
       “แล้วม้าจะให้อั๊วทิ้งให้ยายนอนตายตรงนี้เหรอ”
       “แต่อีจะทำให้อั๊วกับลื้อตายตามไปด้วยเข้าใจมั้ย ญาติโยมก็ไม่ใช่ ปล่อยอีไว้ตรงนี้ล่ะ”
       กิมฮวยพูดจบรีบฉุดกิมลั้ง แต่ดูเหมือนลูกสาวจะขืนตัวไม่ยอมไป
       “ถ้าวันนี้คนที่ล้มเป็นม้า ม้าจะอยากให้คนอื่นช่วยมั้ย”
       กิมลั้งพูดใส่กิมฮวยจนอีกฝ่ายอึ้งไป แต่กลับโวยวายกลบเกลื่อน
       “โอ๊ย ก็ถ้าอยากจะช่วยอี ลื้อก็รีบๆ เข้าซิ”
       กิมฮวยเข้าไปช่วยกิมลั้งพยุงยายที่หนีไฟไหม้ในตลาดอย่างเสียมิได้
     
       เวลาเดียวกัน อีกฟากหนึ่ง ติ๋มเจ้าของแผงผัก ซึ่งท้องโตเดินโซซัดโซเซ เหงื่อเต็มหน้าทำท่าจะไม่ไหวแต่ยังไม่มีใครช่วยเธอร้องจนแทบจะลมจับ
       “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
       ทว่าไม่มีใครสนใจ และในจังหวะที่ติ๋มล้มลงนั้น ก็มีมือคู่หนึ่งข้ามาประคองไว้ทัน เต๋า ผู้เป็นสามีนั่นเองที่เข้ามารับร่างติ๋มไว้ด้วยอาการหน้าตาตื่น ติ๋มดีใจอุทานออกมา
       “พี่เต๋า!”
       ไม่ทันขาดคำติ๋มก็เป็นล้มล้มคาอ้อมกอดเต๋า จนอีกฝ่ายต้องรีบพยุงหนีไฟไหม้ออกไปอีกทาง
     
       ความโกลาหลแตกตื่นยังคงดำเนินต่อไป
       เวลานั้น พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ทั้งป้าพิณ แม่ค้าขายข้าวแกง พร้อมกับเขียวหวาน ลูกจ้างในร้าน คำมูล หนุ่มอีสานพ่อค้าขายส้มตำรถเข็น จะเด็ด ชายสูงวัยเจ้าของร้านชำ รวมทั้งชมพู่ น้อยหน่า เลื่อน และรักเร่ ล้วนแล้วแต่หนีไฟมารวมตัวกันอยู่หน้าตลาด ป้าพิณอุทานขึ้นอย่างเหนื่อยใจ
       “โอ๊ย มันเกิดขึ้นได้ยังไงเนี่ย ข้าอยู่ตลาดนี่มาร้อยวันพันปีไม่เคยจะมี เรื่องไฟฟืนไหม้ซักหน”
       เขียวหวานที่ยืนอยู่ข้างๆ เสริมขึ้นถึงชะตากรรมน่าเศร้าของตนด้วยเช่นกัน
       “ทำไมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเราอย่างนี้ก็ไม่รู้นะป้าพิณ ไอ้ห้างเวรี่แฮปปี้เพิ่งมาฉกลูกค้าตลาดเราไปไม่เท่าไหร่ ไฟยังตามมาไหม้อีก กะจะไม่ให้ พวกเรามีที่ทำมาหากินกันเลยรึยังไง”
       คำมูลที่ยืนอยู่ สบโอกาสรีบเข้าไปโอบเขียวหวานทำคะแนนทันที
       “โถๆ ถ้าเขียวหวานหมดที่ทำกิน ก็มาเข็นรถ ขายปาปาย่าป๊อกป๊อกกับพี่คำมูลซิจ๊ะ คัมม่อน”
       ป้าพิณเห็นเข้ารีบเข้าไปดึงคำมูลออกมาจากเขียวหวาน
       “เฮ้ย นี่เองมาสอยลูกจ้างข้าต่อหน้าต่อตาอย่างนี้เลยไอ้ชิท”
       “ชิท ใครกันป้า”
       คำมูลสงสัย
       “ก็เอ็งไงไอ้คำมูล มูลแปลว่าอึ อึกับ shit ก็คำเดียวกัน เห็นขยันพูดภาษาปะกิตนักไม่ใช่เหรอ”
       ระหว่างนั้นจะเด็ดเดินเข้ามาพอดี
       “เอ้าๆ แล้วนี่มีใครเรียกรถดับเพลิงรึยังนี่”
       “แล้วน้าจะเด็ดเรียกรึยังล่ะ”
       น้อยหน่าตะโกนถามกลับมา
       “ก็ข้าคิดว่าคนอื่นเรียกแล้วก็เลยไม่ได้เรียก”
       “ก็คิดกันซะอย่างนี้ สรุปว่าไม่มีใครเรียกรถดับเพลิงซักคน”
       น้อยหน่าโพล่งขึ้น ส่วนเลื่อนกับรักเร่ รีบช่วยกันเข็นรถบรรทุกน้ำกันผ่านเข้ามาด้วยอาการรีบร้อน
       “เอ้า แล้วมายืนนิ่งกันอยู่ทำไมล่ะเนี่ย ทำไมไม่ไปช่วยกันหาน้ำท่ามาดับไฟ จะปล่อยให้ไฟมันไหม้ทั้งตลาดก่อนรึไงฮะ”
       “โอ๊ย น้ำที่พวกเอ็งขนๆมันจะดับไฟได้ซักเท่าไหร่กันหะไอ้เลื่อน ไอ้รักเร่”
       จะเด็ดแอบดูถูกน้ำที่เลื่อนและรักเร่เข็นเข้ามา ก่อนที่รักเร่จะสวนขึ้น
       “ถึงมันจะน้อยยังไง ก็ยังมากกว่าน้ำใจคนแถวนี้ละกัน รีบไปกันเถอะไอ้เลื่อน เสียเวลา”
       เลื่อน เด็กขายของ จอมปากเก่งประจำตลาดกับรักเร่ช่วยกันเข็นน้ำไป ปล่อยให้ที่เหลือยืนหน้าเจื่อนทำอะไรไม่ถูกกันต่อไป
     
       ต่อจากนั้น เลื่อนกับรักเร่ที่กำลังเข็นรถบรรทุกน้ำมุ่งหน้าไปที่จุดควันดำโขมง โรงเก็บของใสตลาด ทั้งคู่ช่วยกันแบกน้ำกระหน่ำสาดไปที่กองเพลิง ครู่หนึ่งบะหมี่กับเกี๊ยวร้องโวยวายขึ้น
       “เฮ้ย!”
       “อะไรกันเนี่ย”
       บะหมี่ตะโกนเสียงดังขึ้น
       “เฮ้ย หยุด!”
       ทำเอาเลื่อนกับรักเร่หยุดชะงัก หันมองหน้ากันด้วยความงง
       “อะไรวะ”
       บะหมี่กับเกี๊ยวเนื้อตัวเปียกปอนรีบเดินออกมาจากกลุ่มควันดำหนา
       “ไอ้บะหมี่....”
       เลื่อนเอ่ยเสียงดัง.
       “ไอ้เกี๊ยว...”
       รักเร่อุทานขึ้น
       “เอ็งสองคนไปทำอะไรในนั้นวะ”
       เลื่อนถามขึ้น บะหมี่รีบตอบกลับ
       “ข้าซิต้องถามว่าพวกเอ็งทำอะไร อยู่ๆเอาน้ำมาสาดพวกข้าทำไมเนี่ย”
       “ก็พวกข้ามาดับไฟ เอ็งก็เห็นนี่ว่าไฟมันไหม้ควันโขมงออกอย่างนี้”
       รักเร่ถามขึ้น
       “ไอ้โง่ ใครบอกว่าไฟไหม้ ข้ากับไอ้บะหมี่กำลังเผาข้าวของที่พวก ชาวบ้านเอาไปสะเดาะเคราะห์ไว้กับอาจารย์จะเด็ดต่างหาก”
       เลื่อนได้ยินแล้วถึงกับเกิดอารมณ์เซ็ง
       “เผาของสะเดาะเคราะห์เหรอ ข้านึกว่าจะเผาตลาด นี่เอ็งคิดจะบอกใครบ้างมั้ย ตอนนี้คนในตลาดหนีตายกันใหญ่แล้วเพราะคิดว่าไฟไหม้”
       “วันนี้ถ้ามีคนหัวใจวายหรือถูกเหยียบตาย ก็ให้รู้ไว้ว่าเป็นเพราะเอ็งสองคน”
       รักเร่รีบเสริมเลื่อน ในขณะที่บะหมี่กับเกี๊ยวมองหน้าจ๋อยไปทันที
     
       เวลาต่อจากนั้นไม่นาน นอกตลาด เลื่อนกับรักเร่เข็นรถออกมาอย่างอารมณ์เสีย
       “ไอ้เราก็ตกใจแทบแย่ ที่แท้ก็ฝีมือไอ้หมี่เกี๊ยวนี่เอง” รักเร่ว่า
       “ความจริงข้าว่าเกิดเรื่องแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ” เลื่อนกล่าว ทำเอารักเร่มองหน้า
       “พูดยังไงของเอ็งวะ ชีวิตมันเรียบไปรึไง ถึงชอบเรื่องอกสั่นขวัญแขวน”
       “ไม่ใช่เว้ย เอ็งไม่เห็นเหรอ พอเกิดเรื่องคับขันแบบนี้ขึ้น มันก็ทำให้เราเห็นธาตุแท้ของคนในตลาดมากขึ้นด้วย”
       “เออว่ะ ถ้าไฟไหม้จริงป่านนี้มันคงลามไปทั้งตลาดแล้ว เพราะทุกคนเอาแต่คิดถึงตัวเอง”
     
       เลื่อนกับรักเร่เข็นรถมาเรื่อยๆ จนพบกับ เต๋าที่กำลังพยุงติ๋ไปด้วยอาการอิหลักอิเหลื่อ
       “อดทนอีกนิดเดียวนะติ๋ม จะถึงถนนใหญ่แล้ว”
       เต๋าปลอบใจติ๋ม เลื่อนกับรักเร่รีบมุ่งเข้าไปหาทั้งสองคนในทันที
       “พี่เต๋า พี่ติ๋ม ไม่ต้องหนีไฟแล้ว เดี๋ยวลูกก็ไหลพอดี”
       เต๋ายังทำหน้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
       “ทำไมวะ”
     
       บ่ายวันเดียวกัน เต๋าดูแลติ๋มอย่างใกล้ชิด เช็ดหน้าเช็ดตาให้เมื่อกลับมาถึงบ้าน
       “พอแล้วล่ะจ้ะพี่ ชั้นดีขึ้นแล้ว”
       ติ๋มบอกเต๋าอย่างเห็นใจสามีที่ดูแลอย่างดี
       “วันนี้ถ้าติ๋มเป็นอะไรไปนะ พี่ตามไปฆ่าไอ้หมี่เกี๊ยวถึงที่เลยคอยดู”
       “ดีพี่ พี่จัดการไอ้บะหมี่ ชั้นฆ่าไอ้เกี๊ยวเอง”
       “เอ้าติ๋ม ไม่ห้ามพี่หน่อยเหรอ”
       “ก็มันน่าโมโหมั้ยล่ะ ถ้าชั้นคลอดก่อนกำหนดขึ้นมาจะว่ายังไง แล้วคนในตลาดเราก็จริงๆ ไม่มีน้ำใจช่วยคนท้องกันเลย”
       “นั่นซิ ทำไมถึงได้ใจดำกันขนาดนี้ โชคดีนะที่วันนี้เฮียปิดอู่ครึ่งวัน พี่เลยแวะไปหาติ๋ม ถ้าพี่เข้าไปรับติ๋มไม่ทันตอนกำลังล้ม ไม่อยากคิดเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
       “ดีแล้วล่ะพี่ที่เกิดเรื่อง ต่อไปนี้เวลาไปขายของชั้นจะได้ระวังตัวให้มากขึ้น เพราะรู้แล้วว่าคงจะพึ่งใครไม่ได้จริงๆ”
       ติ๋มบอกสามีราวกับทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนเต๋ากำลังคิดอะไรบางอย่าง
       “ไม่ต้องแล้วล่ะติ๋ม พี่จะไม่ยอมให้ติ๋มไปขายผักอีกแล้วจนกว่าจะคลอดลูก”
       “ไม่ได้หรอกพี่ แล้วมันจะพอกินได้ยังไง แค่จ่ายค่าเช่าบ้านเงินเดือน ช่างของพี่มันก็แทบจะหมดแล้ว”
       “พี่ให้ติ๋มหยุดพัก แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าเราจะต้องหยุดขายผักไปด้วย”
       ติ๋มยังไม่เข้าใจที่เต๋าพูด
       “ก็ถ้าชั้นไม่ขาย แล้วใครจะขายล่ะ”
       “ไอ้ต๋องไง”
     
       บ่ายวันต่อมา ที่สมุทรสงคราม บรรยากาศท้องนาท้องไร่เสียงขลุ่ยกับชายหนุ่มที่เป่าบนหลังควาย ลีลาพลิ้วไหว ราวกับผู้ชำนาญการเป่าขลุ่ยแต่หาใช่ต๋อง หนุ่มหล่อที่เต็มไปด้วยจินตนาการ รักศิลปะ รักเสียงดนตรีที่เป็นคนเป่า แต่กลายเป็นเสียงขลุ่ยจากทรานซิสเตอร์ ต๋องนั่งเป่าก้านมะละกอฟองสบู่กระจัดกระจายบวกกับความสวยงามตามธรรมชาติราว กับมิวสิควิดีโอลูกทุ่ง อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ โดยมีแกละเด็กซี้จอมซน กำลังย่องมาช้าๆแล้วใช้หนังสติ๊กยิงจู่โจมต๋องจากทางด้านหลังหลายลูกติดต่อ กันอย่างสนุกสนาน
       “โอ๊ย โอ๊ย!”
       ต๋องหันหลังกลับมาก็เห็นแกละที่กำลังเล็งลูกดินลูกต่อไป ก่อนที่เขาจะตะโกนใส่แกละ
       “ไอ้แกละ ไอ้เด็กเว....(ร)”
       ต๋องยังพูดไม่ทันจบคำดี ลูกดินถูกดีดเข้าไปค้างอยู่ในปาก ต๋องถุยลูกดินออกจากแล้วกระโดดจากหลังควายมายืนจังก้า ชี้หน้าแกละอย่างเอาเป็นเอาตาย
       “ตายแน่มึง”
       ต๋องไม่เท่าทันแกละเสียแล้ว เจอยิงเข้าที่กลางเป้าจนลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น ทำเอาแกละหัวเราะชอบใจ
       “สูญพันธุ์บ้าวันนี้ล่ะวะพี่ต๋อง”
       ต๋องพยายามลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาแกละ แกละวิ่งแจ้นแถมหันมาเยาะเย้ยพร้อมส่ายก้นให้
       “จ้างก็จับไม่ทัน จ้างก็จับไม่ทัน”
       “ถ้าข้าจับได้ วันนี้เอ็งได้เปลี่ยนชื่อแน่ไอ้แกละ จะจับกร้อนผมให้เป็นไอ้โกร๋นเลยมึง”
       แกละทำเป็นแกล้งกลัวเสียงสั่น ล้อเลียนต๋อง
       “อุ๊ย!กลัวจัง”
       “เฮ้ย!”
       ต๋องเร่งความเร็วไปหาแกละอย่างไม่ลดละแต่ก็ไม่ทันความเร็วของอีกฝ่ายตามเคย
     
       เวลาต่อจากนั้น ต๋องไล่วิ่งจับแกละมาถึงใต้ถุนบ้าน ทั้งสองหยุดดูเชิง ซึ่งต๋องยิ้มอย่างเป็นต่อ
       “เสร็จล่ะมึงคราวนี้ เสร็จล่ะมึง”
       ต๋องก็พุ่งไปหาแกละ แกละวิ่งหัวซุกหัวซุนจนสะดุดล้ม แล้วต๋องก็ก้าวมายืนคร่อมแกละไว้ ต๋องแกล้งหัวเราะใส่แกละคล้ายแบบเดียวกันกับผู้ร้ายในหนังไทยสมัยก่อน
       “ฮ่าๆ”
       ต๋องเอื้อมมือจะไปจับแกละแต่มีมือมือหนึ่งยื่นเข้ามาจับมือต๋อง ต๋องชะงักเงยหน้าไปจึงเห็นว่าเป็นกล้าผู้เป็นพ่อ ซึ่งมีแม่อย่างแก้วยืนอยู่ข้างหลัง
       “พ่อ”
       แกละรีบลุกขึ้นยืนอย่างได้ที หัวเราะด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าอย่างเยาะเย้ย
       “ฮ่าๆ หัวเราะทีหลัง มันดังกว่าแบบนี้นี่เอง”
       ต๋องทำท่าจะเตะแกละ แต่อีกฝ่ายรีบวิ่งหนี
       “หยุดนะไอ้ต๋อง ไม่อายบ้างรึไงวะรังแกเด็ก”
       กล้าดุลูกชาย
       “มันต่างหากที่รังแกชั้น”
       “ก็ใช่ไง เอ็งรังแกมัน”
       ต๋องเริ่มหงุดหงิด เพราะพ่อหูไม่ค่อยได้ยินได้ยินความเป็นอีกอย่าง
       “ไม่ใช่ ชั้นบอกว่าไอ้แกละมันรังแกชั้นก่อน”
       “ก็ถ้าไม่ใช้วิธีนี้แล้วเอ็งจะยอมกลับบ้านมาง่ายๆมั้ยล่ะ”
       “อ้อ ที่แท้ก็เป็นแผนเรียกชั้นกลับเข้าบ้านนี่เอง บอกกันดีๆไม่เป็นหรือไงพ่อ”
       กล้าได้ยินแล้วของขึ้น
       “อะไรนะ เอ็งไม่เห็นว่าข้าเป็นพ่อ”
       “โอ๊ย ชั้นบอกว่าจะเรียกกลับบ้านก็บอกกันดีๆ พ่อไม่เห็นต้องส่งเด็กไปทำร้ายชั้นเลย”
       ต๋องตะโกนใส่เพราะรู้ว่าพ่อไม่ได้ยิน
       “กว่าข้าจะเรียกเอ็งกลับมาได้แต่ละทีนี่มันยากแค่ไหนรู้มั้ยไอ้ต๋อง วันๆไม่รู้ทำอะไรนัก หายหัวไปตั้งแต่เช้าจดค่ำ หรือเอ็งแอบไปมีเมียไว้ที่ไหนฮะ”
       “อย่าเอาชั้นไปเทียบกับตัวเองน่ะพ่อ ถ้าชั้นจะมีเมียซักคนไม่เที่ยวแอบไป
       ซุกไปซ่อนไว้ตามเถียงนาเหมือนพ่อหรอก”
       ต๋องถึงพ่อจนเกือบโดนขันฟาดหัว ต๋องรีบไปหลบหลังแก้วผู้เป็นแม่อย่างออดอ้อน
       “แม่ แม่จ๋า แม่ดูซิ พ่อลงไม้ลงมือกับต๋อง”
       แก้วกอดต๋องอย่างปลอบโยนเอาอกเอาใจ
       “ โถๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมา เต๋าลูกแม่”
       ต๋องคลายตัวเองจากกอดของแม่อย่างเสียอารมณ์เมื่อได้ยินแม่เรียกชื่อตัวเองผิด
       “ต๋องแม่ ไม่ใช่เต๋า โอ๊ย มีพ่อก็หูหนวก มีแม่ก็อัลไซเมอร์”
       “ชิชะไอ้ต๋อง แต่ถ้าไม่มีข้ากับแม่เอ็ง เอ็งก็ไม่มีวันได้ชิงหมามาเกิดแบบนี้หรอกเว้ย”
       กล้าได้ยินเต็มสองหูขึ้นมาทันที
       “ทีอย่างงี้ล่ะหูดีเชียวนะ แล้วตกลงเรียกชั้นมาทำไมเนี่ย”
       ต๋องรีบถามถึงธุระที่พ่อและแม่กำลังจะเอ่ยขึ้น
     
       ต่อจากนั้น กล้าและแก้วเล่าเรื่องเต๋าให้ฟัง ต๋องถึงกับโวยวาย
       “ฮะ! พี่เต๋าจะให้ชั้นไปขายผักแทนพี่ติ๋มเนี่ยนะ ชั้นมีธุระต้องทำที่นี่อีก
       ตั้งเยอะ ปิดเทอมแค่ไม่กี่เดือนเอง”
       “งั้นบอกมาซิว่าธุระบ้าบอของเอ็งคืออะไรถึงต้องขี่นังสีดาไปลุยสวน ลุยนา ทั้งวี่ทั้งวัน แต่ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ใครเห็นเค้าก็หาว่าเอ็งบ้ากันทั้งนั้น” กล้าย้อนขึ้น
       “บอกไป พ่อกับชาวบ้านแถวนี้ไม่มีทางเข้าใจไอ้ที่ชั้นพยายามจะทำหรอก” ต๋องอธิบาย
       “ก็แล้วใครจะไปเข้าใจคนพิเรนทร์ยังเอ็งล่ะ วันๆคิดแต่เรื่องแผลงๆ ทำอะไรแต่ละอย่างผ่าเหล่าผ่ากอเหมือนไม่ใช่ลูกข้า ว่าไปแล้วหน้าตาเอ็งก็ไม่เหมือนข้าเท่าไหร่ ตกลงไอ้ต๋องนี่แก
       ท้องกับชั้นรึเปล่าฮะ แม่แก้ว”
       กล้าพูดพลางหันไปทางแก้ว แต่อีกฝ่ายดันตอบกลับมาทันที
       “ เอ่อ ชั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันน่ะพ่อกล้า”
       “อะไรนะแม่แก้ว”
       กล้าย้อนถามกลับด้วยความงง
       “จะเอาอะไรกับคนความจำเสื่อมละพ่อ เอาเป็นว่าพ่อก็บอกพี่เต๋าแล้วกันว่าชั้นไม่ว่าง”
       “ไอ้ต๋อง นี่ธุระของเอ็งมันสำคัญกว่าพี่น้องอีกเหรอ”
       “ที่ชั้นจะทำน่ะไม่ใช่เพื่อตัวชั้นนะ แต่มันจะเป็นประโยชน์กับทุกคน”
       “ไม่จริงหรอก เอ็งทำทุกอย่างเพื่อตัวเองก็ได้ เอ็งอยากเห็นพี่สะใภ้เอ็ง ทนขายของจนแท้งลูกก็ตามใจ แล้วเอ็งก็จะกลายเป็นฆาตกรฆ่าหลานในไส้ ไอ้คนใจร้าย ใจดำ กรรมต้องสนองเอ็งเข้าซักวัน ถ้าเอ็งมีเมีย เมียก็จะมีชู้ ถ้ามีลูก ลูกก็จะปัญญาอ่อน”
       “พอได้แล้วพ่อ จะให้ทำอะไรก็สั่งมาเลยมา”
       ต๋องยอมใจอ่อน กล้าแอบหันไปอมยิ้มกับแก้ว แก้วยิ้มตอบเข้าใจไปอีกอย่าง แล้วยื่นมือแอบไปสะกิดกล้าด้วยความอายในทำนองชู้สาว กล้าเห็นแล้วงงที่เมียเข้าใจผิดไปคนละเรื่อง
     
       บ่ายวันใหม่ ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ เต๋าซึ่งมีเป็นพี่ชายพาต๋องเข้าไปดูแผงในตลาดเรียบร้อยแล้วเดินออกมาหยุดที่ กองเข่งผักที่วางเรียงรายอยู่ด้านหน้าทางเข้าตลาด
       “เดี๋ยวเอ็งก็เอาผักพวกนี้ไปวางเรียงบนแผงตามที่ข้าบอกเมื่อไว้กี้”
       “พี่เต๋า ชั้นต้องเรียงผักตามที่พี่บอกเด๊ะๆขนาดนั้นเลยเหรอ”
       เต๋าชักสีหน้าก่อนตอบ
       “มีปัญหาอะไรวะ แค่จัดผักนี่ทำไมต้องพลิกต้องแพลง ต้องครีเอทีฟ เดี๋ยวข้าจะถีบเอ็งให้”
       เต๋าอ้าขาจะเตะน้องชายส่วนต๋องรีบหลบ
       “ก็ได้ๆ จัดไปตามที่พี่บอก”
       เต๋ามองนาฬิกาหลังสั่งงานต๋องเสร็จ
       “เข้าใจก็ดี งั้นข้าไปทำงานแล้ว เดี๋ยวสาย”
       ต๋องยังรั้งแขนพี่ชายไว้
       “เฮ้ย เดี๋ยวซิพี่”
       “อะไรของเอ็งอีก”
       “ใจคอพี่จะไม่ช่วยกันแบกเข่งเข้าไปข้างในก่อนเหรอ มีแต่ของหนักๆทั้งนั้น ชั้นคนนะไม่ใช่ควาย”
       เต๋าเงื้อมือมาเขกกะโหลกต๋อง
       “เอ็งน่ะควายไม่ใช่คน อยู่กับนังสีดาเยอะจนโง่ เอ็งจะมายกของเองทำไมฮะ เค้าจ้างรถเข็นแถวนี้กันทั้งนั้น เฮ้ย”
       เต๋าเดินออกไปอย่างรำคาญใจ ปล่อยให้ต๋องยืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ในตลาดอย่างทำอะไรไม่ถูก
     
       เวลาเดียวกันในตลาดอีกมุม กิมฮวยกับเคี้ยง ผู้เป็นสามีช้างเท้าหลัง ยกลังปลาจากท้ายรถมาวางให้กิมฮวยที่ยืนอยู่เสร็จพอดี
       “เดี๋ยวอั๊วไปส่งของต่อนะ”
       เคี้ยงถามกิมฮวย อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
       “อ้อ วันนี้ถ้าเห็นควันอะไรก็ดูให้ดีๆล่ะ จะได้ไม่วิ่งเตลิดเปิดเปิงออกมาเหมือนเมื่อวานอีก”
       “ทำไมเฮียเคี้ยง จะให้อั๊วยืนรอจนแน่ใจ เกิดไฟมันไหม้ขึ้นมาจริงๆลื้อจะได้หาเมียใหม่ใช่มั้ย”
       กิมฮวยโวยวายตามเคย
       “พูดไปเรื่อย อั๊วไปแล้วดีกว่า”
       เคี้ยงพูดจบเดินออกมาทันที แต่กิมฮวยไม่วายขู่สามีส่งท้าย
       “ขับรถไปส่งปลาล่ะ ถ้าจับได้ว่าไปส่งน้องปลาน้องปูที่ไหนล่ะน่าดู”
       เคี้ยงส่ายหัว ปิดประตูรถแล้วขับออกไป
     
       บ่ายวันใหม่ หน้าทางเข้าตลาด ต๋องเห็นรถเข็นเลื่อนกำลังเข็นรถมาจึงกวักมือเรียกจะใช้บริการ แต่เลื่อนมาทางด้านเดียวกับกิมฮวยที่กำลังเดินเข้ามาพอดี จึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังกังวานตามประสาแม่ค้า
       “เอ้า อาเลื่อน มาขนของให้อั๊วหน่อย”
       “เอ่อ พี่ชายคนนั้นเค้าเรียกชั้นแล้วน่ะเจ๊”
       เลื่อนพยายามอธิบายว่าต๋องเรียกก่อน กิมฮวยหันหน้าไปที่ต๋องแต่ก็ไม่ยอมรับว่าตนเรียกทีหลัง
     
       “เรียกอะไร อั๊วไม่เห็นได้ยินใครเรียกชื่อลื้อนอกจากอั๊ว”
       “น้าจ๊ะ ถ้าจะเรียกใช้บริการแค่กวักมือเรียกน้องเค้าก็รู้แล้ว ไม่เห็นต้อง ตะโกนเรียกเลย”
       ต๋องรีบอธิบายกับกิมฮวยในขณะที่อีกฝ่ายเหมือนไม่รับฟัง
       “อั๊วไม่เห็นว่าลื้อกวักมือนี่ ช่วยไม่ได้ ยังไงอั๊วแก่กว่า อั๊วก็ต้องได้ไปก่อน ขนของขึ้นรถเลยไอ้เลื่อน”
       “เอ่อ...”
       เลื่อนอึดอัดใจ
       “เอ้า ได้ยังไงล่ะน้า นี่กรุงเทพนะไม่ใช้หนองหญ้าปล้องถึงจะได้ไม่ต้องเข้าคิว ใครมาก่อนก็ต้องได้ก่อน ไม่ใช่เกิดก่อนได้ก่อน”
       ต๋องไม่ยอมเช่นกัน ยืนเถียงกับกิมฮวย จนพ่อค้าแม่ค้าที่เดินไปมาเริ่มหยุดมองการสนทนาที่ทำท่าจะเผ็ดร้อน ที่สำคัญไม่เคยมีใครกล้าเถียงกิมฮวยมาก่อน
       “อั๊วจะเอาก่อนลื้อจะทำไม อั๊วอยู่ที่นี่มาตั้งเท่าไหร่ รู้มั้ย อั๊วเป็นใคร”
       “น้ายังไม่รู้ว่าน้าเป็นใคร แล้วชั้นจะรู้มั้ย”
       กิมฮวยโกรธท่าทียียวนของต๋อง
       “ไอ้... ไอ้....ไอ้....”
       กิมฮวยโกรธจนติดอ่าง ต๋องจึงรีบให้ข้อมูล
       “ต๋อง เป็นน้องพี่เต๋าสามีพี่ติ๋มที่กำลังท้องอยู่ ชั้นมาขายผักแทนพี่ติ๋ม ชั้นก็น่าจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกับคนในตลาด”
       ต๋องเถียงกลับเป็นชุด พ่อค้าแม่ค้าเริ่มมามุ่งดูกันมากขึ้น
       “งั้นก็กลับไปถามพี่สะใภ้ลื้อละกันว่าเจ๊กิมฮวยเป็นใคร” กิมฮวยเบ่งขึ้นมาทันที
       “อ๋อ ที่แท้ก็เจ๊กิมฮวยนี่เอง คนที่ขายปลาเค็มใช่มั้ย” ต๋องเอ่ยขึ้น จนเลื่อนต้องตัดบท
       “ไม่ใช่พี่ เจ๊เค้าขายพวกปลา พวกอาหารทะเลน่ะพี่”
       “อ้อ สับสนนิดหน่อย เคยได้ยินมาว่า น้ากิมฮวย ขายปลาแล้วก็เค็ม ก็เลยนึกว่าขายปลาเค็ม”
       “อั๊วจะขายอะไรก็ไม่ได้ไปหนักกบาลลื้อ ไอ้เลื่อน ขนของขึ้นรถลื้อเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้ายังอยากให้อั๊วใช้บริการต่อไป”
       เลื่อนยังนิ่งดูเกรงใจต๋อง กิมฮวยเลยแบกของขึ้นรถเอง
       ต๋องตบมือเสียงดังก่อนตะโกนขึ้นแบบไม่เกรงใจกิมฮวย
       “เอ้า พ่อแม่พี่น้อง เร่เข้ามาจ้ะเร่เข้ามา มาดูผู้ใหญ่รังแกเด็กเร็ว มาทีหลังแต่แซงคิวคนอื่นเฉย ไม่รู้ว่าเป็นพ่อแม่ใคร น่าอายแทนลูกหลานจริงจริ๊ง “
       กิมฮวยได้ยินถึงกับหยุดขนของ ร้องกรี๊ดลั่นตลาดด้วยความโกรธและอายในประโยคแทงใจ
       “อ๊าย!”
       พ่อค้าแม่ค้า ผู้คนที่รุมมองกันอยู่ตกใจกันใหญ่ คนที่อยู่ในเหตุการณ์รีบเมาท์ให้ฟังต่อทันทีเมื่อมีผู้กล้าต่อกรกับกิมฮวย
     
       เพียงไม่นาน ทั้งตลาดก็พูดกันถึงเรื่องต๋องเถียงกับกิมฮวยลั่นตลาด ชมพู่กับน้อยหน่า พนักงานในร้านเสริมสวย ฟังเรื่องราวมาจากร้านทำผม ที่ลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านต่างยืดคอฟังกันอย่างสนใจ ชมพู่ไปเมาท์เรื่องกิมฮวยให้ป้าพิณ เขียวหวาน และคำมูลที่ร้านข้าวแกงฟังต่อ โดยมีคนที่ร้านกินไปฟังไปอย่างสนใจ ไม่นานนักป้าพิณก็ไปเมาท์ให้คิตตี้ อาโก และลักษณ์ฟังที่ร้านกาแฟ ต่อกันเป็นทอดๆ เพราะไม่เคยมีใครกล้าโต้เถียงกับกิมฮวยมาก่อน
     
       เวลาต่อมา ที่แผงปลาของกิมฮวยเต๊กไฮ้ จะเด็ด และกิมฮวยมองต๋องที่กำลังจัดผักแล้วผิวปากอย่างอารมณ์ดี
       “ไอ้จ๋องกรอดนั่นน่ะนะที่ด่าเจ๊กิมฮวย”
       จะเด็ดเอ่ยขึ้น
       “ไอ้เวรนั่นน่ะล่ะ มันทำให้อั๊วอายจนแทบจะเอาปี๊บคลุมหัว”
       “มันกล้ามามากนะที่ทำแบบนี้ รู้จักเจ๊กิมฮวยน้อยไปซะแล้ว” เต๊กไฮ้ พ่อค้าเขียงหมูพูดอย่างรู้นิสัยกิมฮวยดี
       “แล้วมันจะได้รู้จักอั๊วมากกว่านี้”
     
       กิมฮวยคำรามในลำคอ
ขอขอบคุณจาก manager.co.th    

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น