วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 13 วันที่ 13 ก.ค. 55

 เย็นนั้น...โลงศพย่าแดงตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสวยงาม...แก้ว ตุ๊ และคนงานผู้หญิงหลายสิบคน ช่วยกันประดับโลงศพย่าแดงที่ตั้งอยู่บนตั่งด้วยดอกเก็ตถะวา ทุกคนทำงานไปเช็ดน้ำตาไป อาทิจเดินถือรูปถ่ายย่าแดงเข้ามาวางบนตั่งข้างโลงศพ บนตั่งมีถาดซึ่งวางของรักและของใช้ส่วนตัวของย่าแดง อันได้แก่ หนังสือเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวง ตะกร้าไหมพรมที่คุณย่าถักผ้าพันคอคาไว้ แว่นตา และอุปกรณ์การเกษตรเล็กๆ เช่นกรรไกรเล็มใบไม้ที่ถือติดตัวอยู่เสมอ
        
       ญาติๆและคนงานพากันจับกลุ่มร้องไห้กระจายอยู่บนสนามหญ้ากว้าง ไพฑูรย์นั่งร้องงอยู่กับต๊อด อึ่ง พัน เขาคร่ำครวญอย่างเสียใจ
       “ตอนมีชีวิตอยู่ ผมก็ไม่เคยทำให้คุณย่าวางมือเรื่องงานได้เลย ผมขอโทษ กลับมาให้ผมได้มีโอกาสแก้ตัวสักครั้ง ได้มั้ยครับคุณย่า”
       อึ่งร้องไห้ไป...ขนลุกซู่ไป
       “จะดีเหรอ”
       พันเสียงเครือ
       “ผมทำงานดีอยู่แล้ว คุณย่าคงไม่กลับมาให้ผมต้องแก้ตัวอะไรนะครับ”
       ต๊อดปรามเพื่อนเสียงแข็ง
       “จะมาร้องไห้เสียใจให้คุณย่าต้องเป็นกังวลทำไม เราต้องเข้มแข็งสิวะ” ต๊อดเสียงเริ่มเครือ “ท่านไปดีไปสบายแล้ว” ต๊อดมองโลงศพย่าแดงแล้วปล่อยโฮ “โธ่...คุณย่า ทำไมถึงได้จากพวกเราไปเร็วอย่างนี้”
       ไพฑูรย์ อึ่ง พัน หันมามองต๊อดทั้งอึ้งทั้งงงว่าจะเอายังไง...จะอารมณ์ไหน เลือกสักอารมณ์ แล้วทั้งสี่คนก็ต้องพากันอึ้งและกระเจิงไปตามๆกัน เมื่อ...วิไลลักษณ์วิ่งเซซังนำประเวทย์เข้ามา พร้อมกับถลาลงไปกองร้องห้ อยู่กับพื้นหน้าโลงศพ ปริ่มว่าจะขาดใจตายตามย่าแดงไปด้วย
       “โธ่...คุณแม่ไม่น่าเลย เมื่อวันก่อนยังกินข้าวด้วยกัน ยังคุยกันว่าจะยกที่ดินในเวียงให้วิไลอยู่แท้ๆ ไม่น่ามาด่วนจากไปเลย”
       อาทิจกับแก้วและทุกคนยกมือไหว้ประเวทย์และวิไลลักษณ์ ประเวทย์รับไหว้ทุกคน ก่อนจะหันมาถามแก้ว
       “คุณแม่เป็นอะไร ทำไมจากไปกะทันหันอย่างนี้”
       “ท่านไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แต่หลังๆมานี่ท่านคงจะเหนื่อยและล้าไปตามวัย เพราะท่านทำงานไม่มีวันหยุดมาตลอดน่ะค่ะ”
       “ไม่ได้ปวดหัวตัวร้อนอะไรเลยเหรอ”
       “ไม่ค่ะ ก่อนนอนท่านไหว้พระตามปกติ แถมยังอารมณ์ดีชวนแก้วคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วท่านก็ยิ้ม เหมือนท่านมีความสุขกับชีวิตน่ะค่ะ”
       “ขอบใจมากนะอาทิจที่จัดการดูแลงานทุกอย่างเป็นอย่างดี”
       วิไลลักษณ์แย้งขึ้น
       “แต่น่าจะไปจัดที่วัดใหญ่ๆในเมืองนะคะ คนจะได้มางานมากกว่านี้ จะได้สมเกียรติท่านด้วย ท่านมีลูกชายเป็นถึงผู้ว่านะคะ”
       ประเวทย์ขัดขึ้น
       “จัดที่นี่ล่ะเหมาะที่สุดแล้ว ท่านรักที่นี่ก็คงอยากอยู่อย่างสงบๆที่นี่”
       วิไลลักษณ์แอบค้อนประเวทย์นิดๆ ที่ไม่เออออด้วย
      
       อาทิจเดินปลีกตัวออกมาจากงาน ด้านหลังเป็นผู้คนที่เริ่มทยอยมางานหนาตาขึ้น วิไลลักษณ์มองหาอาทิจ เมื่อเห็นก็รีบจ้ำตามชายหนุ่มมาติดๆ
       “เดี๋ยวก่อนอาทิจ อามีเรื่องจะถาม คุณย่าสั่งเสียเรื่องพินัยกรรมอะไรบ้างรึเปล่า”
       “ไม่ทราบครับ ผมกับคุณย่าไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ส่วนใหญ่คุยกันเรื่องงานครับ”
       “คุณย่าคงไม่อยากให้เราเสียใจ”
       อาทิจงงๆ
       “เรื่องอะไรครับ”
       “ท่านเคยพูดว่าจะยกสมบัติให้ตาเว ยายวิแล้วก็ยายณีมากกว่าหลานคนอื่นๆเพราะอยู่ใกล้ชิดท่านมานาน อาทิจคงไม่เสียใจนะ”
       “ไม่ครับ”
       “อาทิจก็ยังทำงานอยู่ที่นี่ได้ ถึงแม้ว่าต่อไปคนที่จะขึ้นมาครอบครองที่นี่แทนคุณย่า
       ก็คือตาเวกับยายณี เพราะท่านเปรยกับอาหลายครั้งแล้วว่า อยากให้ตาเวกับยายณีแต่งงานกัน”
       อาทิจใจหายวาบ หูอื้อไปหมด
       “ไม่เสียใจใช่มั้ย”
       อาทิจเก็บอาการ
       “ไม่ครับ คุณเวก็พี่ชายผม ส่วนน้องณีก็น้องสาวคนหนึ่งของผม ถ้าเป็นความต้องการของคุณย่า มันก็เป็นเรื่องที่ผมต้องยินดีไม่ใช่เสียใจครับ คุณอามีอะไรอีกมั้ยครับ”
       “ไม่มีจ้ะ เห็นอาทิจเข้าใจอะไรง่ายๆอย่างนี้ อาก็สบายใจ”
       “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวไปรับพระมาสวดก่อนนะครับ”
       อาทิจเดินออกมา วิไลลักษณ์โทรศัพท์ตามเวทางค์กับวิยะดาทันที
       “มาถึงเชียงใหม่รึยังตาเวยายวิ ลูกหลานคนอื่นร้องไห้ตัดหน้าเราสองคนกันหมดแล้วนะ รีบมาไวไวเลย”
      
       ที่สนามบินเชียงใหม่....
       ดรุณีเดินออกมาจากห้องผู้โดยสารขาเข้า หญิงสาวยกมือไหว้ลุงเกร็งที่เดินเข้ามาหา
       “สวัสดีค่ะลุงเกร็ง นึกว่าพี่อาทิจจะมารับซะอีก”
       ลุงเกร็งหน้าเศร้า
       “คุณอาทิจงานยุ่งเหลือเกินครับคุณหนูณี”
       “ที่สวนคุณย่ามีอะไรรึเปล่าคะ ทำไมคุณย่าถึงเรียกตัวหนูกลับมาด่วนอย่างนี้ ดีนะที่วันนี้สอบเสร็จพอดีเลย ลุงเกร็งรู้มั้ยคะ”
       ลุงเกร็งน้ำตาพาลจะไหล
       “คุณหนูณีไปถามท่านเองเถอะครับ”
       “ท่าจะธุระสำคัญ ถ้างั้นเรารีบไปกันเถอะค่ะ”
       ดรุณีเดินจ้ำนำไป ในขณะที่ลุงเกร็งสงสารดรุณีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรจนต้องเช็ดน้ำตาป้อยๆ เดินตาม
      
       ค่ำนั้น...โลงศพคุณย่าตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสวยงาม ประเวทย์ วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดา ยืนไหว้ส่งแขกกลุ่มสุดท้ายที่พากันทยอยกลับบ้าน อาทิจนำทีมคนงานช่วยกันเก็บกวาดสถานที่ จนแขกและญาติกลับกันหมด เวทางค์ร้อนใจ
       “ทำไมน้องณียังไม่มาถึงสักทีล่ะครับคุณแม่ ตาเกร็งออกไปรับตั้งนานแล้วนี่”
       วิยะดาแปลกใจ
       “นั่นสิคะ”
       ลุงเกร็งขับรถเข้ามาจอดบนเนินไกลๆ ทุกคนหันไปมอง ดรุณีก้าวลงจากรถ เดินลงเนินมา หญิงสาวเห็นทุกคนยืนมองมาที่เธอเป็นตาเดียวอยู่ไกลๆก็นึกแปลกใจว่า มีงานอะไรกัน ดรุณีเดินเข้ามาช้าๆทุกคนพากันมองจนหญิงสาวเดินเข้ามาในระยะที่พอมองเห็น ทุกอย่างได้ชัดขึ้น
       ดรุณีมองผ่านม่านดอกรัก ไปเห็นโลงศพตั้งตระหง่าน หญิงสาวไม่แน่ใจว่าโลงศพใคร จนกระทั่งเหลือบไปมองตั่งข้างๆโลง แล้วหัวใจดวงน้อยก็แทบหยุดเต้นเมื่อเห็น รูปย่าแดงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น
       ดรุณีวิ่งลงเนินเข้ามายืนที่หน้าโลงศพ มองดู รูปย่าที่ส่งยิ้มน้อยๆให้ราวกับจะทักทายเธอ หญิงสาวทรุดตัวลงกับพื้น แล้วร้องไห้โฮ น้ำตาเป็นเม็ดๆ เม็ดแล้วเม็ดเล่าร่วงลงอาบแก้ม ดรุณีรู้สึกเหมือนโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ หญิงสาวโหยไห้เหมือนลูกน้อยที่ถูกใครพรากแม่ออกไปจากอก
       “คุณย่า...คุณย่าของหนู...คุณย่า”
       อาทิจหดหู่ใจ น้ำตาคลอ รู้สึกสงสารดรุณีสุดๆ ชายหนุ่มรู้อยู่แก่ใจว่า ดรุณีรักย่ามากขนาดไหน แล้วโลกที่แตกเป็นเสี่ยงก็มืดมิด แสงสว่างหายไปจากโลกนี้พร้อมสติของดรุณีที่ดับวูบไป หญิงสาวหน้ามืดเป็นลมพับลงกับพื้น อาทิจวิ่งไปประคอง
       “น้องณี!”
       แก้วเรียกเสียงหลง
       “คุณณี!”
       วิไลลักษณ์หันไปสั่งลูก
       “ตาเว...มาอุ้มน้องขึ้นรถกลับบ้านก่อน เร็วเข้าลูก”
       เวทางค์เข้ามาเบียดอาทิจกระเด็นแล้วอุ้มดรุณีออกไป โดยที่ประเวทย์ วิไลลักษณ์ วิยะดาและแก้ว วิ่งตาม อาทิจและคนงานทุกคนได้แต่มองตามดรุณีไปด้วยความเป็นห่วง
      
       ประเวทย์ยืนนิ่งอยู่กลางห้องรับแขก สักครู่วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดา แก้ว เข้ามา ประเวทย์ถามทันที
       “ยายณีเป็นยังไงบ้าง”
       “นอนนิ่งเลยค่ะ น้องเป็นห่วงจริงๆ ว่าจะให้ตาเวนอนเฝ้ายายณีที่นี่ ดีมั้ยคะคุณพี่”
       เวทางค์ชะงักกลัวผี
       “จะดีเหรอครับคุณแม่”
       แก้วรีบบอก
       “แก้วกับจิ๋วแจ๋วดูแลคุณณีได้ค่ะ คุณๆกลับไปพักผ่อนเถอะนะคะ”
       ประเวทย์หันมาบอกภรรยา
       “ให้แก้วดูแลน่ะดีแล้ว เราอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้ จะเกะกะเป็นภาระเข้าให้อีก สักพักยายณีคงดีขึ้น เรากลับกันก่อนดีกว่า”
       เวทางค์กับวิยะดารีบโอเคเพราะกลัวผีด้วยกันทั้งคู่
       “ครับ / ค่ะ ไปค่ะคุณพ่อ”
       เวทางค์กับวิยะดารีบเดินตามประเวทย์ออกไป ทำให้วิไลลักษณ์ต้องเดินตามออกไปอย่างขัดใจ
      
       ประเวทย์ เวทางค์ วิยะดาเดินตามกันออกมา วิไลลักษณ์แจ้นตามหลังแล้วดึงมือลูกสองคนไว้ปล่อยให้ประเวทย์เดินไปก่อน
       “ตาเว...นี่มันเป็นโอกาสทองของลูกแล้วนะ ทำไมไม่อยู่เฝ้ายายณี คนกำลังเสียใจอย่างนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่เราจะโกยคะแนนได้มากที่สุดแล้ว”
       เวทางค์รีบโทษน้องสาว
       “ก็ยายวิไม่ค้างเป็นเพื่อนผมนี่”
       “ยายวิก็อีกคน ทำไมไม่ช่วยพี่เขา ไม่อยากเป็นเศรษฐีมีเงินไว้ช้อปเยอะๆรึไง”
       “วิกลัวจะช๊อกก่อนช้อปน่ะสิคะ เกิดคุณย่ามากุ๊กกุ๊กกู๋เราล่ะ”
       เวทางค์หวาดๆ
       “ถูก ท่านยิ่งชอบอบรมผมอยู่ด้วย เกิดตามมาอบรมคืนนี้ล่ะ นี่มันบ้านท่านนะครับ หรือคุณแม่จะอยู่ แต่ผมไม่เอาด้วยนะ ผมกลัว”
       “วิก็กลัวค่ะ...บรื้อ...ยิ่งอยู่นานยิ่งวังเวง ยิ่งวังเวงยิ่งขนลุก ไปดีกว่า”
       วิยะดาวิ่งห่อตัวหัวหดออกไป ตามติดด้วยเวทางค์ วิไลลักษณ์บ่นตามหลัง
       “ขวัญอ่อนกันจริ๊ง”
       ยังไม่ทันขาดคำ วิไลลักษณ์ก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงของหล่นจากทางด้านหลัง วิไลลักษณ์เหล่ซ้ายเหล่ขวา ก่อนจะวิ่งตาหูเหลือกออกไป เจ้าแมวเหมียวที่ทำแจกันทองเหลืองล้มฟาดพื้น มองตามวิไลลักษณ์ไปคิ้วขมวดไปอย่างงงๆ
      
       ขณะที่แก้วกำลังล็อคประตูกระจกหน้าบ้าน อาทิจเดินเข้ามา
       “คุณอาทิจ ที่งานเรียบร้อยดีมั้ยคะ”
       “เก็บกวาดทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วครับ มีคนงานอยู่เฝ้าคุณย่าหลายสิบคน ผมแวะมาดูน้องณี...เป็นยังไงบ้างครับ”
       “ฟื้นแล้วก็เป็นลมพับไปหลายตลบแล้วค่ะ น้าแก้วให้จิ๋วแจ๋วเฝ้าไว้ ปิดบ้านเสร็จก็ว่าจะขึ้นไปเช็ดตัวให้ เอ่อ...น้าแก้วรบกวนคุณอาทิจช่วยอยู่เฝ้าคุณณีสักประเดี๋ยวนะคะ อยากให้จิ๋วแจ๋วลงมาหายาแก้ไข้ให้คุณณีน่ะค่ะ”
       “ครับ”
       อาทิจเดินออกไป โดยมีแก้วมองตามอย่างห่อเหี่ยว
      
       อาทิจเคาะประตูแล้วค่อยๆเปิดเข้ามาในห้อง..ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวนอน นิ่ง จึงหันไปบอกกับจิ๋วแจ๋วที่กำลังทาน้ำมันหม่องและบีบนวดมือให้ดรุณีเพื่อให้ ผ่อนคลาย
       “จิ๋วแจ๋ว...น้าแก้วเรียกไปดูยาให้คุณณีแหนะ”
       “ค่ะ”
       จิ๋วแจ๋วออกไป อาทิจเดินเข้ามาหาดรุณีช้าๆ หญิงสาวค่อยๆขยับตัว กระสับกระส่าย พึมพำ
       “คุณย่าคะ หนูกลับมาแล้ว คุณย่ารอหนูก่อน อย่าเพิ่งไป อย่าจากหนูไปเลยนะคะ” ครุณีน้ำตารินทั้งๆที่ยังหลับตา “คุณย่า...อย่าทิ้งหนูไว้คนเดียวอย่างนี้ แล้วหนูจะอยู่กับใคร คุณย่าคะ...คุณย่า”
       ดรุณีเอื้อมมือไขว่คว้าหาย่ากลางอากาศ ราวกับเด็กน้อยที่ไขว่คว้าหาอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่ อาทิจโผเข้าไปคว้ามือเธอไว้ แล้วจับมือหญิงสาวอย่างทะนุถนอม
       “น้องณีไม่ได้อยู่คนเดียว น้องณียังมีพี่อีกคน”
       ดรุณีค่อยๆสงบลง หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีใครพูดอยู่ข้างๆ จึงพยายามจะลืมตาอันหนักอึ้งขึ้นมา ขณะเดียวกันนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น อาทิจจำต้องวางมือดรุณีไว้ข้างตัว ก่อนจะขยับลุกขึ้นมาจากเตียงเพราะรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แก้วถืออ่างน้ำอุ่นกับผ้าขนหนูผืนเล็กเข้ามา ในขณะที่จิ๋วแจ๋วถือถาดใส่ยาและน้ำตามมา แก้วถามอาทิจอย่างเป็นห่วงดรุณี
       “เป็นยังไงบ้างคะคุณอาทิจ”
       “เพ้อครับ เพิ่งเงียบไปเมื่อกี้นี้เอง”
       “โธ่...คุณณี กินยาแล้วเช็ดตัวลดไข้หน่อยนะคะ”
       ดรุณีลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวเห็นอาทิจ
       “พี่อาทิจ”
       “พักผ่อนมากๆนะน้องณี พี่ไปก่อนนะ”
       อาทิจเดินจากไป ในขณะที่แก้วประคองดรุณีให้นั่งกินยา ชายหนุ่มแอบหันมามองหญิงสาวอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะค่อยๆปิดประตู
      
       เย็นวันใหม่...ดรุณีนั่งมองรูปถ่ายย่าแดงบนตั่งอย่างอิดโรย อาทิจ ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พันกำลังจัดของถวายพระกันอยู่ ทุกคนหันไปมองดรุณี ต๊อดมองอย่างเห็นใจ
       “สงสารคุณณีจัง นั่งนิ่งมองรูปคุณย่าเป็นชั่วโมงๆแล้ว”
       อึ่งหันมาถามอาทิจ
       “ไปเรียกให้มานั่งนี่มั้ยนาย จะได้พ้นลมหน่อย ยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย”
       “ปล่อยเถอะ น้องณีคงอยากอยู่เงียบๆตามลำพังกับคุณย่า”
       ประเวทย์ วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดาเดินเข้ามา วิไลลักษณ์โผเข้ามากอดดรุณีตีหน้าเศร้า
       “โถ...ยายณีของป้า เป็นยังบ้างจ๊ะ ได้หลับได้นอนบ้างรึเปล่า คุณย่าท่านไปดีแล้ว อย่าคิดมากเลยนะ”
       ดรุณีน้ำตาคลอ ในที่สุดก็ไหลอาบแก้ม
       “ณีรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสายไปซะหมด ณียังเรียนไม่จบ ยังไม่ได้ทำงาน ยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณคุณย่า ยังไม่ได้กอดท่านบอกรักท่านเท่าที่ใจอยากจะบอก” หญิงสาวพูดไม่ออก ความเสียใจทะลักล้นขึ้นมาจุกบนยอดอก “แม้แต่หน้าท่านครั้งสุดท้าย ณีก็ไม่มีโอกาสได้เห็น”
       ดรุณีพูดถึงตรงนี้ก็ร้องไห้โฮขึ้นมาอีก วิไลลักษณ์พยักพเยิดให้เวทางค์เข้ามาปลอบ
       “ไม่ต้องร้องไห้นะจ๊ะน้องณี พี่อยู่นี่แล้ว”
       วิยะดาเข้าปลอบอีกคน
       “ตัดอกตัดใจบ้างเถอะนะณี ยังไงท่านก็ไปดีแล้ว”
      
       เวทางค์โอบดรุณีดูเหมือนดรุณีเอนหัวเข้าไปซบพิงกับอกเวทางค์ อาทิจมองภาพนั้นแล้วรู้สึกวูบวาบบอกไม่ถูก สุดท้ายก็เดินเลี่ยงออกมาเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน
ขอขอบคุณจาก manager.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น