วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครปิ่นอนงค์ ตอน 17 วันที่ 12 ก.ค. 55

 ใหญ่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่อีกมุมหนึ่งในบ้าน เพ็ญถือกาแฟมาให้ใหญ่ไหว้ขอบคุณแล้วรับแก้วกาแฟไป เพ็ญนั่งลงด้วย พลางเอ่ยถามเรื่องที่ใหญ่ตัดสินใจจะเข้ามอบตัวสู้คดี
      
       “คุณใหญ่คิดดีแล้วเหรอคะ เรื่องที่จะเข้ามอบตัว”
       “ครับน้าเพ็ญ ผมเป็นคนก่อเรื่องเอาไว้มากมาย ความจริงแล้ว ถ้าผมกลับไปปรากฏตัวต่อศาลตั้งแต่แรก ยืนยันว่าผมยังมีชีวิตอยู่ ให้ตำรวจสะสางเรื่องเก่าๆอย่างถูกต้อง ไม่ปลอมตัวเข้าไปก่อกวนในไร่เพราะความแค้น เรื่องมันก็คงไม่ลงเอยอย่างนี้”
       “แต่มันเสี่ยงนะคะ เรายังไม่มีทั้งพยานและหลักฐานที่จะไปสู้คดีความได้” เพ็ญทักท้วง
       “อย่างมากผมก็ติดคุก แต่ผมจะไม่ดื้อรั้นอีกต่อไปแล้ว ผมเสียใจที่ทำให้คนอื่นต้องมารับกรรมไปด้วย ป้าอุ่น พี่พงษ์ ต้องมาตาย อาปลอดก็ติดคุก นายหวินกับจอม พ่อลูกต้องมาตัดขาดกัน”
       เพ็ญยิ้มแตะแขนใหญ่ “เวลาผ่านไป คุณใหญ่ยิ่งโตขึ้น จำไว้นะคะ สิ่งที่ได้ฟังจากการสอน มันไม่ได้ผลเท่ากับสิ่งที่เราเรียนรู้เอง”
       ใหญ่ยิ้มรับ “ผมจะจำเอาไว้ครับ น้าเพ็ญ”
       สองคนสบตากัน
      
       ใหญ่ ปานเทพ และเพ็ญ ตัดสินใจให้ทัศนีย์มาพักบนเรือนหลังใหญ่ เย็นวันนั้นน้อยกับหวานเปิดประตูเดินนำทัศนีย์เข้าห้องมา ทัศนีย์กวาดสายตามองทั่วห้อง สีหน้าลิงโลดดีใจ ทัศนีย์กระโดดลงไปนอนเกลือกกลิ้งไปมาบนเตียง
       ทัศนีย์ผุดลุกนั่ง ครุ่นคิด ไม่วายรู้สึกหึงหวงใหญ่กับปิ่นอนงค์ “นี่ห้องชั้น แล้วปิ่นล่ะ นอนห้องไหน”
       น้อยบอกด้วยความหมั่นไส้ “อ้าว ... ก็นอนห้องสามีเค้าสิคะ ถามได้”
       ทัศนีย์เด้งตัวจะเดินไปที่ประตูน้อยกะหวานรีบขวาง
       “จะไปไหนคะ” หวานถาม
       “จะไปตามปิ่นมาอยู่ห้องนี้ด้วยกัน”
       หวานจุ๊ปาก จูงทัศนีย์ไปที่เตียง “โตแล้ว นอนคนเดียวได้ค่ะ”
       น้อยกะหวานรีบวิ่งออกประตูไป แล้วปิดประตูทันควัน ทัศนีย์ตามไปไม่ทัน พยายามเปิดประตู แต่เปิดไม่ออก ทัศนีย์ทุบประตู
       “เปิด ... เปิดประตูเดี๋ยวนี้อีพวกบ้า เปิดๆ”
       ประตูเปิดออก ปานเทพเดินเข้ามา หน้านิ่ง
       “คุณใหญ่กับปิ่นเค้าดีกันแล้ว เธออย่าไปทำให้มีปัญหาขึ้นมาอีกเลย ขอร้อง”
       ทัศนีย์ค้อนปานเทพปะหลับปะเหลือก แล้วกอดอกเดินไปที่หน้าต่าง เดินไปพูดไป
       “ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่จะไปชวนปิ่นมานอนที่ห้องนี้ด้วยกัน”
       ปานเทพขยับตามไปยืนข้างๆ มองทัศนีย์ ตาดุ “เธอนี่มันปากกับใจไม่ตรงกัน”
       ทัศนีย์หันเผชิญหน้าปานเทพอย่างท้าทาย “แล้วของนายมันตรงกันเหรอ”
       ทัศนีย์เอานิ้วชี้ที่ปากปานเทพ แล้วลากตรงลงมาที่อก จากนั้นก็ลากนิ้วไปที่หัวใจ
       “ก็ไม่เห็นจะตรงเหมือนกัน” ทัศนีย์เยาะหยัน
       ปานเทพปัดนิ้วทัศนีย์ หน้าดุ เสียงเข้ม “เถียงคำไม่ตกฟาก ดี ... ต้องดัดนิสัยให้เข็ด”
       ทัศนีย์ผวาหน้าเสีย “นะนาย...จะทำอะไรชั้น”
       “พรุ่งนี้ก็รู้”
       ปานเทพทิ้งท้าย แล้วเดินออกไปปิดประตูปัง ทัศนีย์มองตามหน้าเจื่อน
      
       ค่ำคืนนั้นที่ห้องนอนใหญ่ สองคนสวมชุดนอน ใหญ่ยืนพิงหน้าต่าง เหม่อมองออกไป สีหน้าเครียดเคร่ง ปิ่นอนงค์เดินเข้ามายิ้มน้อยๆ อย่างภูมิใจ
       “ปิ่นไม่เคยคิดว่าคุณใหญ่จะตัดสินใจมอบตัวสู้คดี”
       ใหญ่เหลียวมามอง “ก็เธอเป็นคนบอกเองนี่ ว่าบางทีคำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว เธอทำให้ชั้นเห็นทางออก ชั้นมันคนโง่ก็เลยเชื่อเธอ แต่ถ้าชั้นแพ้คดีติดคุก เธอต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
       “แล้วคุณใหญ่มั่นใจมั้ยคะ ว่าคุณใหญ่ไม่ได้ทำความผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาไม่ว่าคดีฆ่านายผา หรือ ฆ่าแม่อุ่น” ปิ่นอนงค์พูดให้กำลังใจชายผู้เป็นที่รัก
       ใหญ่หันมาจับไหล่ปิ่นอนงค์ มองด้วยตาแน่วนิ่ง “ชั้นไม่ได้ทำ ชั้นมั่นใจ ชั้นไม่ผิด”
       “คนไม่ผิดก็ต้องไม่แพ้คดี คุณใหญ่จะต้องไม่แพ้ค่ะ”
       ปิ่นอนงค์พูดพร้อมกับมองสบตาให้กำลังใจ ใหญ่ดึงปิ่นอนงค์เข้ามากอด รักผู้หญิงคนนี้เหลือแสน
       “เธอกินอะไรเข้าไปปิ่นอนงค์ จิตใจถึงได้เข้มแข็งขนาดนี้”
       ปิ่นอนงค์ดันตัวใหญ่ออกนิดๆ มองสบตากันพลางสัพยอก
       “เคยได้ยินแต่เค้าถามกันว่า กินอะไรถึงสวยไม่ใช่เหรอคะ
       ใหญ่ฉวยโอกาสขโมยจูบที่ปากเร็วๆ ทำสายตากรุ้มกริ่ม
       “ลองพูดจายอกย้อนชั้นอีกที จะโดนอีก”
       ปิ่นอนงค์รีบเม้มปากแน่น ส่ายหน้าไปมา ใหญ่ยิ้มชอบใจ
      
       วันต่อมา จวนเที่ยงแล้วทัศนีย์นุ่งชุดกระโปรงสุดสวย สวมหมวกปีกกว้างบังแดด สองมือหิ้วปิ่นโตเถาใหญ่หนักอึ้ง ทัศนีย์เดินเอียงไปเอียงมาเพราะพื้นมีแต่เศษหิน
       จู่ๆ มีเสียงระเบิดดังตูมๆ ทัศนีย์สะดุ้งร้องกรี๊ดสุดเสียง แล้วปล่อยปิ่นโตหลุดมือ สติแตก ปิดหูวิ่งหนีเตลิด
       “อ๊าย ช่วยด้วย ๆ”
       ปานเทพเข้ามาดึงไว้ “จะไปไหน”
       “ระเบิด ระเบิด ไม่เอาแล้ว ฉันจะกลับบ้าน”
       ทัศนีย์ตกใจสะบัดหลุด จะวิ่งไป ปานเทพพลั้งปากถาม “เธอมีบ้านเหรอ”
       ทัศนีย์ชะงัก หันมาน้ำตาคลอ ปานอบรมต่อ “ถ้าอยากมีที่อยู่ ที่กิน เธอก็ต้องทำงานแลกมา จะใช้ชีวิตลอยไปลอยมา ควงผู้ชายคนนั้นที คนนี้ที อย่างที่เคยทำไม่ได้”
       เพ็ญหิ้วปิ่นโตตรงมา หยุดมองสองคนที่ตั้งป้อม ทำท่าจะทะเลาะกัน
       “เรื่องอะไรจะทำงานให้โง่ สู้หาผู้ชายรวยๆเลี้ยงดูไม่ดีกว่าเหรอ” ทัศนีย์บอก
       “ก็ลองหาดู แถวนี้มีแต่คนงาน ถ้าให้เค้าจ่ายค่าตัวเธอสักร้อยสองร้อยก็น่าจะพอมี” ปานเทพแขวะ
       ทัศนีย์เต้นเร่าๆ เงื้อมือจะตบ ปานเทพจับข้อมือทัศนีย์ “คุณพูดดูถูกตัวเอง ไม่ใช่ผม”
       ทัศนีย์อัดอั้น ร้องไห้ออกมา เพ็ญเดินเข้ามาหา “พอเถอะนายปาน จะไปไหนก็ไป น้าจะสอนงานคุณนีเอง”
       ปานเทพปล่อยข้อมือทัศนีย์ เสียงระเบิดเหมืองหินดังอีกรอบ ทัศนีย์ตกใจร้องกรี๊ดโผเข้ากอดปานเทพอย่างลืมตัว ปานเทพอึ้ง
       พอได้สติทัศนีย์ผลักปานออกอย่างแรงเพราะโกรธอยู่ ปานเทพใจเต้นระทึกแต่ทำเป็นปากดี
       “อย่าคิดมายั่วผม ไม่สำเร็จหรอก”
       ปานเทพเดินหนี ทัศนีย์ด่าตามหลัง “ทุเรศ หน้าตาบ้านๆ ตัวเตี้ยๆ อย่างนาย อย่าหวังว่าจะได้เห็นขาอ่อนฉัน”
      
       เพ็ญส่ายหน้าระอาใจทั้งปานเทพและทัศนีย์
 ปานเทพเดินหงุดหงิดเข้ามาในบ้าน เจอกับใหญ่ที่สะพายกระเป๋าเตรียมออกจากบ้านพอดี ปานเทพชี้หน้าถามใหญ่
      
       “เฮ้ย นั่นแกจะไปไหน”
       “ก็บอกแล้ว ชั้นจะไปมอบตัวสู้คดีกับตำรวจ ชั้นไม่อยากรอเวลาอีกแล้ว ใจมันกังวลยังไงบอกไม่ถูก เป็นห่วงอาปลอดด้วย”
       ปานเทพรีบดึงใหญ่ไปนั่ง “ฟังชั้นก่อน แกจะไปสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างนี้ไม่ได้ ชั้นต้องปรึกษากับอาจารย์ก่อน ไหนจะต้องนัดหมายกับตำรวจอีก ใจเย็นๆ สิวะ มันต้องทำตามขั้นตอน”
       สองหนุ่มสบตากันเครียด
      
       ปานเทพกับใหญ่พาตัวเองมาอยู่ที่สำนักงานอาจารย์ทนายในเวลาต่อมา และนั่งอยู่ตรงหน้าอาจารย์ที่ดูเครียดจัด
       “ถึงคุณใหญ่จะมอบตัวตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ศาลท่านประทับรับฟ้องนายปลอดถูกส่งไปฝากขังที่เรือนจำแล้ว”
       “แต่คุณใหญ่จะให้การเป็นประโยชน์กับพ่อผมนะครับ” ปานเทพท้วง
       “มันสายไปแล้ว ปานเทพ” อาจารย์ว่าเสียงเคร่ง
       สามคนสบตากันเครียดๆ
      
       ปลอดถูกยื่นฟ้อง และนำตัวไปขังที่เรือนจำแห่งหนึ่ง ปานเทพมาเยี่ยม และอยู่ในห้องพบญาติในเรือนจำ ปานเทพกับปลอดนั่งที่โต๊ะคนละฝั่งซึ่งมีกระจกกั้น สองพ่อลูกคุยกันผ่านโทรศัพท์ มีเจ้าหน้าที่ยืนคุมฝั่งปลอด
       “คุณใหญ่กำลังจะมามอบตัวสู้คดี ความจริงกำลังจะเปิดเผยทุกอย่าง พ่อไปให้การสารภาพผิดทำไม” ปานเทพบอกพ่อ
       ปลอดพูดดังๆ ตั้งใจ และจงใจให้เจ้าหน้าที่ได้ยิน
       “แกไม่ต้องมาให้ชั้นกลับคำให้การ ชั้นพูดความจริงไปทั้งหมด”
       เจ้าหน้าที่ขมวดคิ้ว นิ่งฟัง ส่วนปานตาเหลือก ปลอดพูดต่อ “แล้ว ชั้นแค้นนังครองสุขที่มันคบชู้กับไอ้ผา ร่วมมือกันฆ่าคุณไพศาล ชั้นเลยฆ่าไอ้ผา ฆ่านังอุ่นเรือนสมุนของมัน เสียดายไปฆ่านังครองสุขไม่สำเร็จ”
       ปานเทพเคาะกระจกหน้าเลิ่กลั่ก “พ่อ เบาๆ พูดเบาๆ”
       ปลอดพูดเบาๆ หน้าเฉยตาดุใส่ปาน “ชั้นต้องการให้คุณใหญ่กลับมาอย่างผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่ผู้ต้องหาแกต้องห้ามไม่ให้คุณใหญ่เข้ามามอบตัวเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นไม่ต้องมาเรียกชั้นว่าพ่ออีกต่อไป”
       พ่อลูกจ้องตากัน ปานเทพเจ็บปวดสงสารพ่อจับใจ
      
       เช้าวันต่อมาที่ไร่ไพศาล ครองสุขสวมชุดคลุมชุดนอน ถือถ้วยกาแฟเดินนวยนาดออกมาที่ห้องโถง หน้าตาแจ่มใส พอครองสุขจะเดินมาที่ประตูจะออกนอกบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่ตำรวจเดินเข้ามาหน้านิ่ง ครองสุข ช็อก ตกใจสบตากับตำรวจ
      
       เวลาต่อมา ครองสุขซึ่งเปลี่ยนชุดใหม่ เดินหน้าเครียดลงบันไดโรงพักมากับทนายความ
       “ไอ้ปลอด มันกล้าดียังไงมาใส่ร้ายชั้น” ครองสุขฉุน
       ทนายปลอบ “ก็แค่คำกล่าวหา ไม่ต้องห่วงครับ ทางตำรวจยังไม่มีพยานหลักฐานอะไร”
       ครองสุขครุ่นคิด ก้าวลงมาถึงพื้นแล้ว เหลียวระแวงล่อกแล่กระแวงว่าจะมีคนได้ยิน
       “แล้วถ้ามันหาพยานหลักฐานมาได้ล่ะ”
       “ก็เรื่องใหญ่เลยครับ ต้องสู้ทั้งคดีอาญา แล้วก็เรื่องการรับมรดกของคุณนายมีปัญหาแน่ครับ”
       ครองสุขตกใจตาโต บ่นพึมพำอย่างแค้นใจ “ไอ้ปลอด ไอ้ปากหมา”
      
       ครองสุขกลับไร่ ตรงเข้าห้องทำงาน ครองสุขต้องเครียดกว่าเดิมเมื่อเข้าห้องมาตกใจ ตาค้าง
       เห็นเสี่ยตงนั่งเอนเก้าอี้เอาเท้าพาดบนโต๊ะรออยู่
       “ทำเป็นตกใจไปได้ หายหัวไปไหนมาแต่เช้า”
       ครองสุขหงุดหงิดบอกเสียงห้วน “ตำรวจมาตามไปโรงพัก”
       เสี่ยตงสะดุ้งรีบเอาขาลงจากโต๊ะ ครองสุขนั่งตรงข้าม เสี่ยรีบซัก “เรื่องอะไร ตำรวจมันรู้เรื่องอะไรบ้าง”
       ครองสุขยิ้มเหี้ยมได้เปรียบเมื่อเห็นเสี่ยตงออกอาการกลัว
       “ก็หลายเรื่องที่เราทำด้วยกัน ตอนนี้เสี่ยกับชั้นมาลืมเรื่องจุกจิกของเราก่อนดีกว่า เพราะถ้าชั้นพลาดถูกจับขึ้นมา เสี่ยก็น่าจะรอดยาก”
       เสี่ยตงลุกพรวดจ้องครองสุขเดินหงุดหงิดไปมา
       “ชั้นไม่น่ามายุ่งกับเธอเลย อัปมงคลชีวิตจริงๆ”
       ครองสุขฉุน “อย่ามาทำปากพล่อยเสี่ย เรื่องนี้เราจบได้ถ้าทำให้ไอ้ปลอดพูดไม่ได้อีกต่อไป ปิดปากมันซะ ในคุกมือไม้ของเสี่ยก็มีไม่ใช่เหรอ”
       เสี่ยตงกลอกลูกตาไปมา “ชั้นไม่โง่ทำโฉ่งฉ่างอย่างนั้นหรอก สู้ทำให้มันพูดอย่างที่เราต้องการไม่ดีกว่าเหรอ”
       ครองสุขหรี่ตามองเสี่ยตง คิดไม่ออกว่ากิ๊กแก่มีแผนอะไร
      
       ทางด้านใหญ่พอรู้จากปานเทพก็เดินงุ่นง่านไปมา เพ็ญกะปานเทพนั่งเครียดอยู่ที่โต๊ะ
       “ชั้นไปมอบตัวช้าเอง ชั้นผิดเอง แกจะให้ชั้นทำอะไรบอกมา ไอ้ปาน ชั้นจะเอาพ่อแกออกจากคุกให้ได้”
       “คนอย่างนายหัว ถ้ามุ่งมั่นจะทำอะไรแล้ว ไปหยุดเค้ายาก ให้น้าไปคุยเองดีกว่า”
       ปานเทพบอกว่าไม่มีประโยชน์ “เสียเวลาเปล่าครับ ตอนนี้พ่อไม่ยอมให้ใครเข้าเยี่ยมทั้งนั้น สั่งด้วยว่าถ้าชั้นห้ามแกไปมอบตัวไม่ได้ พ่อจะตัดลูกตัดพ่อกับชั้น”
       “ชั้นต้องไปมอบตัวกับตำรวจเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยอาปลอดได้”
       เพ็ญรันทดใจ หดหู่ใจ มองใหญ่สลับกับมองปานเทพคิดถึงและห่วงใยปลอดมาก
       ความเสียใจมาเป็นริ้วๆ เพ็ญน้ำตาไหลริน แต่รีบผินหน้าไปทางอื่น
       ปานเทพอัดอั้นตันใจ พูดอะไรไม่มีใครยอมฟัง ทั้งพ่อทั้งใหญ่ จึงลุกพรวด ยกมือยอมแพ้
       “ตามใจ ใครอยากจะทำอะไรก็เชิญ พ่อก็ทำเพื่อแก แกก็จะทำเพื่อพ่อ ชั้นจะอยู่ดูเฉยๆก็แล้วกัน เพราะชั้นมันเป็นส่วนเกิน”
       ปานเทพเดินลิ่วออกไป ใหญ่กะเพ็ญ มองตามเครียดๆ
       ปิ่นอนงค์ยืนมองอยู่อีกมุม
      
       ปานเทพนั่งเครียดอยู่นอกบ้าน ปิ่นอนงค์เดินเข้ามาเลียบๆ เคียงๆ ปานเทพหันไปเห็นจึงถาม
       “มีอะไรปิ่น”
       “ปิ่นได้ยินพวกคุณคุยกัน ปิ่นคิดว่าการที่อาปลอดยอมติดคุกไม่ใช่ทำเพื่อคุณใหญ่คนเดียว แต่ทำเพื่อคุณปานด้วย” ปิ่นอนงค์ว่า
       “ทำเพื่อชั้นตรงไหน พ่อไม่เคยนึกถึงหัวอกของชั้นกับน้าเพ็ญเลยสักนิด พ่อแก่แล้วจะทนอยู่ในคุกได้สักกี่ปีเชียว”
       ปานเทพกลั้นน้ำตาไว้ หันหน้าหนีไปอีกทาง
       “ตอนที่แม่อุ่นคอยช่วยคุณนายแบบผิดๆ จนไม่คิดถึงปิ่นเลย ปิ่นเองก็น้อยใจมาก เฝ้าถามตัวเองว่า ทำไมแม่รักคนอื่นมากกว่าเรา แต่พอแม่ตายไป ปิ่นถึงได้รู้ตัวว่า ทำไมตอนที่แม่ยังอยู่ เราไม่ทำให้แม่รู้ว่า เรารักแม่แค่ไหน แทนที่จะสงสัยว่าแม่รักเราแค่ไหน เพราะพ่อแม่มีเวลาให้เราไม่นานนักนะคะ”
       ปานเทพลุก มองจ้องหน้าปิ่นอนงค์ “ไม่ต้องมาพยายามพูดดีๆ กับชั้น ยังไงชั้นก็ไม่คิดจะญาติดีกับเธอหรอก เพราะเธอทำให้คุณใหญ่กลับไปไร่ไพศาล จนทำให้ชีวิตของพวกเราทุกคนเลวร้ายกันหมด ต้นเหตุมันมาจากเธอคนเดียว”
      
       ปานเทพเดินหนีไป ปิ่นอนงค์จ๋อยมองตามไปด้วยความรู้สึกผิดในใจ
 เช้าวันต่อมา ใหญ่ ปานเทพ และทัศนีย์นั่งที่โต๊ะอาหารแล้ว ปิ่นอนงค์กับน้อยช่วยกันจัดเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะ หวานเข้ามามองทุกคน แล้วเอ่ยขึ้น
      
       “หาคุณเพ็ญไม่เจอค่ะ ดูจนทั่วบ้านแล้ว”
       เสียง SMS ของปานเทพดัง ปานเทพกดอ่าน หันมามองใหญ่ ส่ายหน้าเครียด
       “น้าเพ็ญไปหาพ่อจนได้ ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง”
       ทัศนีย์ชิมแกงจืดพลางเอ่ยขึ้นประสาคนปากไว ไม่ดูกาละเทศะ
       “ไม่แปลกนี่คะ เท่าที่เห็นคนบ้านนี้ดื้อเหมือนกันหมดเลย”
       ใหญ่กะปานเทพชะงักมองทัศนีย์ ซึ่งทัศนีย์จะตักข้าวกิน รู้ตัวมองสองหนุ่ม และหันไปสบตาปิ่นอนงค์ เจอปิ่นอนงค์เม้มปากส่ายหน้าเป็นเชิงบอกไม่ให้พูดต่อ
       ปานเทพวางช้อนส้อมลุกยืน “ฝากบ้านด้วยไอ้คุณใหญ่ ชั้นตามไปดูน้าเพ็ญเอง เดี๋ยวจะโดนพ่อด่าว่าสั่งอะไรไม่เป็นสั่ง”
       ปานเทพออกไปแล้ว ใหญ่ขยับจะตาม แต่ตัดสินใจนั่งตามเดิม สีหน้ากลุ้มใจ
      
       เพ็ญอยู่ในห้องเยี่ยมญาติที่เรือนจำ สองคนยกโทรศัพท์แนบหู สบตากันผ่านกระจก เพ็ญกับปลอด เอามือทาบกันที่กระจก ปลอดยิ้มเอานิ้วเกาะกระจกตรงมือเพ็ญ
       “นี่จะมาเกลี้ยกล่อมให้ชั้นกลับคำให้การอีกคนใช่มั้ย”
       “เปล่าสักหน่อย ชั้นรู้ว่าพี่ปลอดมีเหตุผลว่าทำไปเพราะอะไรแค่อยากมาดูว่าพี่ปลอดอยู่สบายดี มั้ย อยากกินอะไร คราวหน้าจะได้ทำมาฝาก”
       ปลอดปรายตาแอบมองเจ้าหน้าที่ “ทุกคนสบายดีมั้ย”
       เพ็ญยิ้มพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ใครมาอยู่บ้านเราต้องมีความสุข กินอิ่มนอนหลับกันทุกคนอยู่แล้ว พี่ปลอดก็รู้นี่”
       “ชั้นไม่เคยผิดหวังในตัวเธอเลยเพ็ญ เธอเข้มแข็งสมกับเป็นเมียนายเหมืองอย่างชั้น นี่ถ้าต้องติดคุกตลอดชีวิต หรือถูกประหาร ชั้นนอนตายตาหลับ ไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว เพราะมีเธอเป็นหลัก คอยดูแลบ้าน ดูแลคนที่ชั้นรักแทนที่ชั้นได้เสมอ”
       “อย่าพูดอย่างนั้นสิ เดี๋ยวคุณใหญ่กับนายปานก็หาทางช่วยพี่ปลอดออกมาได้แล้ว เพ็ญจะมารับพี่กลับบ้านด้วยกัน”
       สองคนสบตายิ้มให้กัน
      
       ในขณะที่เพ็ญขับรถกระบะกลับจากเยี่ยมปลอด จังหวะที่เพ็ญเช็ดน้ำตา สงสารปลอดนั้น ก็มีรถกระบะอีกคันขับแซงขึ้นมาประกบ คนนั่งข้างคนขับยิงปืนใส่ยางข้างขวารถเพ็ญสองนัดรถส่ายไปมา
       เพ็ญตกใจบังคับรถ จู่ๆ ได้ยินเสียงเบรกดังสนั่น จากนั้นทุกอย่างก็เงียบสนิท
       แผนของเสี่ยตงที่บอกครองสุข คือจับเพ็ญเป็นตัวประกัน เพื่อให้ปลอดกลับคำให้การนั่นเอง
      
       ตกกลางคืน ใหญ่นั่งกอดเข่ามองเหม่อไปนอกหน้าต่าง ปิ่นอนงค์ขยับลุกมานั่งข้างๆ
       “เป็นห่วงอาปลอดเหรอคะ”
       ใหญ่พยักหน้า บอกเสียงเศร้า “คนที่สร้างปัญหาเอาความเดือดร้อนมาให้ครอบครัวนี้ เป็นส่วนเกินของครอบครัวนี้คือชั้นต่างหาก ไม่ใช่ปานหรอก”
       ปิ่นอนงค์ปลอบ “ความรู้สึกที่อาปลอด น้าเพ็ญ คุณปาน มีให้กับคุณใหญ่ คือความรัก ความห่วงใยที่มากมายจนปิ่นรู้สึกได้ คุณใหญ่มีความหมายกับครอบครัวนี้มากต่างหาก”
       “ไม่ใช่หรอกปิ่น มันคือความเวทนาสงสารของอาปลอดที่มีให้ชั้น เพราะชั้นไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีใครเลย แต่ปานคิดว่าอาปลอดรักชั้นมากกว่ามัน มันไม่เข้าใจ คิดว่าความสงสารคือความรัก”
       ปิ่นอนงค์ยกแขนโอบหัวใหญ่มาแนบแก้มกอดประคองเอาไว้
       “ต่อไปนี้คุณใหญ่จะไม่ขาดความรักเพราะปิ่นจะยกให้คุณใหญ่ทั้งหมดทั้งหัวใจ”
       “ไม่ว่าจะต้องติดคุก ติดตะราง ไม่ว่าชั้นจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ ชั้นก็จะจดจำอ้อมกอดของเธอวันนี้เอาไว้ ปิ่นอนงค์”
       สองคนถ่ายทอดความรักให้กำลังใจกันและกัน
      
       ฟากเพ็ญถูกสมุนเสี่ยตงกดให้ลงนั่ง สมุนคนนั้น ถือปืนแนบต้นขา สมุนอีกคนกำลังค้นกระเป๋าสะพายเพ็ญโยนโทรศัพท์เพ็ญตกข้างๆ ที่เพ็ญนั่งไม่สนใจ จากนั้นก็โยนตลับแป้งทิ้งไม่สนใจ
       เพ็ญนั่งมองตาขวาง จะลุกแต่ถูกกดไหล่
       สมุนที่ค้นกระเป๋าออกอาการดีใจปนตกใจ ตามองจ้องของในกระเป๋าเพ็ญ
       “เฮ้ย มีปืนด้วยโว้ย เงินเป็นฟ่อนเลย”
       สมุนที่คุมตัวเข้าเรื่อง “ชั้นมีข้อเสนอให้เจ๊สองข้อ หนึ่งกลับไปกล่อมผัวเจ๊ให้กลับคำให้การซะ สองถ้าปฏิเสธเจ๊ก็เป็นศพ ผัวเจ๊ก็เป็นศพตายในคุก เลือกเอา”
       เพ็ญถามเสียงขุ่น “ใครใช้แกมา คุณนายครองสุขใช่มั้ย”
       “ไม่สำคัญ ถ้าไม่อยากตายเจ๊ก็ทำตามที่ชั้นบอก”
       “ฝากไปบอกนายแกว่าคนอย่างฉันไม่ขี้ขลาดกลัวตาย” เพ็ญบอกเสียงกร้าว
       สมุนที่ค้นกระเป๋าเอาปืนเพ็ญออกมาดู เป็นปืนพกเล็กๆ เหมาะมือ
       “มิน่าถึงพกปืนผาหน้าไม้”
       สมุนที่คุมตัวหันไปดู เพ็ญเห็นโอกาสเหมาะโผนเข้าหาสมุนคนนั้น แล้วใช้สองมือรวบปืนที่มือของมัน
       เพ็ญทั้งเตะทั้งเข่า เอาหัวโขกหน้าสมุนเสี่ยตงจนเลือดกำเดาไหล ตัวหมุนเป็นวง สมุนอีกคนถือปืนเลิ่กลั่ก
       เพ็ญดันขัดขาสมุนคนแรก ล้มลงแถวที่นั่งที่คุมตัว เพ็ญทุ่มตัวทับตัวสมุนคนนั้นสู้ตากัน
       จังหวะนั้นเสียงปืนดังเปรี้ยง สามคนต่างชะงักกึก
      
       เปี๊ยกหลับที่โซฟาห้องโถง มีโทรศัพท์บ้านวางอยู่ที่โต๊ะเล็กข้างโซฟาและโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายวางอยู่บนโต๊ะรับแขก
       ใหญ่เดินเข้ามานั่งมองเปี๊ยกยิ้มๆ “เปี๊ยก เปี๊ยก”
       เปี๊ยกสะดุ้งโหยง คว้าโทรศัพท์อ้อแอ้ ใหญ่สะกิด เปี๊ยกได้สติ ยิ้มแหยๆ “ชั้นให้นายคอยน้าเพ็ญกับนายปานกลับมา แล้วขึ้นไปปลุกชั้น ดันมาหลับซะนี่”
       เปี๊ยกวางโทรศัพท์ลง เป็นจังหวะที่เสียงโทรศัพท์ดัง เปี๊ยกสะดุ้งวางโทรศัพท์บนโต๊ะ
       ใหญ่คว้าโทรศัพท์มากดรับสาย “ฮัลโหล...”
      
       ค่ำนั้นปานเทพขับรถสอดส่ายสายตา ใช้ BLUETOOTH สื่อสารกับใหญ่เป็นระยะ สีหน้าปานเทพเครียดจัด
       “น้าเพ็ญถึงบ้านรึยัง เจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าออกจากเรือนจำตั้งนานแล้ว”
       ใหญ่เครียด “ยังเลย ไม่ได้โทร.กลับมาด้วย”
       ปานเทพฟัง เขม้นตามองข้างถนน ชะลอรถ ตาเบิกโผลง ปานเทพมองผ่านกระจกหน้ารถ เห็นรถเพ็ญจอดเอียงลงข้างถนน
       ใหญ่สงสัยเห็นเป็นปานเทพเงียบไปนาน “ปานๆ ไอ้ปาน”
       “เฮ้ย เห็นรถน้าเพ็ญแล้ว แค่นี้ก่อนนะ” ปานเทพวางสายทันที
      
       รถเพ็ญจอดอยู่ริมถนนปานเทพรีบลงจากรถ ถือไฟฉายสอดส่องไปมา
       “น้าเพ็ญ น้าเพ็ญครับ”
       ภายในรถว่างเปล่า ปานเทพหน้าเครียด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
       ปานเทพรีบกดรับสาย นิ่งฟัง “น้าเพ็ญ น้าเพ็ญ อยู่ที่ไหนครับ เกิดอะไรขึ้น”
       สีหน้าปานเทพขณะฟังโทรศัพท์เครียดจัด
      
       ภายในโรงนาร้างเวลานั้น เพ็ญถูกทิ้งไว้คนเดียว เพราะลูกน้องเสี่ยตงคิดว่าตายแล้ว เพ็ญหน้าซีดเผือด ยิ้มน้อยๆ แข็งใจพูดโทรศัพท์ออกไป น้ำเสียงติดๆ ขัดๆ กำลังบอกทางปานเทพ
       “ใช่ .. ใช่ .. เลี้ยวซ้ายตรงศาลา รอ...รอรถเมล์ น้า... ไม่เป็น อะไรมาก พอ... พอทนไหว...”
       เพ็ญเข้มแข็งมาก ทั้งที่บาดเจ็บสาหัส เพราะถูกสมุนเสี่ยตงยิงเข้าที่ลิ้นปี่!!
       เพ็ญมองจ้องไฟสูงรถปานเทพที่กำลังพุ่งเข้ามาจอดในโรงนาแห่งนั้น
       ปานเทพถือไฟฉาย วิ่งเข้าโรงนามา เจอเพ็ญเข้าประคอง
       “น้าเพ็ญๆ ใคร ใครทำน้าเพ็ญ”
       เพ็ญอยู่ในสภาพเลือดท่วมลิ้นปี่ท้อง “ปานเทพ พี่ ปลอด รัก ปาน”
       เพ็ญพยายามลูบแก้มปาน มือตก ตาค้าง
       “น้าเพ็ญๆ อย่าตายนะครับ ผมจะพาไปโรงพยาบาล น้าเพ็ญ ...อย่าทิ้งผมไปอย่างนี้...”
      
       ปานเทพกอดเพ็ญทั้งตัว ชายหนุ่มจอมกะล่อนร้องไห้คร่ำครวญออกมาอย่างน่าเวทนา
ขอขอบคุณจาก manager.co.th  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น