วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครรักเกิดในตลาดสด ตอนที่2 วันที่ 28 ก.ค. 55


                  บ่ายวันเดียวกัน ที่ร้านเสริมสวย น้อยหน่ากำลังไดร์ผมให้ทวีสาวใช้สำเนียงใต้บ้านสดศรี  ส่วนชมพู่ทำเล็บให้เครือฟ้าพร้อมเมาท์อย่างเมามัน
       
                   “นี่เสี่ยชายศักดิ์กล้าพายัยรัศมีเข้าบ้านคุณนายสดศรีจริงๆเหรอพี่ทวี  แบบนี้ไม่ตีกันตายเหรอ”
       “ก็อยากให้ตีเหมือนกันล่ะชมพู่เอ๊ย  เสียดายคุณนายไล่ตะเพิดออกจากบ้านไปซะก่อน  ไม่งั้นได้ดูละครบู๊นอกจอแน่”
                   “ไม่เข้าใจเลย   เสี่ยชายศักดิ์ทิ้งเมียที่ขุนตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนไปอยู่กับผู้หญิงอื่นได้ยังไง”
       น้อยหน้าออกความเห็น เครือฟ้าได้ยินรีบเสริมด้วยภาษาเหนือทันที 
                   “ก็ผู้หญิงเค้าท้องนี่นะ  เสี่ยก็ต้องรับผิดชอบ”
                   “แล้วคุณณดาล่ะ  ไม่ใช่ลูกเสี่ยรึไง  ถึงไม่ต้องรับผิดชอบ” ชมพู่ค้าน ทวีรีบเล่าเสริม
                   “เฮ้ย คุณณดาก็ต้องเป็นลูกคุณกริชสามีใหม่คุณนายซิ”
                   “ว่าไปคุณนายสดศรีนี่ก็ไวไฟเหมือนกันนะ  เลิกกับผัวเก่าไม่เท่าไหร่ก็ท้องกับผัวใหม่ปั๊บ   ไหนว่ารักเสี่ยชายศักดิ์นักหนา” น้อยหน่าเปรยขึ้น
                   “พี่น้อยหน่า แล้วจะให้คุณนายแกทำเหมือนตำนานรักสาวเครือฟ้ารึไงจ๊ะ  โดนผัวทิ้งแล้วปาดคอตาย   เฮาว่าเอาเวลาไปหาผัวใหม่ดีกว่า”
       เครือฟ้าเข้าร่วมวงด้วย ทวี ชมพู่ และน้อยหน่า หัวเราะชอบใจกับคำพูดของเครือฟ้า
                   “พูดไม่สมกับที่ชื่อเครือฟ้าเลยนะแกน่ะ  เอ้อ ชมพู่ น้อยหน่า  ไอ้เรื่องที่เล่าวันนี้น่ะเหยียบไว้ให้มิดเลยนะ  อย่าบอกต่อล่ะ  ถึงหูคุณนายล่ะยุ่ง” ทวีกำชับ ชมพู่กับน้อยหน่ารับปากหนักแน่น
                   “อุ๊ย ไม่ต้องห่วง”
       
       
                   ไม่นานต่อจากนั้น ชมพู่มาซื้อกับข้าวที่ร้านป้าพิณก็นำมาเมาท์ต่อทันที ป้าพิณตบเข่าฉาด
       “บ๊ะ เสี่ยชายศักดิ์นี่มันหน้าด้านจริงจริ๊ง  จูงมือเมียใหม่ไปขอซื้อที่เมียเก่าถึงในบ้าน เป็นผัวข้าหน่อยล่ะจะสาดด้วยต้มฟักร้อนๆ”
       คำมูลยืนอยู่แถวนั้นโพล่งขึ้น
                   “โห ป้าพิณ   พูดอย่างกะป้ามีผัวให้สาดน้ำต้มฟักนี่”
                   “งั้นข้าสาดหน้าเอ็งก่อนละกันไอ้คำมูล”
       ป้าพิณทำท่าจะตักแกงจืดฟักที่ตั้งอยู่บนเตาแก๊สใส่คำมูล
                   “สาดใส่ชั้นก็เปลืองนะจ๊ะป้า   ไม่เอาน่า ชั้นก็แค่ล้อเล่น”
       เขียวหวานรีบสวนออกมาเป็นภาษากะเหรี่ยง
                   “แล้วคุณนายสดศรีแกจะขายตลาดให้เสี่ยมั้ยพี่ชมพู่”
                   “จะมีเมียคนไหนยอมขายที่ให้ผัวที่ทิ้งตัวเองไปหาผู้หญิงคนใหม่ล่ะวะเขียวหวาน   ถ้าเป็นแก แกยอมมั้ย”
                   “ยอมได้ไง   ผัวแบบนี้นะ ถ้าเจอเมียพม่าล่ะโดนเจื๋อนพวงสวรรค์ทิ้งแน่ๆ”
       คำมูลได้ยินรีบกำเป้าตัวเอง
                   “พูดอะไรแบบนั้นล่ะเขียวหวาน  ฟังแล้วพี่ขาสั่นไปหมดเลย”
                   “เอ็งจะขาสั่นทำไม  เอ็งเป็นผัวนังเขียวหวานมันเหรอ” ป้าพิณสวนขึ้น
                   “แหม ตอนนี้น่ะไม่ใช่  แต่ต่อไปก็ไม่แน่  ใช่มั้ยจ๊ะเขียวหวาน”
       คำมูลไม่พูดธรรมดา ยื่นมือไปหยิกแก้มเขียนหวาน จนโดนป้าพิณเอาทัพพีตีหัว
                   “นี่แน่ะ จะจีบลูกจ้างเค้าน่ะปรึกษาเจ้านายรึยังว่าจะยอมให้เอ็งเป็นผัวรึเปล่า
       “ทำไมต้องปรึกษาล่ะ  ชั้นจะเป็นผัวเขียวหวาน  ไม่ใช่ผัวป้านี”
       ป้าพิณคว้าสากจะขว้างใส่คำมูล  อีกฝ่ายรีบเข็นรถส้มตำหนีไปที่อื่นด้วยความรวดเร็ว
                   “นี่ ป้าพิณ  เขียวหวาน   เรื่องนี่น่ะรู้แล้วก็เหยียบไว้นะ  เดี๋ยวพี่ทวีเค้าจะเดือดร้อน  “
        ชมพู่กำชับสองคนทั้งที่โดนทวีกำชับมาแล้วแต่ก็ยังเอามาเมาท์ต่อ
                   “อุ๊ย  ไม่ต้องห่วง” ป้าพิณรีบรับปาก
                   “งั้นชั้นไปก่อนนะ  ปล่อยพี่น้อยหน่าอยู่ที่ร้านคนเดียว”
       พอชมพู่ออกไป มีลูกค้าใหม่เข้ามาพอดี
       “ป้า  เอาข้าวแกงเขียวหวาน ไข่ดาว”
                   “ได้ๆ   เอ้อ ว่าแต่นี่แกรู้มั้ย  ไอ้เสี่ยชายศักดิ์เจ้าของห้างเวรี่แฮปปี้น่ะ......”
       ไม่ทันขาดคำป้าพิณก็เมาท์เรื่องสดศรี ชายศักดิ์ และรัศมีต่อทันที
       
       
                   บ่ายนั้น สดศรีเข้ามาในห้องนอนตัวเองหลังจากชายศักดิ์และรัศมีกลับไป สดศรีมองรูปคู่เก่าๆของตนกับชายศักดิ์ที่เก็บเอาไว้ในกล่องสังกะสีเก่าอย่าง เศร้าใจ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น  สดศรีรีบเอากล่องรูปเก็บไว้ใต้เตียง
                   “เข้ามาได้”
       ณดาเปิดประตูเข้ามา
                   “ณดา ทำไมไปช็อปปิ้งกลับมาไวนักล่ะลูก   แม่ตาฝาดไปรึเปล่า”
                   “ที่กลับมาไวก็เพราะจะรีบมาสัมภาษณ์คุณแม่เกี่ยวกับตลาดของเราไงคะ”
                   “สงสัยแม่จะหูฝาดอีกด้วยนะเนี่ย” ณดาแกล้งงอน
                   “ตกลงคุณแม่อยากให้ณดาช่วยงานที่ตลาดมั้ยคะเนี่ย”
                   “อยากซิคะลูก   ว่าแต่หนูพอจะบอกแม่ได้มั้ยว่าอะไรทำให้หนูเปลี่ยนใจมาช่วยงานแม่กันเนี่ย”
       ณดารู้ดีว่าเหตุผลที่กลับมาช่วยงานสดศรีคือต๋อง แต่บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น
                   “ก็...ณดาเพิ่งจะรู้นี่คะว่างานที่นั่นมันวุ่นวายกว่าที่คิด  แค่ณดาไปแป็บเดียวก็เจอเรื่องปวดหัว
       แล้ว  ที่ผ่านมาคุณแม่คงเหนื่อยน่าดู”
                   “ขอบใจมากลูก  แม่รอวันนี้มาตั้งนานแล้วณดารู้มั้ย”
       สดศรีโผไปกอดลูกสาวด้วยความดีใจ  ณดากอดตอบแม่แต่รู้สึกผิดอยู่ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดช่วยแม่ตัวเองมาก่อน
       
                 
                   วันเดียวกัน ใกล้ๆกับแผงของต๋องและกิมลั้งไฟในตลาดเริ่มสว่างแล้ว กิมฮวยกับกิมลั้งกำลังช่วยกันเก็บแผงจนกิมฮวยเมื่อยล้าไปทั้งตัว
       “โอ๊ย ปวดหลังจัง งั้นหม่าม้ากลับบ้านก่อนนะ”
                   “จ้ะ ม้ากลับไปนอนพักเถอะ  เดี๋ยวทางนี้อั๊วจัดการเอง
       กิมฮวยเดินบีบต้นคอตัวเองก่อนจะเดินออกไป ต๋องที่เก็บแผงอยู่ใกล้กันหันมองตามกิมฮวยที่กำลังจะเดินออกไป แล้วพึมพำกับตัวเองอย่างเบาๆ
                   “เห็นปวดนั่นปวดนี่ประจำ  สงสัยจะถูกเล่นของ แหม แต่หนังเหนียวขนาดนั้น  ของไม่น่าจะเข้าได้ง่ายๆนะ”
       ระหว่างนั้นเพลงรักจากวิทยุที่ต๋องเปิดไว้ดังขึ้นพอดี  ต๋องรีบเร่งเสียงวิทยุทันที
                   “อุ๊ยๆ”
       พอเพลงเสียงเพลงดังขึ้นมากิมลั้งก็หันไปแผงต๋อง  ก็เห็นอีกฝ่ายที่รอส่งยิ้มให้  แถมทำเป็นเต้นท่าเกาหลีประกอบ แอบทำท่าหัวใจส่งมาให้กิมลั้งแบบเนียนๆ กิมลั้งแอบอมยิ้มในความบ้าบอของต๋อง
       
       
                   วันเดียวกันที่คลองหลังตลาด กิมลั้งกำลังเอามือถือถ่ายรูปนิ้วมือตัวเองกับแบคกราวน์สวยๆริมน้ำหลายๆ รูปอย่างมีความสุข ถ่ายไปเรื่อยจนมาถึงรูปที่ถ่ายแล้วไม่ค่อยถนัดมือ  ขณะที่มือกำลังเก้ๆกังๆจับมือถือเล็งมุมอยู่  ปรากฏว่ามีมืออีกมือยื่นมาช่วยจับมือถือให้  กิมลั้งตกใจเล็กน้อยพอหันไปจึงเห็นว่าเป็นต๋อง
                   “มา ถ่ายให้”
       กิมลั้งลังเล แต่ก็ยอมปล่อยมือถือให้ต๋องไป
                   “เอ้า คราวนี้ก็โพสท่าให้เพื่อนเธอได้เต็มที่เลย”
       ไม่นานกิมลั้งก็หันไปโพสท่าให้นิ้วตัวเองต่อ  โดยมีต๋องถ่ายรูปให้อย่างตั้งใจ
       
       
       ต่อจากนั้นต๋องกำลังไล่ดูรูปนิ้วมือของกิมลั้งจากมือถือ  เห็นรูปนิ้วมือถ่ายรูปตามที่ต่างๆ
                   “นี่หัวลำโพงนี่  เขาดิน วัดพระแก้ว  แน่ะ...ขึ้นรถไฟฟ้าซะด้วย”
       ต๋องเงยหน้าขึ้นถามกิมลั้งที่นั่งอยู่ข้างๆ
       “แปลกดีเนอะ ทำไมเธอถึงชอบถ่ายรูปนิ้วมือตามที่ต่างๆล่ะกิมลั้ง”
                   “อืม  มันคงเป็นตัวแทนชั้นที่อยากออกไปท่องโลกมั้ง”
                   “ท่องโลกอะไร  เห็นถ่ายอยู่แต่ในกรุงเทพ”
                   “ทำไงได้ล่ะ นายก็เห็นว่าวันๆชีวิตชั้นก็เวียนวนอยู่แต่ในตลาด  มีโอกาสได้ไปไหนกับใครเค้าบ้างล่ะ”
                   “ไม่มีใครเลือกชีวิตให้ตัวเองไม่ได้หรอกกิมลั้ง”
                   “ชั้นไง”
                   “ถ้าเธอเลือกไม่ได้จริงๆ  งั้นชั้นช่วยเลือกให้ดีมั้ย”
                   “ชิ เธอเป็นอะไรกับชั้น  เที่ยวจะมาจัดการนู้นนี่ให้”
                   “จะว่าไปก็อยากเป็นอยู่เหมือนนะ” ต๋องหยอกกิมลั้ง
                   “บ้า นี่เอามือถือชั้นคืนมาได้แล้ว”
       กิมลั้งยื่นมือจะคว้าแต่ต๋องเลี่ยงหลบ
                   “เดี๋ยวๆ มือถือชั้นหายไปไหนไม่รู้  หาไม่เจอ ขอยืมของเธอโทรเข้าหน่อยนะ”
       ต๋องรีบกดมือถือกิมลั้งเข้าเครื่องทันที โดยไม่ฟังคำตอบจากเจ้าของเครื่องแล้วมือถือต๋องก็ดังขึ้น    ต๋องคลำไปที่กระเป๋ากางเกงแล้วหยิบออกมา  กิมลั้งมองตามด้วยความงง
                   “เอ้า ไหนบอกหาไม่เจอ   อยู่ในกางเกงตัวเองแท้ๆ” ต๋องแกล้งอึกอัก
                   “เอ่อ...”
       ระหว่างนั้นมือถือกิมลั้งดังขึ้นอีกครั้งที่หน้าจอเขียนว่า “หม่าม้า”
                   “หม่าม้า  ชั้นรับให้”
       ต๋องแกล้งทำเป็นจะกดรับ กิมลั้งใจหายวาบ กลัวต๋องทำจริง
                   “จะบ้าเหรอ”
       กิมลั้งรีบคว้ามือถือจากมือต๋องมารับด้วยอาการหน้าตื่น
       “ฮัลโหล หม่าม้า อ๋อ...ก็...ก็เพิ่งเก็บแผงเสร็จน่ะ  จ้ะๆ นี่ก็กำลังจะกลับแล้วจ้า
       กิมลั้งกดเลิกสายแล้วหันมาพูดกับต๋อง
                   “งั้น ชั้นกลับก่อนละกันนะ   พรุ่งนี้เจอกัน”
                   “จ้ะ กลับบ้านดีๆนะ”
       ต๋องพูดเสียงหวาน กิมลั้งแกล้งจ้องกลับด้วยสายตาดุ แต่พอกลับหลังหันเดินออกไปก็หลุดยิ้มเขินๆออกมา
       กิมลั้งเดินลับตาไปแล้ว  ต๋องก้มมองที่โทรศัพท์ตัวเองซึ่งมีเบอร์กิมลั้งขึ้นเป็นเบอร์ที่ไม่ได้รับสายอยู่
       
       ชายหนุ่มยิ้มชอบใจรีบกดเมมเบอร์ชื่อว่า “กิมลั้ง” ด้วยแววตาเป็นประกาย
         คืนนั้นที่บ้านของเต๋า ต๋องกำลังนั่งเรียงผักใส่ถุงอยู่กลางบ้าน ติ๋มที่ท้องกว่า 6เดือน กำลังเดินลงบันไดมา พอเห็นพี่สะใภ้จึงรีบขึ้นไปประคอง
       “ระวังพี่ติ๋ม”
       “ขอบใจจ้ะ”
       ติ๋มเพิ่งมองผักที่ต๋องจัดใส่ถุง
       “นี่ต๋องทำอะไรจ๊ะเนี่ย”
       “อ๋อ ว่าจะลองทำสลัดผักขายดูน่ะพี่ เห็นเดี๋ยวนี้คนเค้าฮิตอาหารสุขภาพกัน ไหนๆร้านเราก็ขายผักอยู่แล้ว”
       “แหม ต๋องนี่ขยันคิดนู้นคิดนี่เรียกลูกค้าตลอดจริงๆนะ”
       “ก็ต้องทำอะไรแข่งกับใจลูกค้าหน่อยล่ะจ้ะ นับวันคนเข้าตลาดเรา น้อยลงน้อยลง”
       “นั่นซินะ ยังไงพี่ก็ขอบใจต๋องมากนะที่อุตส่าห์มาช่วยขายของแทนช่วง ที่พี่ท้องเนี่ย คงเหนื่อยน่าดู”
       “พูดอะไรอย่างงั้น ยังไงพี่ก็เป็นพี่สะใภ้ชั้นนะ ถือว่าชั้นทำเพื่อหลานที่กำลังจะเกิดมาละกัน โตมามันจะได้เลี้ยงอาบ้าง เพราะอาคงโสดอย่างนี้ไปจนแก่”
       “อย่ามาพูดเลย หน้าตาอย่างต๋องเนี่ยนะ มีแต่สาวจะแย่งกันตะครุบ”
       “อย่าพูดอย่างงั้นพี่ติ๋ม ถึงแม้มันจะเป็นความจริงก็เถอะ ฮ่าๆ”
       เต๋าที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมา พอเห็นติ๋มกับต๋องกำลังคุยเฮฮากันอยู่ก็นึกหมั่นไส้ รีบเรียกเมียเสียงหวานขึ้นมาทีเดียว
       “มาแล้วจ้า”
       “เอ้า พี่เต๋า”
       เต๋าเหลือบมองถาดผักที่วางอยู่
       “นี่ทำพิสดารอะไรของเอ็งอีกฮะไอ้ต๋อง”
       “เอะอะก็จะหาเรื่องว่าน้องอีกแล้วพี่ ต๋องเค้าจะทำผักสลัดไปขาย จะได้เพิ่มรายได้ไง”
       ติ๋มเข้าข้างต๋องบ้างคราวนี้
       “ขยันคิดนั่นนี่นักนะมึง มีเวลาเหลือเฟือนักเหรอ บ้านช่องน่ะกวาดถูเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ดูซิเหยียบเข้ามามีแต่ฝุ่น”
       “เดี๋ยวจัดผักเสร็จชั้นก็จะถูแล้วพี่”
       “ไม่ต้องเดี๋ยว กูสั่งให้ทำเดี๋ยวนี้ ถ้ามึงยังจะวุ่นกับไอ้สลัดบ้าบออยู่อีกล่ะก็ มีเรื่องแน่”
       ติ๋มได้ยินจึงดุเต๋าเสียงดังเช่นกัน
       “พี่เต๋า ทำไมต้องพูดจาแบบนี้ด้วย”
       “เอ้า แล้วพี่พูดผิดตรงไหนล่ะติ๋ม นี่เดี๋ยวเราไปนั่งกินอะไรหน้าบ้านกันดีกว่านะ พี่ซื้อขนมมาฝากเยอะแยะเลย”
       พูดจบเต๋าดึงเมียออกไป ต๋องลงนั่งถอนหายใจด้วยความเซ็ง
      
       คืนนั้น ที่บ้านของกิมลั้ง กิมแชซึ่งถือไมโครโฟนร้องเพลงคาราโอเกะซึ้งอยู่ด้วยความอิน โดยมีพี่สาวอย่างกิมลั้ง นั่งฟังอย่างสนใจ จังหวะที่กิมแชแผดเสียงเต็มกำลัง กิมฮวยเปิดประตูพรวดเข้ามาพร้อมเคี้ยงตีหน้ายักษ์ใส่ลูกทันที
       “อากิมแช”
       กิมฮวยยืนด่ากิมแชจนหงอย กิมลั้งกับเคี้ยงก็พลอยหงอยตามไปด้วย
       “ลื้อจะบ้าเหรอกิมแช ดึกดื่นป่านนี้แล้วมาแหกปากร้องเพลงลั่นบ้าน”
       “ขอโทษจ้ะม้า คือพรุ่งนี้หนูจะไปสมัครประกวดร้องเพลงน่ะก็เลยซ้อมให้เจ้กิมลั้งดู”
       “ประกวดร้องเพลงเหรอ ดูสารรูปตัวเองให้ดีซิ อากิมแช หุ่นเตี้ย ตัวตันแบบนี้ ใครเค้าจะเอาลื้อไปทำนักร้องให้เปลืองแผ่น”
       กิมฮวยดุกิมแชพร้อมจิ้มไปที่หน้า กิมแชน้อยใจถึงกับน้ำตาคลอ เคี้ยงเห็นท่าไม่ดีจึงแทรกขึ้น
       “ทำไมพูดทำร้ายจิตใจลูกแบบนั้นล่ะกิมฮวย”
       “แล้วจะให้อั้วพูดเยินยอหลอกอีให้ละเมอเพ้อพกไปวันๆงั้นเหรอ นี่มันโลกแห่งความจริง ไม่ใช่ความฝัน คนอย่างลื้อน่ะ ทำงานบ้านงานเรือนให้เก่งแล้วมีผู้ชายมาขอไปเป็นเมียก็บุญแล้ว”
       กิมฮวยพูดจบเดินสะบัดก้นออกไปแบบไม่สนใจใคร เคี้ยงเดินตามไปห่างๆ สงสารแต่ทำได้แค่ชายตามาลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ทันทีที่พอกับแม่ออกจากห้องไป กิมลั้งโผเข้าปลอบกิมแชด้วยความห่วงใย กิมแชกอดพี่สาวไว้แน่นด้วยความเสียใจ
      
       สองพี่น้อง นั่งกอดเข่าหงอยกันอยู่บนเตียง กิมแชยังคงสะอึกสะอื้น
       “ตั้งแต่เล็กจนโต ม้าไม่เคยพูดให้กำลังใจอั๊วเลย ไม่เคยส่งเสริมให้อั๊วทำอะไรซักอย่างนอกจากขลุกตัวอยู่กับงานบ้านแบบนี้”
       “เจ้ก็ไม่ต่างกับลื้อเท่าไหร่หรอก แต่แทนที่จะเป็นบ้าน ม้าก็เปลี่ยนเป็นขังเจ้ไว้ในตลาดแทนเท่านั้นเอง”
       “รู้มั้ย บางทีอั้วเคยคิดจะหนีออกไปจากที่นี่เหมือนกันนะ”
       “ไม่ได้นะกิมแช ลื้ออย่าคิดอย่างนั้นเด็ดขาดนะ ถ้าลื้อหนีออกจากบ้านไป ม้าจะเป็นห่วงแค่ไหน”
       กิมลั้งลูบหัวน้องสาวอย่างห่วงใย
       “จำไว้นะ ถึงจะยังไง ม้าก็รักเราสองคนมากที่สุดแล้ว”
       “ที่ผ่านๆมานี่คือการแสดงความรักของม้าแล้วใช่มั้ย”
       กิมแชอัดอั้นตันใจ กิมลั้งฟังแล้วตอบน้องไม่ถูกเช่นกันกับการเลี้ยงดูกิมฮวยผู้เป็นแม่ ที่ปิดกั้นลูกมาโดยตลอด
      
       บ่ายวันใหม่ ที่ตลาด เต๊กไฮ้กำลังหั่นขาหมูอย่างช่ำชองโดยมีลักษณ์เป็นผู้ช่วย ครู่หนึ่งจาตุรงค์ หนุ่มตี๋ลูกชายเจ้าของร้านขายหมูที่ใหญ่ที่สุดในตลาดอย่างเต๊กไฮ้ ทำจมูกฟึดฟัดเพราะเหม็นกลิ่นตลาด
       จาตุรงค์เดินมาถึงหน้าแผงเป็นจังหวะที่เต็กไฮ้กำลังสับขาหมูสุดแรงจนเศษเนื้อหมูกระเด็นใส่หน้าจาตุรงค์ จนอีกฝ่ายสะดุ้ง
       “เฮ้ย!”
       ลักษณ์รีบนำผ้ามาเช็ดหน้าให้จาตุรงค์ลูกชาย
       “เนื้อหมูกระเด็นใส่หน้าแค่นี้ ร้องซะหยั่งกะถูกสับ”
       “ก็มันหยะแหยงนี่แม่ ทั้งดิบทั้งเหม็น”
       “แล้วลื้อมีอะไรทำไมกลั้นหายใจเดินมาที่แผงได้ฮะ อาใจอัง”
       “เรียกผมใจอังอีกแล้วป๊า บอกหลายทีแล้วไงว่าเปลี่ยนชื่อเป็นจาตุรงค์แล้ว ที่มานี่ ก็จะมากวนเงินป๊าไปสังสรรค์กับเพื่อนหน่อย”
       “สังสรรค์อีกแล้ว จบมางานก็ยังหาไม่ได้แต่ขยันสังสรรค์เหลือเกิน”
       ลักษณ์บ่นลูกชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย
       “โธ่ แม่ ก็สังสรรค์เนี่ยล่ะที่จะทำให้ผมได้งานดีๆ แม่ก็รู้ว่าเพื่อนที่จุฬาฯของผมน่ะ พ่อแม่เค้าเป็นใหญ่เป็นโตกันทั้งนั้น”
       “เออๆ ให้มันไปเถอะลักษณ์”
       “เอาอีกแล้วเฮีย ลูกแบมือขอเงินทีไรก็ให้ทุกที”
       “ขอบคุณครับป๊า”
       “แต่ก่อนจะเอาตังค์ ลื้อต้องเดินไปหาหนูกิมลั้งก่อน ลื้อผลัดอั๊วมาเรื่อย จนอากิมฮวยชักไม่แน่ใจแล้วว่าเราอยากเป็นทองแผ่นเดียวกันกับอี”
       “นี่ป๊า โลกมันเปลี่ยนไปแล้วนะ ป๊ายังจะใช้วิธีคลุมถุงชนอีกเหรอ”
       “อั๊วว่าลื้อลองไปเปิดถุงคลุมหน้าอากิมลั้งดูก่อนดีกว่ามั้ย”
       “โอ๊ย ยัยกิมลั้งน่ะผมจำติดตาตั้งแต่เด็กแล้ว ตัวก็ดำ หุ่นก็แห้ง ป๊าไม่เสียดายเหรอถ้าต้องเสียลูกชายหน้าตาดีให้ผู้หญิงแบบนั้น”
       จาตุรงค์นึกหน้ากิมลั้งตอนเป็นเด็กแล้วไม่อยากเป็นแฟนด้วย
       “ถ้าลื้อไม่รีบเดินไปดูอีเดี๋ยวนี้ ลื้อน่ะล่ะที่ต้องเสียดายไปตลอดชีวิต”
      
       ต่อจากนั้นที่แผงอาหารทะเล กิมฮวยกับกิมลั้งช่วยกันขายของอยู่ ครู่หนึ่งเสียงเตือนข้อความจากมือถือกิมลั้งก็ดังขึ้น กิมลั้งหยิบมือถือขึ้นมาเปิดอ่าน จึงเห็นข้อความเขียนว่า.....
       “แผงผักเรียกแผงปลา... แผงผักเรียกแผงปลา.. ขายดีๆน้า ผักจาเอาใจช่วย ; ต๋อง”
       อ่านจบกิมลั้งหันไปที่แผงผัก เห็นต๋องที่ยืนอยู่หน้าแผง สองมือถือผักกาดหอมกวัดแกว่งไปมาส่งกำลังใจให้เหมือนเป็นเชียร์ลีดเดอร์ กิมลั้งส่งสายตาหมั่นไส้ให้ต๋องแต่พอกลับมาอ่านข้อความอีกครั้งก็ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่จนกิมฮวยสงสัย
       “อากิมลั้ง เป็นอะไร จ้องมือถือยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว”
       “เอ่อ มีข้อความส่งมาน่ะม้า”
       กิมลั้งลน
       “ข้อความอะไร ทำไมถึงได้ชอบอกชอบใจขนาดนั้น”
       “ก็เรื่องขำขันทั่วไปน่ะ อั๊วลงทะเบียนไว้ เค้าก็เลยส่งมาให้อ่านทุกวัน”
      
       กิมลั้งเลี่ยงไปเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงความสนใจของกิมฮวย ระหว่างนั้นจาตุรงค์เดินถือถุงหมูแบบไม่เต็มใจจะจับ เดินเข้ามาหากิมฮวยด้วยเสียงอันดังมาแต่ไกล
       “หวัดดีคร้าบน้ากิมฮวย”
       ต๋องเห็นจาตุรงค์เข้าก็สนใจ รับรู้ได้ถึงลางไม่ดี
       “เอ้า อาใจอัง เอ้ย จาตุรงค์ ไปไงมาไงเนี่ย”
       “พอได้ยินว่าน้ากิมฮวยอยากทำสะเต๊ะ ป๊ากับแม่ให้ผมเอาหมูสันในมาฝากน่ะครับ”
       จาตุรงค์ยื่นถุงหมูให้กิมฮวยแบบแทบจะจีบนิ้วมือ กิมฮวยรีบรับไว้แล้วหันไปที่กิมลั้ง
       “เอ้อ อากิมลั้ง รู้จักพี่จาตุรงค์เค้ารึยัง”
       ทันทีที่จาตุรงค์เห็นหน้ากิมลั้งก็ตะลึงในความสวยน่ารักที่กำลังหัน มาพอดี ทำเอาอีกฝ่ายตะลึง เผลอลืมตัวจะยื่นมือไปทำความรู้จัก
       “หา หวัดดีครับน้องกิมลั้ง”
       ต๋องที่เห็นภาพดังกล่าวถึงกับไม่พอใจ กิมลั้งรีบดึงมือออกจากจาตุรงค์ จาตุรงค์ดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อย ต๋องเห็นแล้วปรี๊ดขึ้น ในที่สุดกิมลั้งก็สะบัดมือจนหลุดจากการเกาะกุมของจาตุรงค์ได้
       “อาจาตุรงค์จำน้องได้รึเปล่านี่ เคยเจอกันนานมากแล้ว ตั้งแต่ยังเด็กกันอยู่เลย”
       “จำได้ซิครับ ผมไม่เคยลืมน้องกิมลั้งเลย ตอนเด็กสวยสดใสยังไงโตมาก็สวยอย่างนั้น เป็นเพราะมีแม่พิมพ์ดีอย่างน้ากิมฮวยแท้ๆ”
       จาตุรงค์ชมกิมฮวยจนอีกฝ่ายถึงกับอายม้วน แต่ต๋องถึงกับอาเจียนใส่ในมุกของจาตุรงค์
       “อ้วก”
       กิมฮวย กิมลั้ง และจาตุรงค์หันไปที่ต้นเสียงทันทีจึงเห็นว่าเป็นต๋องซึ่งกำลังเดินผ่านแผงมา ต๋องบ่นพึมพำ
       “ทำไมวันนี้ตลาดมันเหม็นเน่าจัง ออกไปหาอากาศบริสุทธิ์ดีกว่า”
       ส่วนจาตุรงค์หลังจากได้รู้จักกิมลั้งแล้วรีบขอตัวออกไป
       “อุ๊ย ผมขอตัวก่อนนะครับ เผอิญนัดเพื่อนไว้”
       “งั้นก็เชิญเถอะจ้ะว่างๆก็แวะมาหากันนะ ถ้าน้าไม่อยู่ กิมลั้งก็อยู่แผงตลอดจ้ะ”
       “แล้วพี่จะแวะมาเยี่ยมนะครับน้องกิมลั้ง ลาล่ะครับน้ากิมฮวย”
       จาตุรงค์ออกไปได้ไม่นาน กิมฮวยก็รีบกระซิบกระซาบกับกิมลั้งเล่าสรรพคุณของจาตุรงค์ทันที
       “อาจาตุรงค์นี่ไง ลูกชายคนเดียวของเต๊กไฮ้ที่ม้าหมายหมั้นจะให้เป็นผัวลื้อ” กิมลั้งตกใจ
       “อะไรนะม้า”
       บ่ายวันนั้น ต๋อง เลื่อน และรักเร่ นั่งคุยกันอย่างเสียอารมณ์
       “ฮะ มีคนมาจีบกิมลั้ง” เลื่อนเอ่ยขึ้น
       “ที่สำคัญ น้ากิมฮวยดูจะเห็นดีเห็นงามจนออกนอกหน้าด้วย” ต๋องเล่าต่อ
       “เอ้า แบบนี้พี่ก็มีคู่แข่งแล้วซิ” รักเร่สำทับเข้าไปอีก
       “งานนี้เอ็งคิดว่าข้าจะยอมง่ายๆเหรอ” ต๋องเอาจริงเอาจัง
       “มันสำคัญว่ากิมลั้งเค้าจะยอมพี่รึเปล่าต่างหาก”
       “ไอ้เลื่อน พูดแบบนี้เหมือนดูถูกพี่ต๋องนะเว้ย เอ็งก็รู้ๆอยู่ว่าพี่ต๋องของเราน่ะมีเสน่ห์แค่ไหน ตั้งแต่มาอยู่นี่ไม่เห็นเหรอว่ามีแต่สาวๆเข้าหา”
       รักเร่ยังเชียร์และมั่นใจในตัวต๋อง
ขอขอบคุณจาก manager.co.th   

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น