วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครสาวน้อย ตอนที่ ๑๑ วันที่ 28 ก.ค. 55

 หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ และ ๒ ชายเดินมาใกล้ นิดและเสียมปล่อยมือจากกันพร้อมๆกับก้าวออกมาต้อนรับ เสียมห็นพระชาญชลาศัยมองตนเองจนตาไม่กระพริบ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นระคนแปลกใจ ส่วนชายอีกคนก็มองดูเสียมอย่างพิจารณา
       นิดมองดูพระชาญชลาศัยและรู้ทันทีว่าคือใคร หน้าก็เผือดลง จิตใจเริ่มหวั่นไหวต้องฝืนแข็งใจ
       “คุณอาหลวงมีอะไรหรือจ๊ะ”
       “มีคนอยากพบเธอและเสียม”
       พระชาญชลาศัยน้ำตาคลอก้าวออกมายืนมอง เหมือนจะเข้าจับตัวหรือโอบกอดเสียมแต่ก็ยั้งมือไว้
       “คุณลุงมีธุระอะไรกับผมหรือครับ”
       พระชาญชลาศัยสะอึก
       “ฉันเป็นพ่อของแก พ่อที่ทะเลาะกับแกจนแกหนีออกจากบ้านจนมาอยู่ที่นี่ไง”
       เสียมมองแล้วพยักหน้า หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์แนะนำ
       “เสียม นี่แหละพระชาญชลาศัย พ่อของเธอ”
       “ครับ คุณอาหลวงว่าใช่ก็ใช่”
       เสียมมีอาการไม่ยินดียินร้าย ส่วนพระชาญชลาศัยทั้งดีใจ เป็นทุกข์ เป็นห่วง และกังวลปนความไม่พอใจระคนกันไปหมด เสียมหันมาหานิด
       “นิดนี่พ่อพี่ นี่นิดเมียผม เราเพิ่งแต่งงานกันเมื่อวานนี้เอง”
       พระชาญชลาศัยถอนหายใจเล็กน้อย นิดยกมือไหว้พระชาญชลาศัยและชายอีกคนอย่างเรียบร้อย พระชาญชลาศัยฝืนยิ้มกับนิด
       “อ้อ หนูชื่อนิดซีนะ”
       “ค่ะ”
       “สรรค์ตลอด 6 เดือน แกอยู่ที่นี่เองหรือ”
       พระชาญชลาศัยมองดูสำรวจลูกชาย สรรค์ดูผิวคล้ำเกรียม ผมยาวขึ้นนุ่งกางเกงขาก๊วย มองแล้วก็ให้รู้สึกสมเพช เสียมยิ้มรับและพยักหน้า
       “อ้อ ผมชื่อสรรค์ซีนะ แต่ผมชอบชื่อเสียมมากกว่า ดีเหมือนกันที่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มีหัวนอนปลายเท้า แต่มันก็คงไม่เปลี่ยนอะไร ผมแต่งงานแล้วกับเมียผม แต่เราก็จะอยู่ด้วยกันที่สีชังนี่ตลอดไป”
       เสียมโอบเอวนิดดึงมาเคียงคู่ พระชาญชลาศัยสะอึกมองหน้าหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์นิ่ง
       “สรรค์ แกมองดูพ่อแล้วพยายามนึกหน่อยได้ไหมลูก ลองนึกให้ออก พ่ออยากให้แกจำทุกอย่างได้”
       พระชาญชลาศัยทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ้อนวอน เสียมขมวดคิ้วพยายามนึก ทันใดก็เข่าอ่อนทรุดลง
      
       “โอ้ย”
       “พี่เสียม” นิดเรียก
       “สรรค์ ลูก”
       พระชาญชลาศัยและนิดดึงเสียมให้นั่งลงบนแท่นหิน เสียมกุมหัวดวงตาพร่าพราง
       “พี่เสียม”
       “พี่ปวดหัวแล้วก็ปวดตาเหลือเกิน”
       “ขอผมดูอาการคุณสรรค์หน่อยครับ คุณพระกับ...หนูถอยออกมาก่อน”
       พระชาญชลาศัยกับนิดถอยออกมา หมอลิขิตนั่งลงตรวจดูอาการเสียม
      
       พระชาญชลาศัยเดินนำนิดห่างออกมา นิดยังคงเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยความเป็นห่วงเสียม พระชาญชลาศัยถอนใจแล้วคุยกับนิด
       “สรรค์หายไปจากกรุงเทพเกือบครึ่งปีแล้ว”
       “ฉันก็พบพี่เสียมเมื่อเกือบครึ่งปีแล้วเหมือนกัน เขากำลังจะจมน้ำตาย ฉันช่วยเขาขึ้นมาได้ พี่เสียมไม่มีที่ไปก็เลยอยู่กับเราที่นี่”
       “เธอเชื่อใช่ไหมว่าฉันเป็นพ่อของสรรค์จริง ๆ”
       “พี่เสียมกับท่านมีเค้าหน้าคล้ายกันจ้ะ”
       พระชาญชลาศัยพูดน้ำตาคลอ
       “เป็นบุญคุณของเธอเหลือเกินที่ช่วยลูกฉันไว้ นี่เขาไม่เคยพูดถึงบ้าน ถึงฉันบ้างเลยหรือ”
       “พี่เสียมบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลยจ้ะ ทุกครั้งที่เขาพยายามนึกก็จะปวดหัวรุนแรงแบบนี้”
       นิดกับพระชาญชลาศัยหันไปมองดูก็เห็นเสียมลุกขึ้นนั่งพูดกับหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ ส่วนหมอลิขิตลุกขึ้นเดินมาหา
       “เป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”
       “ตอนที่ถูกปล้น คุณสรรค์คงถูกตีศีรษะอย่างแรงจนสมองกระทบกระเทือน ทำให้สูญเสียความทรงจำ”
       “แต่ยังมีโอกาสหายใช่ไหมครับ”
       “นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เราต้องเป็นห่วง”
       พระชาญชลาศัยหน้าเผือดลง นิดใจหายวาบ
       “อะไรหรือคะ”
       “ผมคิดว่าคุณสรรค์มีเลือดออกในสมองและมีลิ่มเลือดอุดตันอยู่ ที่ทำให้เขาปวดหัวรุนแรงแบบนี้”
       “แต่ก่อนพี่เสียมนาน ๆ ถึงจะมีอาการทีนึงจ้ะ แต่มาช่วงหลังนี่พี่เสียมเป็นบ่อยขึ้นแทบจะทุกวัน”
       “แปลว่าอาการเขาแย่ลง ถ้าไม่รีบแก้ไขอาการก็จะทรุดหนักขึ้น จนถึงกับตาบอดหรือวิกลจริตไปได้”
      
       พระชาญชลาศัยได้ยินถึงกับผงะ ส่วนนิดกุมอกตัวเองอย่างตกใจ
       “คุณพระช่วย”
       “หมอ...แต่ยังมีทางช่วยใช่ไหม”
       “เขาต้องรับการผ่าตัดให้เร็วที่สุด ที่โรงพยาบาลของผมมีเครื่องมือพร้อม แต่เมื่อกี๊ผมบอกเขา คุณสรรค์บอกไม่ยอมไปท่าเดียว”
       นิดนิ่งอั้นมองดูเสียม พระชาญชลาศัยมีสีหน้าราวจะร้องไห้พูดกับนิด
       “หนู...เราจะทำยังไงดี”
       นิดพยักหน้าช้า ๆ
      
       เสียมนั่งบนแท่นหินสีหน้าไม่ยินดียินร้าย หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มองอย่างอ่อนใจ นิดก้าวเข้ามาตรงหน้า เสียมแหงนดูนิด หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ถอยออกไป นิดจับมือเสียมแล้วคุกเข่าลงกับพื้นทราย มองเสียมอย่างอ้อนวอน
       “พี่เสียมจ๋า”
       เสียมมองอย่างสุดรักรับคำเบา ๆ
       “นิดอยากเห็นกรุงเทพ พี่เสียมพานิดไปกรุงเทพด้วยกันนะจ๊ะ”
       ทางด้านหลัง พระชาญชลาศัย หมอลิขิต และหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มองลุ้นอยู่แล้วพากันโล่งใจไปตามกัน
   ยามสาย ที่บริเวณชานเรือนบ้านนิด พระชาญชลาศัย หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์และหมอลิขิต นั่งอยู่บนเก้าอี้ชุดรับแขก นางนิ่ม เนื่อง และเสียมนั่งบนยกพื้นเรือน พระชาญมองดูรอบ ๆ อย่างแปลกใจเล็กน้อยที่สภาพบ้านที่เสียมทำไว้ดูดีกว่าที่คิดไว้
       “โธ๋เอ๋ยเสียม ทำไมโชคร้ายอย่างนี้ เพิ่งแต่งงานแต่งการแทนที่จะได้เข้าหอ แต่กลับต้องเข้าโรงมดโรงหมอแทน” นางนิ่มว่า
       เนื่องเอียงหน้ากระซิบกับแม่
       “สงสัยหลวงพ่อจะมาตาทิพย์นะแม่ ถึงให้ฤกษ์ส่งตัวต่างหาก”
       นางนิ่มลืมตาโพลง
       “อุ๊ย ท่าจะจริง”
       “อะไรหรือแม่นิ่ม” พิจารณ์สันติราษฎร์ถาม
       “ไม่มีอะไรค่ะ”
       “จะว่าโชคร้ายไม่ได้หรอกนะเรียกว่าโชคดีต่างหาก พ่อลูกได้เจอหน้ากัน แถมเสียม เอ๊ย สรรค์ยังจะได้รักษาโรคความจำเสื่อมนี้ด้วย”
       “แต่ถึงผมจำอะไรไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร อยู่อย่างนี้ก็สบายดีทุกอย่าง” เสียมบอก
       พระชาญชลาศัยมีความไม่พอใจวูบขึ้นมา แต่ต้องทำใจเย็นปลอบ
       “แต่ลูกจะจำเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องที่กรุงเทพได้ แล้วยังวิชาความรู้ที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา ตำแหน่งหน้าที่ในกระทรวงก็ยังรอลูกอยู่”
       “ผมไม่อยากเป็นข้าราชการ ผมอยากเขียนรูปมากกว่า”
       พระชาญนิ่งอั้น มองหน้าหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์นิ่ง
       “เอาล่ะ เอาล่ะ แล้วเอาไว้ว่ากันอีกที”
       นางนิ่มหันมาหาพระชาญชลาศัย
       “พอพ่อเสียมหายดีแล้ว ยายนิดกับพ่อเสียมต้องอยู่กรุงเทพฯตลอดไปเลยหรือเจ้าคะ”
       “ก็ต้องอย่างนั้นซี แม่นิ่มอย่าห่วงลูกสาวเลย ฉันจะดูแลอย่างดี”
       “แต่ผมไม่อยากอยู่บางกอก พอผมหายดีผมจะรีบพานิดกลับมาหาแม่”
       พระชาญชลาศัยยิ่งไม่พอใจแต่ข่มใจไว้
       “ผมต้องพักฟื้นนานไหมครับ”
       เสียมถามหมอลิขิต
       “น่าจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลราว ๆ สิบวัน”
       “ไปแค่สิบวันเท่านั้นเอง ผมก็กลับมาแล้ว”
       เสียมพูดกับแม่นิ่ม แม่นิ่มมองพระชาญชลาศัยอย่างขลาด ๆ
       “แต่คุณพระก็คงอยากให้เสียมอยู่ด้วยกันที่โน่นมากกว่า”
       “แต่ผม...”
       “เอาเถอะ เรื่องปลีกย่อยพวกนี้ค่อยเอาไว้พูดกันทีหลัง ตอนนี้เอาเรื่องรักษาตัวเป็นหลักก่อน”
       พระชาญชลาศัยพยายามข่มความไม่พอใจอย่างสุดความสามารถ
      
       ภายในห้องนอนเวลาต่อมา นิดเอากระเป๋าเดินทางใบย่อมวางบนพื้น มีเสื้อและผ้าซิ่นพับแล้ววางเป็นตั้งบนที่นอน แก้วหน้าตาไม่เสบยนั่งอยู่ข้าง ๆ นิดทยอยหยิบเสื้อผ้าใส่กระเป๋า
       “ตัวนี้ล่ะ” นิดถาม
       “อุ๊ย เก่าจนสีซีดเเล้ว”
       นิดเอาเสื้อวางไว้อีกกองหนึ่ง แล้วหยิบตัวต่อไปมาให้แก้วดู
       “แล้วตัวนี้ล่ะ”
       “พอใช้ได้”
       นิดยิ้มเล็กน้อยแล้วหยิบเสื้อที่ผ่านการพิจารณาลงใส่ในกระเป๋า แก้วชักหน้าเสีย
       “นี่แกจะไปจริงเหรอ”
       “เห็นพี่เสียมว่าจะไปแค่อาทิตย์สองอาทิตย์เท่านั้น”
       “แล้วแกไม่อยากไปอยู่เป็นคุณนายที่กรุงเทพฯหรือ”
       “อยากไปเปิดหูเปิดตาเฉย ๆ แต่ไม่อยากไปเป็นคุณนาย แล้วก็ไม่อยากอยู่ที่กรุงเทพฯด้วย”
       นิดเริ่มกังวลขึ้นมาอีก แก้วยิ้มยั่ว
       “ทำไมเหรอ หรือว่าแกกลัวนายเสียมหายแล้วจะไปหลงรักสาวชาวกรุง ให้แกอกหักดังเป๊าะ”
       “แก้ว!”
       นิดหน้าเผือดลง ไม่ยอมต่อปากต่อคำอย่างนึกสนุกด้วย แก้วเปลี่ยนท่าทีขยับมา
       “ตายแล้วฉันพูดเล่น ทำไมถึงหน้าซีดหน้าเซียว โธ่ นายเสียมน่ะรักเดียวใจเดียวจะตายไป”
       “แกว่าอย่างนั้นหรือ” นิดถาม
       “จริง ๆ เออนี่ ถ้าแกไปอยู่กรุงเทพฯ ไปเป็นคุณนายอยู่ตึกจริง แกก็เอาฉันไปเป็นนางเล็ก ๆ ซักคน”
       “นางเล็ก ๆ ที่แปลว่าเมียน้อยนะเหรอ”
       แก้วตาเหลือกตีนิด เพียะ! นิดยิ้ม
       “นางเล็ก ๆ ที่แปลว่านางต้นห้องที่พวกผู้ดีเขามีกันตะหากย่ะ”
       “แต่ฉันไม่ใช่ผู้ดีซักหน่อย .. ผู้ดี มันต้องแบบนี้ต่างหาก”
       นิดหยิบนิตยสารหน้าปกสุวลีมาดู หน้าเริ่มหมองลงแล้วเอานิตยสารเล่มนั้นใส่ลงไปในกระเป๋าด้วย
      
       ภายในเรือนหอบนเกาะวิมานน้อย เสียมหยิบเสื้อผ้าเพียง 2 ชุดลงกระเป๋าเดินทาง นิดหยิบดอกไม้ออกจากแจกันแล้วเทน้ำทิ้งลงนอกหน้าต่าง
       “พี่เสียมเอาเสื้อผ้าไปแค่นั้นเองหรือจ๊ะ”
       “เอาไปทำไมเยอะแยะ”
       “นิดลืมไปว่า พี่เสียมคงมีเสื้อผ้าดี ๆ ตั้งเยอะอยู่ที่บ้านที่กรุงเทพฯ”
       “พี่หมายความว่า เอาไปทำไมเยอะแยะ อีกไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว”
       นิดยิ้มออก คลี่ผ้าออกคลุมเตียง เสียมเข้าสวมกอดจากด้านหลัง
       “ฤกษ์ส่งตัววันมะรืนแล้ว พี่จะทำยังไงดีนี่”
       “วันมะรืนพี่เสียมคงนอนเจ็บแผลอยู่มากกว่า”
       เสียมก้มลงจูบแก้มนิด
       “นี่แน่ะ...มาแช่งพี่”
       นิดดิ้นหลุดออกมาแล้วหน้าเสียไปนิดหนึ่งเมื่อนึกได้ว่าการผ่าตัดมีอันตรายจึงรีบพูดระล่ำระลัก
       “นิดขอโทษจ๊ะ นิดลืมไป หมอคนนี้ท่าทางเก่ง พี่เสียมคงไม่เจ็บหรอกจ๊ะ”
       เสียมยิ้มเอ็นดู
       “ใช่พี่จะรีบหายแล้วจะได้รีบกลับมาวัดเชิงหาด”
       “มาทำไมกันจ๊ะ”
       “มารอฤกษ์ส่งตัวใหม่จากหลวงพ่อไง”
      
       เสียมหิ้วกระเป๋าหนังเทียมใบเล็กเดินลงบันไดหิน เสียมและนิดยืนอยู่ตรงลานแล้วหันไปมองดูเรือนหอที่ตอนนี้ปิดหน้าต่างทุกบาน ดอกไม้รอบ ๆ ยังเบ่งบานสะพรั่ง ลมแรงพัดมา ทั้งคู่เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ประหลาดแต่ข่มไว้
       “พี่เสียมเราไปกันเถอะจ๊ะ เรือรออยู่”
       เสียมพยักหน้า ทั้งคู่เดินจากเรือนหอมา ลมแรงพัดมาอีก ดอกไม้โรยปลิดปลิวไปตามลง
       บริเวณท่าเรือหน้าเกาะสีชัง เรือเร็วสีขาวสะอาดที่พระชาญชลาศัยเช่ามาดูหรูหราทันสมัย จอดเทียบท่าอยู่กับเรือเก่าคร่ำคร่าอีกลำหนึ่ง
       ทับทิมกางร่มหรูยืนอยู่กับนางแส และบรรดาชาวบ้านทั้งสาวทั้งแก่จำนวนหนึ่ง เนื่องกับเเก้วถือกระเป๋า และชะลอมใส่ผลไม้พวกน้อยหน่า ทับทิม มะละกอ รวมทั้งตะกร้าไข่ไก่เดินมายืน เชิดอยู่
       ต่อจากนั้นแล้วยังมีลูกน้องแม้น 2 คนถือเปลทำเองหามร่างแม้นเดินมากับพ่อของแม้น ในยามนั้น แม้นรู้ตัวสะลึมสะลือใบหน้าฟกช้ำ ตามแขนขาก็มีผ้าพัน แก้วตาเบิกกว้างแล้วพูดขึ้น
       “ต๊าย ไอ้แม้นเป็นอะไรไปนี่ ผู้ใหญ่”
       “ข้าเบื่อพูดแล้ว”
       ทับทิมก้าวเข้ามาทำตัวเป็นผู้รู้ทันที
       “อุ๊ย นี่แกไม่รู้หรอกเหรอไปอยู่หลังเขาที่ไหน พี่แม้นไม่รู้เมาอีท่าไหน ตกเขาไปโดนหินสลบไสล นี่ก็เลยจะไปส่งโรงหมอที่เมืองชล”
       “โดนหินเหรอ” แก้วถาม
       “สารรูปเหมือนโดนตีนมากกว่า” เนื่องบอก
       แม้นลืมตาครางอ๋อย จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นอะไร เรือเร็วเปิดหวูด ทุกคนหันมามอง
       “เรือนี่โก้จังเลย สงสัยมีพวกผู้ดีจากกรุงเทพฯมาเที่ยวอีกเเล้ว” ทับทิมบอก
       “อุ๊ยไม่ใช่ นี่เรือพระชาน...ชาน เอ้ย ชานชาลารถไฟ ปลัดกระทรวง...อ้าท้องพระคลังมหาสมบัติ”
       แก้วแต่งยศตำแหน่งเองใส่ไข่เต็มที่ เนื่องรำพึงเบา ๆ
       “มีด้วยหรือวะ”
       “อุ๊ยนี่แกไม่รู้หรอกเหรอไปขายกะปิอยู่ที่ไหน” แก้วย้อน
       ทับทิมกับนางแสตาเขียว แก้วพูดต่อ
       “นี่พ่อนายเสียมเขามารับเสียมกะนิดไปกรุงเทพฯ เรือนหอน่ะเป็นตึกสูงเจ็ดชั้น แถมยังซื้อรถยนต์ให้ รับขวัญสะใภ้เอกอีก”
       “เอาเข้าไป นังแก้วเอ๊ย”
       ทับทิมเชื่อแก้วทุกคำ แต่ร่ำร้องเสียงเครือ
       “ไม่จริง”
       “จริงหรือไม่จริงก็มาโน่นแล้ว”
      
       ทุกคนมองไปเห็นหลวงพิจารณ์ หมอลิขิต นางนิ่ม เดินมา พระชาญชลาศัยเดินเคียงข้างเสียมและนิดตรงมาจะขึ้นเรือ ทับทิมเอามือกุมอกเซแซ่ด ๆ ไปจนนางแสต้องประคองลูกสาวไว้
       “ฮือ พี่เสียมไม่ใช่จับกัง แต่เป็นลูกผู้ดีนักเรียนยุโรปปลอมตัวมา”
       บรรดาชาวบ้านวิจารณ์กันเซ็งแซ่ ชื่นชมในตัวเสียม แก้วยิ้มสะใจ
 เรือเร็วลำขาวสะอาดเปิดหวูดอีก แก้ว เนื่องเอาชะลอมผลไม้ของฝากอื่น ๆ ลงเรือ นิดกับเสียมร่ำลานางนิ่ม พระชาญชลาศัยยืนกับหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์อยู่ห่างออกมา เนื่องกับแก้วมารวมกลุ่ม
       “แม่อย่าร้องไห้ซีจ๊ะ”
       “แม่ร้องเพราะปลื้มใจน่ะ พอถึงแล้วอย่าลืมทิ้งหนังสือมาถึงแม่นะลูก”
       “เขาเรียกจดหมาย” เนื่องบอก
       นางนิ่มค้อนลูกชายแล้วหันไปหาพระชาญชลาศัย
       “ฉันฝากนิดด้วยนะจ๊ะ คุณพระ นึกซะว่าเป็นลูกหลานอบรมสั่งสอนให้เต็มที่”
       พระชาญชลาศัยมีแววอึ้งวูบหนึ่งแล้วบอก
       “ฉันจะดูแลให้ดี แม่นิ่มอย่าห่วงเลย”
       “ฉันรับรองได้ คุณพระชาญจะดูแลนิดอย่างดีที่สุด”
       นิดสั่งเสียเนื่องและแก้ว
       “พี่เนื่องเอาน้ำไปรดต้นไม้บ้างนะจ๊ะ แล้วก็อย่าทำอะไรไก่ชั้น ฝากดูแม่ดี ๆ ด้วย”
       “เออน่ะ”
       “แล้วฉันจะซื้อ เสื้อเชิร์ตสวย ๆ มาฝาก กับหมวกด้วย”
       “แก้วดูแลตัวเองดี ๆ นะ ฉันฝากพี่เนื่องด้วย”
       “หา! ฝากทำไม”
       “ใช่ พี่เนื่องต่างหากที่ควรจะดูแลฉัน”
       เสียมยังคงปลอบนางนิ่ม
       “ฉันจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด ฉันไม่อยู่กรุงเทพฯหรอกแม่”
       พระชาญชลาศัยหน้าตึงพลางขยับถอยออกมา หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ตามมาด้วย
       “คงจะร่ำลากันอีกนาน”
       “คุณพระ ยายนิดเป็นเด็กดี ท่านต้องเมตตาให้มาก ๆ แกทั้งสะสวยทั้งฉลาด ถ้าได้อบรมแต่งตัวดี ๆ ก็จะเป็นลูกสะใภ้ที่ท่านจะไม่น้อยหน้าใครแน่ ๆ”
       พระชาญชลาศัยยิ้มน้อยๆ แล้วเหลือบดูนิด
       “คุณหลวงว่าอย่างงั้นหรือ”
      
       หลวงพิจารณ์มองพระชาญชลาศัยมีแววบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
       “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ช่วยส่งแกกลับมาที่นี่ให้ได้ ให้แกกลับมาสีชังนี่ เพราะผมรับรองคุณพระเอาไว้มาก กรุณาอย่าให้ผมเสียคนด้วย”
       “คุณหลวงพูดอะไรอย่างนั้น”
       เรือเปิดหวูดอีกครั้ง นิดใจหาย แก้วกับเนื่องมองนิดนิ่งด้วยสีหน้าที่ขรึมลงแล้วพูดกับเสียม
       “ดูแลนิดให้ดี...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันกะไอ้เชิดจะไม่ยกโทษให้แก”
       นิดตาเบิกกว้าง เสียมยิ้มจับมือเนื่อง เนื่องยิ้มตอบ บรรยากาศกลับเป็นดังเดิม
       “ฉันรับรอง”
       เสียมพูดอย่างมั่นใจ พระชาญชลาศัยมองดูเสียมอย่างครุ่นคิด
      
       บนเรือนิดกับเสียมนั่งอยู่ท้ายเรืออิงแอบเบียดชิด พูดคุยกัน ๒ คนโดยไม่สนใจอะไรในโลก
       พระชาญชลาศัยนั่งสนทนากับหมอลิขิตเรื่องเตรียมการผ่าตัดซึ่งคาดว่าจะ ทำได้ในเย็นวันนี้เลย หมอขอตัวแยกไป พระชาญชลาศัยหันมามองเสียมและนิดอีกครั้ง สีหน้าพระชาญชลาศัยเปลี่ยนไปกลายเป็นรำคาญ เย็นชา รังเกียจแทรกขึ้นมาแทนที่
      
       โรงพยาบาล เนิร์สซิ่ง โฮม ในเวลากลางคืน เปิดไฟสว่างไสว รถยนต์แล่นมาจอดลง พระชาญชลาศัย หมอลิขิต นิดและเสียมก้าวลงมาจากรถ
      
       โรงพยาบาล เนิร์สซิ่ง โฮม ถนนคอนแวนต์ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๑
      
       ห้องคนไข้ดูขาวสว่างโพลน เสียมนั่งเอนอยู่บนเตียง หมอลิขิตอยู่ข้างเตียง นางพยาบาลส่งชาร์ตให้หมอ พระชาญชลาศัยอยู่ข้างเตียงเช่นกัน นิดอยู่คนเดียวที่โดดเดี่ยวอยู่ตรงมุมห้องราวเป็นส่วนเกิน หมอเงยหน้าจากชาร์ตขึ้นมา
       “ร่างกายแข็งแรงดีมาก อย่างนี้รับการผ่าตัดได้แน่”
       “หมอจะผ่าตัดผมเมื่อไร”
       “เท่าที่ผมดูอาการ เราควรจะผ่าตัดให้เร็วที่สุด”
       เสียมมองดูนิดเเล้วยิ้มให้
       “นิด มานี่เถอะ”
       นิดเดินมาที่เตียง นางพยาบาลแอบมองนิดอย่างเหยียดๆ
       “คุณหมอการผ่าตัดอันตรายมากไหมจ๊ะ”
       หมอลิขิตยิ้มแล้วตอบ
       “ขึ้นชื่อว่าการผ่าตัดก็มีอันตรายได้ทั้งนั้นและนี่ยิ่งเป็นการผ่าตัดสมองยิ่งอันตรายมากขึ้นไปอีก”
      
       นิดหน้าซีดกุมมือเสียมที่ฝืนยิ้มให้
       “แต่ว่าทีมหมอของเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง เคยผ่าตัดแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง”
       “แล้วคนไข้ปลอดภัยทุกครั้งไหมจ๊ะ”
       “ปลอดภัยซี”
       นิดก็ยังลังเลอยู่ เสียมตัดสินใจเด็ดขาด
       “ผมอยากผ่าตัดให้เร็วที่สุด”
       “ถ้าเร็วที่สุดอีกแปดชั่วโมงก็พร้อมครับ” หมอลิขิตบอก
       “งั้นผ่าตัดผมเสียคืนนี้เลย ผมไม่อยากรอต่อไปอีกเเล้ว”
       “แน่ใจหรือลูก” พระชาญชลาศัยถาม
       “ครับ”
       “งั้นระหว่างนี้คุณควรนอนพักและทำจิตใจให้สบายที่สุด”
       “ดิฉันขออยู่กับพี่เสียมได้ไหมจ๊ะ”
       “ได้ซี หมอขอตัวก่อน”
       หมอลิขิตและนางพยาบาลเดินออกจากห้องคนไข้ไป
       “งั้นหนูอยู่กับสรรค์ที่นี่ พ่อจะกลับไปบ้านก่อนอีกซักชั่วโมงนึงจะกลับมาใหม่”
       เสียมกับนิดรับคำ พระชาญชลาศัยเดินออกไป นิดนั่งหมิ่น ๆ อยู่บนเตียงคนไข้ เสียมโอบไว้
       “พี่เสียมหิวไหมจ๊ะ”
       “หิวซี หมอให้พี่อดข้าวอดน้ำตั้งแต่บ่าย”
       “งั้นจะทำยังไงดีจ๊ะ”
       “มีนิดอยู่ใกล้ ๆ พี่กินนิดแทนดีกว่า”
       นิดมองค้อน
      
       ในเวลาต่อมา รถของพระชาญชลาศัยเเล่นมาจอดหน้าเทอเรชบ้านโพธิธารา บัวเดินตามหลังพระชาญชลาศัยโดยถือกระเป๋าเสื้อผ้าของสรรค์และนิดมาด้วย สมพงษ์ถือชะลอมผลไม้ และตะกร้าไข่ตามมา มารศรีลุกขึ้นจากโซฟา แม่ผินก้าวมาจากแพนทรี
       “คุณพระมาแล้วหรือคะ” แม่ผินทัก
       “นี่ขนอะไรกันมาเยอะแยะคะนี่” มารศรีถาม
       พระชาญชลาศัยเหลือบมอง แม่ผินเข้าไปรับกระเป๋าเสื้อผ้ามาจากบัว
       “นี่แกสองคนเอาของลงไปครัวก่อน” ผินสั่งอย่างรู้งาน
       บัวเเละสมพงษ์สบตากันนึกสงสัยในท่าทีมีลับลมคมใน แต่ก็ขนชะลอมตะกร้าออกไป
       “คุณสรรค์ละคะ” ผินถาม
       “อยู่โรงพยาบาลเตรียมตัวรอผ่าตัดอยู่”
       “โธ่คุณหนู ทำไมรวดเร็วอย่างนี้ละคะ”
       “หมอกลัวว่าถ้ายิ่งรอไปจะยิ่งเป็นอันตราย”
       พระชาญชลาศัยนั่งลงด้วยสีหน้าเครียด มารศรียิ้มนิด ๆ นั่งลงด้วย
       “แล้วลูกสะใภ้ชาวเกาะของคุณพระละคะ”
       พระชาญชลาศัยชะงักสีหน้าไม่พอใจ แม่ผินร้องเชอะสะบัดหน้าพรืด
       “ก็มาด้วย แต่ห่วงผัวเฝ้าเจ้าสรรค์ไม่ยอมไปไหน”
       “โถ คงกลัวใครจะมาพรากผัวพรากเมียให้จากกันมั้งคะ”
       มารศรีพูดยิ้ม ๆ เหมือนพูดเย้า
       “ใครจะไปทำยังงั้น”
       พระชาญชลาศัยมองดูกระเป๋าเสื้อผ้าที่แม่ผินถือไว้แล้วบอก
       “นั่นเสื้อผ้าเมียเจ้าสรรค์”
       แม่ผินทำท่าขยะแขยงแทบจะโยนทิ้ง
       “เดี๋ยวเตรียมห้องเตรียมหับให้ด้วย เอาห้องพักแขกห้องเล็กก็แล้วกัน”
       “อ้าว ไม่ให้นอนห้องคุณสรรค์หรือคะ” มารศรีถาม
       “อย่าดีกว่าแล้วก็เงียบ ๆ ไว้ อย่าเพิ่งกระโตกกระตากไป”
       “ค่ะ อิฉันไม่อยากจะพูดหรอก ระวังแต่คนอื่นเถอะ” ผินพูดแขวะ
       มารศรียิ้ม
       “ถ้าแม่หนูชาวเกาะต้องมาเป็นสะใภ้บ้านนี้จริง แล้วจะปิดข่าวปิดความไปได้ถึงเมื่อไรกันคะ”
       แม่ผินสะบัดหน้าพรืดอีก พระชาญชลาศัยหนักใจ
      
       ภายในห้องคนไข้ เสียมนั่งอยู่บนเตียง นิดเดินไปที่หน้าต่างที่ปิดม่านไว้มองพระจันทร์เต็มดวงบนฟ้าที่ไม่สว่างนัก นิดมองดูแล้วพูดขึ้น
       “ทำไมพระจันทร์ที่เมืองกรุงเทพฯดวงเล็กกว่าที่สีชังละจ๊ะ”
       “พระจันทร์คงเห็นคนกรุงเทพฯมีไฟฟ้าใช้สว่างพอแล้วมั้งจ๊ะ”
       นิดกลับมานั่งข้างเสียม ทั้งคู่ทอดสายตามองดูพระจันทร์ที่นอกหน้าต่าง นิดอิงแอบ เสียมเอาคางกดลงบนเส้นผมยาวสลวย
       “นิด”
       “จ๊ะ พี่เสียม”
       “ถ้าพี่ไม่ตื่นขึ้นมาอีกล่ะ”
       นิดผละออกมองดู เสียมมีแววหวาดหวั่น นิดยิ้มปลอบ
       “อย่าพูดอย่างงั้นซีจ๊ะ พี่เสียมจะตื่นขึ้นมาแล้วหายดีต่างหาก”
       “แต่พี่กลัว ไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวจะไม่ได้เจอนิดอีก”
      
       นิดน้ำตาคลอไม่อาจพูดได้ว่าตนนั้นกลัวยิ่งกว่า
       “ฮือพี่เสียมคิดมากไปแล้ว นิดอยู่ตรงนี้...ไม่มีวันจากพี่เสียมไปไหน”
       เสียมมองนิดอย่างรักหมดหัวใจ
       “เรามาคิดว่าตอนพี่เสียมหายดีแล้วจะทำอะไรดีกว่า”
       “นั่นซี...ทำอะไรดีนะ”
       นิดอิงแอบเสียมมองดูพระจันทร์บนฟ้ากันใหม่
       “พี่เสียมขับรถพานิดชมกรุงเทพฯดีไหมจ๊ะ”
       “ได้ซี ตอบแทนที่นิดเคยพายเรือพาพี่ไปเที่ยวทั่วสีชัง”
       “หรือไม่ก็พานิดไปเที่ยวงานฉลองรัฐธรรมนูญ” นิดว่า
       “เหมือนที่นิดเคี่ยวเข็นให้พี่ไปงานวัดเชิงหาด”
       “หรือไม่ก็พานิดไปดูละครปราโมทัย”
       “นิดจะไปดูทำไมกัน”
       “ทำไมหรือจ๊ะ”
       “ไม่มีนางละครคนไหนร้องเพลงเพราะเท่านิดอีกแล้ว” เสียมว่า
       นิดค้อนเสียมแนบหน้าลง ปากจูบแก้ม
       ประตูเปิดออก นางพยาบาลเข้ามามองดูคู่รักพลางทำตาโตเท่าไข่ห่าน
       “ว้าย”
      
       หมอลิขิตกับพระชาญชลาศัยก้าวเท้าตามเข้ามา หมอมีแววอมยิ้ม แต่พระชาญมีอาการอายแทน เสียมกับนิดขยับถอยจากกัน นางพยาบาลเชิดหน้าราวกับเห็นเรื่องผิดจารีตขนาดใหญ่
       “ได้เวลาผ่าตัดแล้วลูก”
       “ดูท่าคนไข้จะได้กำลังใจเต็มที่นะครับ” หมอลิขิตบอก
       เสียมยิ้ม นิดเขินหน้าแดง
ขอขอบคุณจาก manager.co.th     

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น