วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครชิงนาง ตอนที่ 4 (ต่อ) วันที่ 23 ก.ค. 55

พฤกษ์อยู่ที่หน้าโถงใหญ่ของบ้านแสนสมุทร ชายหนุ่มกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน เสียงศรีเรือนดังลงจากชั้นบน
      
       “กลับบ้านได้แล้วเหรอ?”
       พฤกษ์มองตามเสียงขึ้นไป เห็นศรีเรือนยืนมองเขาอยู่ที่หน้าต่างห้อง พฤกษ์ยกมือไหว้
       “ถ้าไม่ใช่เพราะวันเกิดน้อง คงไม่คิดจะกลับมาเหยียบบ้านหลังนี้แล้วล่ะสิ” ศรีเรือนค่อนขอด
       พฤกษ์ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับคำประชดของย่า ชายหนุ่มตัดสินใจเดินฉีกไปทางหลังบ้าน ศรีเรือนมองตามพฤกษ์..ยังไม่หายเคือง
      
       วงเดือนนั่งหลับอยู่ที่หน้าเรือนพัก ทั้งที่มือยังถักนิตติ้งคาอยู่ เสื้อเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว พฤกษ์เดินเข้ามาที่หน้าเรือน มองวงเดือนที่นั่งหลับอยู่
       พฤกษ์ขยับเข้าไปใกล้จะปลุก “เดือน...”
       วงเดือนครางออกมา “อือ...” แล้วขยับตัวเบือนหน้าไปอีกทาง ยังไม่ตื่น
       พฤกษ์มองจับอาการวงเดือน ยิ้มๆ
      
       พฤกษ์อุ้มวงเดือนเข้ามาในห้อง ค่อยๆวางวงเดือนลงบนเตียง พฤกษ์มองไปเห็นรูปของสามพี่น้องที่ถ่ายกับวงเดือนวางอยู่ที่โต๊ะข้างหัว เตียง จ้องที่ใบหน้าภูผากับวงเดือน
       พฤกษ์รู้สึกผิด “ภูผา...พี่ขอโทษ”
       พฤกษ์หันมองหน้าวงเดือนอีกครั้ง ใบหน้าวงเดือนขณะหลับตาพริ้มดูสวยนิ่ง น่าประทับใจ
       พฤกษ์มองอย่างหลงใหล พลางใช้มือเกลี่ยเส้นผมให้พ้นจากใบหน้าวงเดือน พฤกษ์ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อย่างอดใจไว้ไม่ไหว
       พฤกษ์ขยับหน้าเข้าไปใกล้แก้มวงเดือนทุกที
       จังหวะนั้นวงเดือนละเมอออกมาเบาๆ “คุณผา”
       พฤกษ์ชะงักได้สติ ผละออกมา มองวงเดือนด้วยสายตาเจ็บปวด แล้วลุกขึ้นหันหลังเดินออกไป วงเดือนนอนหลับไม่รู้เรื่อง
      
       ที่ไร่ชาเช้าวันต่อมา
       สว่างเดินนำภูผา หนูนาและดอยลงมาที่ไร่ เห็นต้นชาที่เริ่มแตกยอดเขียวสวย ท่ามกลางหมอกจางๆ
       “ชาแตกยอดแล้ว” ดอยดี๊ด๊ากระโดดโลดเต้นดีใจยกใหญ่ “วู้!”
       ภูผาทอดสายตามองไปด้วยความภูมิใจ
       “หลังจากนี้เราจะตัดแต่งพุ่ม เพื่อรักษาระดับความสูง แล้วก็ช่วยเพิ่มผลผลิตด้วยครับ” สว่างว่า
       “อีกไม่นานก็จะเก็บเกี่ยวผลผลิต...” หนูนาบอก
       ดอยพูดต่อประโยคของหนูนา “..เอาไปขาย!” เด็กหญิงจอมแก่นทำท่าตะโกนขาย “เร่เข้ามาๆ ชาห๊อมหอม รสชาติดี๊ดี ชาจากไร่...” หยุดกึก คิดแล้วหันหาลุง “ไร่อะไรอ่ะลุงหว่างขา”
       สว่างพูดกับภูผา “ตรงนี้สำคัญนะครับนาย เพราะจะเป็นชื่อชาของเราด้วย เราต้องมีชื่อให้คนรู้ว่าเป็นชาที่มาจากไร่...”
       ภูผาเอ่ยสั้นๆ ห้วน “วงเดือน”
       สว่างกับหนูนาชะงัก
       “ไร่วงเดือน!” ภูผาย้ำ
       “ครับ..ผมจะรีบให้คนงานติดป้ายชื่อไร่ให้เร็วที่สุด”
       ดอยร้องขายต่อ “เร่เข้ามาๆ ชาไร่วงเดือน ห๊อมหอม รสชาติดี๊ดี”
       นาทีนั้นหนูนาแอบมองภูผาด้วยสีหน้าสะเทือนใจ
      
       ไม่นานต่อมาศรีเรือนตกใจมากเมื่อรู้ข่าวจากแดนไกล
       “ภูผาตั้งชื่อว่าไร่วงเดือน!”
      
       สว่างอยู่ที่ตลาดในเมือง กำลังคุยโทรศัพท์รายงานอยู่ที่ร้านในตลาด
       “ใช่ครับ แล้วตอนนี้นายภูผามุ่งมั่นตั้งใจกับไร่ชามากครับ ยังเคยบอกผมว่าสักวัน..จะกลับไปพาหัวใจของนายมาที่นี่ครับ”
       ศรีเรือนเครียดนัก “ฝากนายสว่างดูแลหลานฉันด้วยนะ”
       หนูนาถือถุงของเข้ามาด้านหลังสว่าง
       “ครับคุณท่าน สวัสดีครับ” สว่างวางสายแล้วหันมาเจอหนูนายืนอยู่ก็ตกใจ “เฮ้ย”
       หนูนาสงสัย “ใครคือคุณท่านอ่ะลุง”
       “ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง” สว่างเดินหนี
       หนูนาเดินตาม ซักไซ้ “ลุงโทรหาใคร?”
       สว่างถอนหายใจเฮือก แล้วหยุดตอบ “คุณย่านายภูผา พอใจรึยัง”
       สว่างเดินออกไป หนูนาจะตาม เจ้าของร้านที่ให้บริการโทรศัพท์รีบออกมา
       “หนูนา! น้าหว่างลืมสมุดนี่ เอาไปด้วย”
       หนูนารับมาเห็นเป็นสมุดเล่มเล็กๆ หนูนาเปิดดูเห็นเบอร์โทรศัพท์
       “บ้านแสนสมุทร...” หนูนาพึมพำ หันไปพูดกับแม่ค้า “พี่จ๊ะ ฉันขอยืมปากกาหน่อยสิ”
       แม่ค้าส่งปากกาให้ หนูนาฉีกกระดาษเปล่าด้านหลังสมุดแล้วจดเบอร์โทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋าตัวเอง
      
       ศรีเรือนลงนั่งมองโทรศัพท์นิ่ง สีหน้ากังวลอยู่
       “ภูผาจะกลับมา”
       ชอุ่มเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาในห้อง
       “คุณท่านคะ คุณผู้ชายให้มาเรียนว่าพร้อมแล้วค่ะ”
       ศรีเรือนสั่ง “ไปเชิญคุณอรุณไป…”
       ชอุ่มรับคำแล้วเดินออกไป ศรีเรือนสีหน้ายังหนักใจแต่พยายามปัดเรื่องอื่นทิ้งออกไปจากใจ
      
       ที่แผนกเสื้อผ้าสุภาพบุรุษ ในห้างขายสินค้าประจำเมือง
       วงเดือนดูเสื้อเชิ้ตที่อยู่บนตัวหุ่นโชว์ เธอเดินเข้าไปเลือกเสื้อที่แขวนอยู่ด้วยความสนใจ
       โฉมไฉไลเดินถือถุงช็อปปิ้งผ่านมาที่แผนกเสื้อผ้าผู้ชายพอดี และเห็นวงเดือนหยิบเสื้อผู้ชายตัวหนึ่งออกมาดู ยิ้มอย่างพอใจ
       วงเดือนพูดเบาๆกับตัวเอง “หวังว่าคุณอรุณคงชอบ” หยิบมาให้พนักงานขาย “เอาตัวนี้ค่ะ”
       ทันใดนั้นมีมือใครคนหนึ่งเข้ามากระชากเสื้อไปจากมือวงเดือน
       วงเดือนตกใจหันไปมอง เห็นเป็นโฉมไฉไลซึ่งกำลังขว้างเสื้อลงบนพื้น
       โฉมไฉไลตวาดแว้ด “แกไม่เข็ดใช่ไหม”
       พนักงานตกใจมาก ลูกค้าคนอื่นๆ ในห้างหันมามองเหตุการณ์
       โฉมไฉไลพ่นออกมาอย่างหึงหวง “ฉันรู้นะว่าแกจะซื้อเสื้อไปให้เมฆา ประจบออกนอกหน้าแบบนี้…คงอยากเป็นเมียเขาจนตัวสั่นแล้วล่ะสิ!”
       วงเดือนโกรธ และคราวนี้เธอสู้!
       “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ เดือนไม่ได้ซื้อให้คุณเมฆา”
       วงเดือนก้มหยิบเสื้อที่พื้น แต่ถูกโฉมไฉไลใช้รองเท้าส้นสูงกระทืบเหยียบไว้
       “ไม่ต้องมาโกหก! นังหน้าด้าน!” สาวไฮโซถังแตกใช้ส้นสูงบดขยี้เสื้อ
       วงเดือนตะโกนห้าม “อย่า”
       วงเดือนพยายามแย่งยื้อ แต่โดนโฉมไฉไลผลักล้มไป และโผนตัวจะตามเข้ามาตบ
       วงเดือนลุกพรวดโกรธจัด “อย่าเข้ามานะ! ไม่งั้นฉันจะแจ้งความ”
       โฉมไฉไลเลือดขึ้นหน้า ไม่หวั่นเกรง กระชากวงเดือนเข้ามาพูดใส่หน้า เสียงเบาแต่ชัดเจน!
       “เอาเล๊ย! แต่ไปหาหลักฐานมาให้ได้ก่อนนะ ขนาดแกโดนฉุดคราวที่แล้ว เมฆายังทำอะไรฉันไม่ได้เลย แล้วน้ำหน้าอย่างแกน่ะเหรอ?” มองอย่างเหยียดหยัน ก่อนจะผลักตัววงเดือนแล้วสะบัดตัวออกไป “ชิ”
       วงเดือนพูดตามหลังไป ไม่กลัวเกรง “ถึงฉันไม่มีหลักฐาน แต่ฉันมีคุณเมฆาเป็นพยานชี้ตัวนักเลงพวกนั้น เมืองเล็กๆ แบบนี้..ตำรวจคงสาวไปถึงตัวคนบงการได้ไม่ยาก!”
       โฉมไฉไลหันมาชี้หน้าวงเดือนด้วยความแค้น “แก”
       วงเดือนสู้ “หรือคุณอยากพิสูจน์ดูก็ได้”
       โฉมไฉไลโดนต้อนจนแต้ม โกรนธจนตัวสั่น “สักวัน ฉันจะขยี้แกให้เหมือนเสื้อตัวนี้ คอยดู”
       จากนั้นโฉมไฉไลก็สะบัดหน้าออกไป
       วงเดือนหยิบเสื้อขึ้นมาดู เห็นว่ามีรอยขาด…พนักงานหน้าตาตกอกตกใจเข้ามา
       “เอ่อ ถ้าเสียหาย ยังไงก็ต้องซื้อนะคะ”
      
       วงเดือนหน้าเจื่อน
 อรุณเดินลงมาที่ห้องโถงเห็นอนุต ศรีเรือน เมฆา และพฤกษ์ยืนรออยู่ โดยมีศรีดาราถือเค้กวันเกิดที่จุดเทียนแล้วเดินเข้าไปหาลูกชายคนเล็ก
      
       ศรีเรือนเอ่ยขึ้นก่อนใคร “สุขสันต์วันเกิดจ้ะหลานย่า”
       ศรีดารายิ้มบอก “อธิษฐานสิจ๊ะลูก”
       อรุณเหมือนไม่ได้ใส่ใจฟัง มองหาแต่วงเดือน
       “เดือนล่ะครับ เดือนไปไหน?”
       พฤกษ์สบตากับเมฆา โดยอัติโนมัติ
       ศรีเรือนหน้าตึงขึ้นมาทันที ศรีดาราหน้าเสีย อนุตพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง
       “อรุณ...อธิษฐานสิ จะได้เป่าเทียน”
       อรุณไม่ฟังใคร “เดือนไปไหน ทำไมถึงไม่อยู่ที่นี่ด้วย”
       เมฆาเอ่ยขึ้น “เดือนไม่อยู่ ออกไปแต่เช้าแล้ว”
       อรุณหัวเสีย วิ่งขึ้นไปข้างบนทันที ศรีดาราอึ้งมือไม้อ่อนปวกเปียก ใจหายวาบ พึมพำเบาๆ
       “นี่อรุณก็อีกคนเหรอเนี่ย”
       อนุตหันมองศรีดาราอย่างนึกเอะใจ และตัดสินใจเดินตามอรุณขึ้นไป
       ศรีเรือนเสียใจและแค้นวงเดือนขึ้นมาอีก “วงเดือน..นังตัวกาลกิณี”
       ศรีดาราวางเค้กแล้วรีบตามขึ้นไปหาอรุณ
       พฤกษ์และเมฆาถอนใจ และแยกย้ายกันออกไป
       ศรีเรือนหน้ามืดจะเป็นลม
       ชอุ่มเห็นร้อง “ว๊าย” รีบเข้าประคอง “คุณท่านคะ นั่งก่อนค่ะคุณท่าน!”
       ศรีเรือนกดดันหนักกับทุกเหตุการณ์ที่ชักจะยุ่งยากขึ้นทุกที
      
       อรุณนั่งลงบนเตียงอย่างขัดใจ อนุตตามเข้ามาติดๆ
       “เป็นอะไรอรุณ? ทำไมก้าวร้าวต่อหน้าคุณย่าแบบนั้น”
       “แล้วทำไมเดือนถึงไม่อยู่บ้าน ไม่มาหาผม ทั้งที่วันนี้เป็นวันเกิดผม ทำไม”
       ศรีดาราตามเข้ามา ถามด้วยสีหน้าหวั่นใจ “อรุณ เดือนสำคัญกับลูกมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
       “ใช่ เดือนสำคัญกับผม สำคัญมาก”
       อนุตใจหาย “อรุณ”
       อรุณเริ่มมีอาการหายใจหอบถี่แรงขึ้น
       ศรีดาราจับสังเกตเห็นรู้สึกตกใจ “ใจเย็น ๆ ลูก”
       “แม่ให้คนไปตามเดือนมาหาผมนะ”
       “จ๊ะๆ ลูกอยากได้อะไรแม่จะให้ลูกทุกอย่าง”
       “สัญญานะครับแม่”
       ศรีดาราพยักหน้า อรุณค่อยๆ หายใจช้าลงเป็นจังหวะปกติ
       “ลูกนอนพักก่อนนะ”
       อนุตยังยืนมองอรุณนิ่ง ศรีดาราเดินไปจับมืออนุตดึงให้ออกไปด้วยกัน อนุตขืนตัว
       ศรีดารามองด้วยสายตาอ้อนวอน “ฉันขอร้องนะคะ”
       อนุตจำต้องเดินตามศรีดาราออกไป
       อรุณหายใจผ่อนคลายขึ้น ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเริ่มใช้อาการป่วยเป็นอาวุธ และเครื่องมืออย่างจริงจัง แล้ว
      
       อนุตยืนหน้าเครียดอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องหนึ่ง
       “คุณรู้ใช่ไหมคะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
       พฤกษ์ที่กำลังจะเดินเลี้ยวไปทางห้องอรุณ ชะงัก หยุดฟัง
       อนุตถอนหายใจ “ผมรู้ว่าอรุณชอบวงเดือน รู้มานานแล้ว แต่ที่ผมไม่พูดเพราะเห็นว่าวงเดือนไม่ได้คิดกับอรุณแบบนั้น แล้วสักวัน..ถ้าวงเดือนได้พบคนรักของเขา อรุณก็คงตัดใจได้เอง”
       ศรีดาราหลุดปาก “แล้วถ้าคนรักของวงเดือนเป็นคนใกล้ตัวล่ะคะ คุณคิดว่าอรุณจะทำใจได้อย่างงั้นเหรอ”
       อนุตมองอย่างสงสัย “หมายความว่ายังไง” เห็นศรีดาราหลบตา “คุณมีอะไรปิดบังผมอยู่อีกหรือเปล่า”
       ศรีดาราเลี่ยง “เราอย่ามาคุยเรื่องไม่สบายใจในวันเกิดของลูกเลยนะคะ”
       ศรีดารารีบเดินหนีอนุตไปทันที พฤกษ์รีบหลบไปอีกทาง
       อนุตสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
       พฤกษ์สับสนหนัก คิดในใจว่าแม่จะรู้ว่าเขารักวงเดือน
      
       เย็นนั้นวงเดือนอยู่ที่คลินิก นั่งเย็บซ่อมเสื้อเชิ้ตจนเสร็จเรียบร้อย
       “ยังดีนะที่ซ่อมได้”
       วงเดือนเก็บพับเสื้อใส่ถุง เมฆาเดินตรงเข้ามาหาเดือน
       “เมื่อเช้าไปไหนมา”
       วงเดือนไม่อยากบอกว่าไปซื้อเสื้อให้อรุณ เกรงเมฆาจะซักจนรู้ว่ามีเรื่องกับโฉมไฉไลอีก
       “คือ..เดือนไปธุระมาน่ะค่ะ”
       “เธอรู้ใช่ไหมว่าวันนี้เป็นวันเกิดอรุณ”
       “ค่ะ เดือนไม่เคยลืม”
       เมฆาตวัดตามอง รู้สึกจี๊ด ที่เดือนให้ความสำคัญกับอรุณมาก บอกห้วนๆ
       “อรุณรอของขวัญสำคัญจากเธออยู่!”
       พอพูดจบเมฆาก็จ้องหน้าวงเดือนเขม็ง จนวงเดือนทำหน้าไม่ถูก
      
       อาหารเย็นถูกจัดขึ้นโต๊ะ อรุณเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร ทุกคนนั่งรออยู่ที่ของตนแล้ว ชอุ่มยกข้าวมาวาง ศรีดาราเดินมาหาอรุณ
       “วันนี้มีแต่กับข้าวที่ลูกชอบทั้งนั้นเลยนะ
       อรุณมองหาและจ้องหน้าแม่เหมือนถามว่าลืมอะไรหรือเปล่า?
       “เดือนล่ะครับแม่?”
       ศรีเรือนหันขวับมองอรุณ ศรีดารามองย่าศรีเรือนอย่างลำบากใจ รีบเปลี่ยนเรื่อง
       “ทานข้าวก่อนนะลูกนะ”
       อรุณจะขืน
       อนุตเสียงแข็ง “อรุณ นั่งเดี๋ยวนี้”
       อรุณยังนิ่งเฉย ศรีดารามองอนุตเกรงจะอารมณ์เสียไปกว่านี้
       วงเดือนเดินเข้ามาพอดี อรุณดีใจรีบเข้าไปหา
       “เดือน”
       วงเดือน ยื่นห่อของขวัญให้ “สุขสันต์วันเกิดค่ะ คุณอรุณ”
       อรุณยิ้มดีใจรับมาแล้วรีบแกะห่อออกดู ทุกคนมองอย่างสนใจ พออรุณแกะออกมากางเห็นเป็นเสื้อเชิ้ตธรรมดา สีหน้าอรุณเปลี่ยนจากยิ้มแย้มเป็นผิดหวัง
       วงเดือนหน้าเสีย “คุณอรุณไม่ชอบเหรอคะ”
       “ทำไมเป็นเสื้อตัวนี้! แล้วเสื้อที่เดือนถักล่ะ อยู่ไหน”
      
       วงเดือนตกใจ “คุณอรุณ ทำไม...”

อรุณเข้าไปจับไหล่วงเดือนเขย่าๆ ถามคาดคั้น
       
       “เสื้อตัวนั้นอยู่ไหน เธอเก็บไว้ให้ใคร ให้ใคร!”
       พฤกษ์กับเมฆาทนไม่ไหวเข้าไปจะแยกอรุณจากวงเดือน
       “อรุณ อย่า” พฤกษ์ห้าม
       เมฆาบอก “ปล่อยเดือน”
       อรุณสะบัดสุดแรง ผลักเมฆากับพฤกษ์เต็มแรงและหันไปถามวงเดือนต่อ
       “เธอถักให้ใคร? พี่พฤกษ์หรือพี่เมฆา”
       อนุตชะงักกึก! พฤกษ์กับเมฆามองวงเดือนอย่างลุ้นๆ ต่างรอฟังคำตอบเหมือนกัน
       วงเดือนอึกอัก “เดือน...เดือน...”
       อรุณเห็นวงเดือนไม่ตอบสักที จึงหันไปมองพฤกษ์กับเมฆาด้วยสายตากร้าว ดุดัน
       “เดือนเป็นของผม พวกพี่ไม่มีสิทธิ์”
       “อรุณ..เดือนไม่ได้เป็นของแก” เมฆาสวนออก
       ศรีดาราตกใจและไม่พอใจ “เมฆา..ทำไมพูดแบบนี้? เดี๋ยวน้องก็ป่วยขึ้นมาอีกหรอก”
       พฤกษ์พูดขึ้นท่าทีแน่วนิ่ง “แต่ผมว่าเมฆาพูดถูกนะครับแม่”
       ศรีดาราตกใจ “พฤกษ์”
       อนุตอึ้งไป เข้าใจทุกอย่างปรุโปร่งชัดเจนแล้ว! ก่อนจะหันไปถามคาดคั้นเอากับศรีดารา
       “เรื่องนี้ใช่ไหม ที่คุณปิดบังผมอยู่”
       ศรีดาราก้มหน้าเป็นเชิงยอมรับ
       อรุณขัดใจกำมือแน่นไม่ยอม หันมาหาศรีดารา “แม่สัญญาว่าถ้าผมอยากได้อะไร แม่จะให้ทุกอย่าง” อรุณพูดเสียงดังฟังชัด “ผมต้องการแต่งงานกับเดือน”
      
       ทุกคนตะลึง ช็อกคาที่
      
       บรรยากาศในห้องโถงใหญ่บ้านแสนสมุทรยามนี้เต็มไปด้วยความอึดอัด ในขณะที่ทุกคนต่างก็ช็อก อยู่ ศรีเรือนลุกพรวดประกาศกร้าว
      
       “ไม่ได้”
       อรุณสวนทันควัน “แต่แม่สัญญากับผมแล้วนะครับคุณย่า” แล้วหันไปหาวงเดือน “นะเดือน..แต่งงานกับฉันนะ”
       พฤกษ์กับเมฆาเพ่งมองวงเดือน อรุณเข้าไปจับมือวงเดือนคาดคั้น
       วงเดือนไม่รู้จะทำยังไง ตอบไม่ถูก วิ่งเตลิดออกไปจากตรงนั้น ศรีเรือนเดินตามวงเดือนออกไปอย่างเอาเรื่อง
       ศรีดารากับอนุตนิ่งงัน มองลูกชายทั้งสามคนที่เผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียด
      
       วงเดือนเดินหน้าเครียดเข้ามาที่ห้องพัก น้ำตาคลอด้วยความสับสน ศรีเรือนเดินตามเข้ามาติดๆ
       “สะใจหล่อนแล้วใช่ไหม?” วงเดือนชะงักหันมา
       หญิงชราจ้องหน้าวงเดือนพูดต่อ “แสนสมุทรจะพินาศเพราะหล่อน! หล่อนหว่านเสน่ห์ใส่หลานฉันทำไม?”
       วงเดือนน้ำตาไหลยกมือไหว้ศรีเรือน
       “เดือนขอโทษค่ะคุณท่าน แต่เดือนสาบานได้ว่าเดือนก็ไม่เคยต้องการให้คุณทั้งสามมารักเดือน”
       ศรีเรือนสวนออกมาทันทีทันใด “ฉันก็ไม่ต้องการ! ชีวิตของภูผาต้องฉิบหายซมซานออกไปจากแสนสมุทรก็เพราะเขารักหล่อน! ฉันเสียภูผาไปแล้ว ฉันไม่ต้องการเสียใครไปอีก”
       วงเดือนได้ยินชื่อภูผาก็คลานเข่าขยับเข้าไปใกล้ศรีเรือน สายตาวิงวอน
       “เดือนจะไปจากที่นี่ เรื่องทุกอย่างจะได้จบ แต่เดือนขอความเมตตาให้คุณท่านกรุณาบอกเดือนได้ไหมคะว่าปลายทางของเดือนควร จะไปที่ไหน”
       ศรีเรือนหันขวับ สะบัดเสียง “หล่อนจะไปหาภูผา?”
       วงเดือนกราบแทบเท้าศรีเรือน “กรุณาเดือนด้วยนะคะ”
       ศรีเรือนสับสน ชักเท้าแล้วเดินหนีไป
       “คุณท่านคะ...คุณท่าน”
       วงเดือนร้องไห้อย่างหมดหนทาง
       ศรีเรือนเดินจากมาอย่างสับสน
      
       เมื่อมืดมนอับจนหนทาง ศรีเรือนจึงหันหน้าเข้าวัด เช้าวันต่อมาหญิงชรากำลังก้มกราบพระสีหน้าหม่นหมอง
       “อิฉันไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง อิฉันพยายามจะขัดขวางทุกทางแต่มันดูจะไม่เป็นผล”
       “น้ำเชี่ยวอย่าเอาขวางเรือ...ที่โบราณได้เปรียบเปรยนั้นหมายความถึง แค่แม่น้ำสายเดียว แต่ตอนนี้โยมมีแม่น้ำถึงสี่สายที่กำลังถาโถมเข้ามา หากโยมไปกั้นไปขวาง ความแรงของสายน้ำจะทำลาย
       ทุกอย่างจนไม่เหลือชิ้นดี!”
       ศรีเรือนได้ฟังก็ยิ่งเครียด
       “แต่ถ้าโยมเปิดทางให้แม่น้ำได้มีโอกาสไหลออกไปบ้างสักสาย ความรุนแรงก็จะบรรเทาลง เมื่อไม่มีสิ่งใดปะทะกัน ทุกอย่างก็จะสงบ จากนั้นเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
      
       ศรีเรือนคิดตาม เริ่มคิดได้ว่าตนแก้ปัญหาแบบผิดๆ มาโดยตลอดหรือนี่?
ขอขอบคุณจาก manager.co.th 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น