วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครแสบสลับขั้ว ตอนที่ 9 วันที่ 23 ก.ค. 55

  เซียนนัดเจอกับปลาใหญ่ที่ร้านกาแฟ ปลาใฟญ่กระดิกขาไขว่ห้างแล้วจิบกาแฟด้วยสีหน้าท่าทางกวนมากๆ
      
       “เสียใจที่จะต้องบอกว่าเสียใจ ไอ...ส่อรี่”
       “ไอ้เซียน เท่าที่แกทำกับฉันนี่ยังไม่พออีกเรอะ แกแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันและที่ร้ายที่สุดแกแย่งตัวตนของฉันไปอย่าง หน้าด้านๆ”
       ปลาใหญ่ยียวนกวนประสาทสุดๆ
       “รู้จักคำว่า หน้าด้านด้วยเรอะคุณหนู” ปลาใหญ่ลอยหน้าลอยตา “ของแบบนี้ใครดีใครได้โว้ย”
       “แต่ที่แกเอาไปนั่นมันร่างของฉัน ตัวตนของฉัน”
       “แสดงว่าแกไม่ค่อยได้ไปวัด พระท่านสอนว่าอย่ายึดมั่น...ถือมั่น...ไม่มีอะไรหรอกที่เป็นของเราแม้แต่ ร่างกาย...เมื่อถึงเวลาก็ต้องตายกันทุกคน ร่างกายก็จะเน่าเปื่อยเสื่อมสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน”
       “แต่ฉันยังไม่ได้ตาย ร่างกายยังไม่ได้เสื่อมสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ร่างกายฉันยังดีครบถ้วนทุกประการแล้วแกก็ขโมยไป”
       ปลาใหญ่ทำหน้าเคร่งราวกับกล่าวปรัชญา
       “ร่างกายก็คล้ายเปลือกหอยเสฉวน เมื่อตัวมันไม่อยู่ตัวอื่นก็สามารถเข้าไปอาศัยอยู่แทนได้ฉันใดก็ฉันเพล”
       “ร่างกายฉันก็คือร่างกายฉัน ไม่ใช่หอยใช่ปูอะไรทั้งนั้น”
       ปลาใหญ่ทำไม้ทำมือแล้วพูดเสียงดังประมาณว่าพยายามห้ามปรามคนโรคจิต
       “จเย็น ...ใจเย็น...ไม่ใช่หอยก็ไม่ใช่หอย”
       เซียนชี้หน้าปลาใหญ่
       “แกนั่นแหละ ไอ้หอย”
       ปลาใหญ่หันไปทางเคาน์เตอร์แล้วยกมือไหว้โดยรอบ
       “ต้องขอประทานโทษแทนลูกจ้างของเพื่อนผมด้วยนะครับ พอดีเขาไม่ได้ทานยามาหลายวัน...ข้าวของทั้งหมดที่เสียหาย ผมจะรับผิดชอบเอง”
       ทุกคนต่างลุกขึ้นตบมือให้ปลาใหญ่ ปลาใหญ่โค้งรับอย่างสุภาพเซียนกระชากคอเสื้อปลาใหญ่มาต่อยล้มโครม
       “โอ๊ย”
       เซียนก้มลงกระชากปลาใหญ่ขึ้นมาแล้วหมุนตัวกระโดดถีบแบบคาราเต้ ปลาใหญ่กระเด็นไปชนอีกโต๊ะล้มครืน คนที่โต๊ะนั้นกระเจิง พนักงานรีบกดโทรศัพท์
       “ฮัลโหล ช่วยด้วยค่ะ มีคนบ้ามาอาละวาดอยู่ในร้าน”
       ขณะที่เซียนไล่ถลุงปลาใหญ่ทำเป็นพยายามห้ามปรามโดยไม่ตอบโต้
      
       เซียนถูกจับมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในคุก ครรชิตเดินเข้ามาที่ร้อยเวร
       “สวัสดีครับ คุณครรชิต”
       “สวัสดีครับหมวด นายเซียนล่ะครับ”
       “นั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้นแน่ะครับ”
       ครรชิตหันไปมองแว่บหนึ่ง
       “อ้อ...”
       ครรชิตเดินไปที่เซียนซึ่งมองมาหน้างอ
      
       เซียนและครรชิตเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง ทั้งสองนั่งนิ่งกันไปไม่พูดไม่จา
       “เกิดอะไรขึ้นครับ” ครรชิตถามขึ้นในที่สุด
       “ก็อย่างที่บอก ผมนัดไอ้เซียน ...”
       “ขึ้นไอ้ขึ้นอีอีกแล้ว คุณปลาใหญ่”
       “ไปอยู่ที่นั่นนานๆ ยิ่งกว่านี้ผมก็พูดได้” ครรชิตถอนใจยาว สีหน้าเคร่งเครียด “จะต้องเคร่งเครียดไปทำไม เพราะผมเองก็คงไม่มีโอกาสกลับไปเป็นปลาใหญ่ตามเดิมอีกแล้ว”
       “คุณปลาใหญ่ ผมผิดเองที่ดูแลคุณปลาใหญ่ไม่ดี” ครรชิตบอกอย่างเจ็บปวด
       “ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก มันเป็นเวรกรรมของผมเอง”
       “ยังไงผมก็หนีความรับผิดชอบไม่พ้น”
       “ในเมื่อทุกอย่างมันเปลี่ยนไม่ได้แล้ว ผมก็คงไม่ต้องแคร์อะไร”
       “คุณปลาใหญ่” ครรชิตมองหน้าปลาใหญ่อย่างตกใจ
       “ผมเป็นคนจริงจังกับทุกสิ่งทุกอย่างนะคุณครรชิต ตอนที่ผมเป็นผู้บริหาร ผมก็จริงจังกับหน้าที่ของผม พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อความก้าวหน้าของบริษัทและพนักงานทุกคน แต่แล้ว...” เซียนอึ้งไปเหมือนมีความสะเทือนใจสุดๆ พุ่งขึ้นมา “มันก็เหมือนโลกนี้ถล่มทลายต่อหน้าต่อตา ผมกลายเป็นใครก็ไม่รู้ทุกอย่างที่มีสูญสลายไปต่อหน้าต่อตา...”
       เซียนหยุดพูดน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างสุดจะอดกลั้น
       “สักวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม” ครรชิตตบไหล่ปลอบ เซียนส่ายหน้าแล้วขัดขึ้นทันที
       “ไม่มีวันหรอกคุณครรชิต ทุกอย่างจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม”
       “คนเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องมีความหวัง”
       “ความหวังของผมคือ ใครที่มันทำกับผมขนาดนี้จะต้องพินาศล่มจมหาความสุขไม่ได้เหมือนกัน มันจะได้เรียนรู้ว่าเงินทองที่อยากได้นักหนาไม่ได้ช่วยให้มันมีความสุขเลย”
       สีหน้าเซียนเคร่งเครียดเต็มที่ ขณะที่ครรชิตมองอย่างกังวล
      
       สายพิณกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสายพิณบิดขี้เกียจแล้วเอื้อมมือมาหยิบดู สายพิณ
       กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
       “พี่เซียน หายหัวไปเลยนะ...หรือว่าไปเป็นไฮโซอยู่บ้านใหญ่แล้วลืมรูหนู...”
       ปลาใหญ่นั่งในรถจอดอยู่ในซอยค่อนข้างเปลี่ยวขัดขึ้นทันที
       “พิณมาพบพี่หน่อยได้ไหม”
       “แล้วทำไมมาพบพิณเองไม่ได้ อ้อ ชุมชนแคบๆ นี่คงไม่คู่ควรจะให้พี่เซียนกลับมาเหยียบแล้วใช่มั้ยล่ะ” สายพิณถามอย่างไม่พอใจ
       “แกนี่ดูละครมากไปหรือเปล่า คู่ควรไม่คู่ควรบ้าบออะไรก็ไม่รู้...ออกมาพบพี่หน่อย อยู่ถัดมาจากชุมชนนี่แหละ”
      
       ปลาใหญ่ปิดโทรศัพท์ แหงนหงายพิงพนักหลับตา
 สายพิณเดินออกมาขณะที่ยายปิ่นกำลังคุยกับเพื่อนบ้านบริเวณนั้น
       
       “จะไปไหนฮึ ไอ้พิณ”
       สายพิณขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์
       “แถวนี้แหละยาย เดี๋ยวมา”
       สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
       “เฮ้ย เดี๋ยว ไอ้พิณ” สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์ไปลับตา “ดู๊ ขอให้ดู”
       สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์มาจนถึงหน้าปากซอย เหลียวมองซ้ายขวาจะออกไป มอมเห็นสายพิณจึงรีบเดินไปหา
       “พิณ จะไปไหน...”
       “ไปธุระ”
       “ธุระอะไร”
       สายพิณหันมามองมอมฉุนๆ
       “ เป็นพ่อฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ฮึ! พี่มอม”
       “เปล่า พี่เป็นห่วง”
       “พิณอายุเข้าเลข 2 แล้วนะ ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นห่วงไปละ”
       สายพิณเลี้ยวรถออกไป มอมมองตามเซ็งๆ แล้วเดินกลับมาสมทบกับป๋องและลุงป่อง
       “เปลี่ยนใจเถอะ ไอ้มอม”
       “แล้วลุงล่ะ เปลี่ยนใจจากป้าไหมได้หรือเปล่า”
       “ข้ามันแก่แล้ว”
       “ไม่เกี่ยวหรอก มันอยู่ที่ว่าเป็นรักแท้หรือเปล่า”
       “ซึ้งว่ะ”
       “ข้าจะตามไปดู”
       “อันนี้ข้าขอค้าน” มอมมองป๋อง “เพราะมันจะทำให้พิณเกลียดขี้หน้าเอ็ง”
       มอมคอตก ลุงป่องกับป๋องตบไหล่คนละข้างปลอบใจ
      
       สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์ช้าๆ ตรงมาที่รถปลาใหญ่ สายพิณจอดมอมอเตอร์ไซค์ขณะที่ปลาใหญ่กดล็อคประตูให้
       “ขึ้นมาซิ”
       สายพิณเปิดประตูเข้านั่งแล้วชะงักเมื่อเห็นหน้าปลาใหญ่ชัด
       “ไปเดินชนหน้าแข้งใครเขามาน่ะ”
       “ไอ้ปลาใหญ่”
       “เรื่อง ...”
       “มันจะหมั้นกับคุณน้ำเพชร”
       สายพิณชะงักมองหน้าปลาใหญ่ครู่หนึ่งแล้วกำหมัดสะใจ
       “เยส”
       “เฮ้ย นั่นดีใจเรอะ”
       “ทำไมล่ะ คู่นั้นเขาสมกันดีจะตาย”
       “สมกันบ้าบออะไรล่ะ ไอ้ปลาใหญ่มันจนจะตายขืนแต่งกันไปคุณน้ำต้องลำบาก”
       สายพิณชะงัก
       “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่” ปลาใหญ่นิ่งไป สายพิณเม้มปาก “อ้อ หึงละซิ”
       “แล้วเอ็งไม่เสียดายร่างไอ้เซียนหรือไง”
       “สำหรับฉัน จิตวิญญาณสำคัญกว่ารูปร่างภายนอก พี่เซียนน่ะเลิกทำเป็นหมาเห็นเครื่องบินได้แล้ว คนอย่างยัยน้ำเพชรเขาไม่สนพี่เซียนหรอก”
       ปลาใหญ่นิ่งไปครู่หนึ่ง
       “พิณ... ช่วยอะไรพี่หน่อยได้มั้ย”
       “ต้องบอกมาก่อน”
       “ช่วยบอกคุณน้ำเพชรว่าพิณเป็นแฟนกับไอ้เซียน...” สายพิณนิ่วหน้า “แล้วพิณจะไม่ยอมให้ร่างกายของไอ้เซียนไปเป็นของผู้หญิงคนไหนเด็ดขาด” สายพิณตบปลาใหญ่เปรี้ยง “โอ๊ย”
       “ทุเรศ” สายพิณเปิดประตูรถลงไปแล้วปิดอย่างแรง ก้มลงพูดที่หน้าต่าง “เสียแรงที่พิณเคยรักพี่เซียน ตอนนี้พิณเกลียดพี่เซียนมากที่สุดในโลก!พี่เซียนมันน่ารังเกียจ น่าทุเรศ”
       สายพิณขึ้นมอเตอร์ไซค์ขี่กลับออกไป
      
       สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์อย่างเร็วเข้าไปในซอย ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
       “เฮ้ย ไอ้พิณมันเป็นอะไรของมัน”
       “ยังกับโกรธใครมา”
       มอมไม่พูดพล่ามทำเพลงขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปทันที
       สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน พอเก็บรถแล้วจึงเดินเข้าบ้าน มอมขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา
       “พิณ สายพิณ...พิณ”
       ยายปิ่นโผล่หน้าออกมา
       “พิณอยู่ในห้องจะพบกับปิ่นก่อนมั้ยล่ะ”
       มอมยิ้มแห้งๆ
       “ไม่หรอกจ้ะ เอ้อ...ยายช่วยตามพิณออกมาหน่อยได้มั้ย”
       “เชื่อเหอะ ตอนนี้พิณมันไม่อยากพบใครหรอก”
      
       ยายปิ่นเดินเข้าไปในบ้าน มอมทำหน้าเซ็งๆ แล้วมองตัวบ้านนิ่งคิด  
มอมค่อยๆ ลัดเลาะมาบริเวณหลังบ้านแล้วตะโกนเรียกเบาๆ
       
       “พิณ...เป็นอะไรหรือเปล่าพี่เป็นห่วง” สายพิณกำลังนอนคว่ำหน้าร้องไห้กับที่นอนเงยหน้าขึ้น “พิณ พี่มอมไม่สบายใจจริงๆ นะ”
       “กวนโอ๊ยนัก”
       สายพิณเดินไปที่ประตูเปิดออกไป ขณะนั้นมอมยังคงต้องตั้งอกตั้งใจเรียก
       “สายพิณ ...ถ้าไม่โผล่หน้าต่างออกมา พี่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น” เงียบ “พี่น่ะ ระ...เอ้อ หวังดีกับพิณจริงๆ...” น้ำโครมใหญ่ถูกสาดออกมาจากหน้าต่าง “โอ๊ย” สายพิณถือถังใบใหญ่ที่สาดน้ำลงมา สีหน้าถมึงทึงทั้งๆ ที่มีคราบน้ำตาเต็มหน้า มอมลูบน้ำออกจากหน้า “ ทำไมพิณทำกับพี่อย่างนี้”
       “ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับฉัน”
       สายพิณน้ำตาร่วงอีกด้วยความคับแค้น
       “พิณร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรพิณ”
       “บอกว่าอย่ามายุ่ง”
       สายพิณกระแทกหน้าต่างปิดแล้วเดินไปทิ้งตัวร้องไห้ต่อบนที่นอน มอมเงยหน้ามองด้วยความเป็นห่วง
      
       ปลาใหญ่ยังคงจอดรถอยู่ที่เดิม ปลาใหญ่นั่งพิงพนักหลับตานิ่งภาพสายพิณซ้อนเข้ามาในห้วงความคิด
       “เสียแรงที่พิณเคยรักพี่เซียน ตอนนี้พิณเกลียดมากที่สุดในโลกพี่เซียนมันน่ารังเกียจ น่าทุเรศ”
       ปลาใหญ่ลืมตาขึ้น นัยน์ตาแดงก่ำ
       “ขนาดพิณยังคิดว่าพี่น่ารังเกียจน่าทุเรศ แล้วคุณน้ำล่ะ เขาคงรังเกียจพี่มากกว่าพิณหลายเท่านัก”
       ปลาใหญ่นั่งหมดอาลัยตายอยากครู่หนึ่ง แล้วขับรถออกไปด้วยสีหน้าเหมือนไร้ชีวิตจิตใจ
      
       ยายปิ่นเปิดประตูเข้ามาในห้องสายพิณแล้วหยุดยืนมอง สายพิณยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิมยายปิ่นทอดถอนใจ แล้วเดินมานั่งใกล้ๆ พลางลูบผมหลานอย่างเวทนา
       “พิณเอ๊ย ...”
       สายพิณกอดเอวยายแน่น
       “ยายจ๋า ...”
       “รักคนที่เขารักเราดีกว่านะลูกนะ” สายพิณส่ายหน้าสะอึกสะอื้น “ไอ้มอมมันเป็นคนดี”
       “พิณไม่รักคนดี พิณมันแย่! ทุเรศที่สุดที่ฉันดันไปรักคนชั่ว”
       ยายปิ่นได้แต่ลูบผมหลานอย่างเวทนา
      
       ปลาใหญ่เดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้ามีร่องรอยเหมือนถูกทำร้ายมา สมศรีซึ่งกำลังนั่งรื้อแม็กกาซีนมาจัดเรียงใหม่มองอย่างแปลกใจ ปลาใหญ่เดินขึ้นไปห้องตัวเองสมศรีชะเง้อมองตาม
       สมทรงกำลังครึ่งนั่งครึ่งนอนอ่านหนังสือเกี่ยวกับเคมีอยู่ทางหลังบ้านสมศรีเดินแกมวิ่งเข้ามา
       “พี่สมทรง”
       “หือ ...”
       “คุณปลาใหญ่กลับมาแล้ว” สมทรงลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที “แถมผมเผ้าหน้าตายังกับไปชกต่อยกับใครมา”
       สมทรงควักโทรศัพท์ทันทีแล้วกด
       “คุณจันทร์ขา...คุณปลาใหญ่กลับมาบ้านแล้วค่ะ”
      
       เกริกก้องพูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อจันททิพย์ร์โทรมารายงานเรื่องปลาใหญ่
       “ดีแล้ว ยิ่งพวกมันวุ่นวายว้าวุ่นกันเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์กับเราเท่านั้น”
       เกริกก้องวางโทรศัพท์ลงสีหน้าเหมือนจะพอใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง
       วันรุ่งขึ้นเมื่อครรชิตและเซียนเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วชะงักเมื่อ เห็นปกรณ์นั่งเอกเขนกอยู่ที่เก้าอี้ครรชิตอย่างสบายใจ เซียนขยับจะพูดเอาเรื่องแต่ครรชิตแตะแขนไว้
       “คุณกรณ์ นี่มันห้องของผมนะครับ”
       “แต่มันจะกลายเป็นของผมตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
       “ใครจะไล่คุณครรชิตออกไปไม่ได้”
       ปกรณ์เบือนสายตามามองเซียนอย่างเหยียดหยามดูหมิ่น
       “ไอ้สวะเซียน” ปกรณ์ลุกเดินมามองเซียนหัวจรดเท้า “แอบอ้างตัวเป็นปลาใหญ่ ถามจริงเคยตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาหรือเปล่า”
       “ไม่เคยหรอก ไอ้คางคก”
       ปกรณ์ชะงักดวงตาเป็นประกายวาวด้วยความโกรธ แล้วเหวี่ยงแขนใส่เซียน เซียนหลบแล้วคว้าแขนปกรณ์ดัดไว้ข้างหลัง
       “โอ๊ย เจ็บโว้ย ปล่อย” เซียนดัดให้เจ็บขึ้นไปอีก “โอ๊ย บอกว่าเจ็บ” เซียนดัดแรงขึ้นไปอีก แล้วผลักปกรณ์กระเด็นกระแทกผนังแล้วร่วงลงบนพื้น “ไปได้แล้ว”
       ปกรณ์ค่อยๆ ลุกขึ้น ชี้หน้าครรชิตกับปลาใหญ่อย่างเคียดแค้นชิงชัง
       “แกทั้งสองคนต้องถูกไล่ออก และสำหรับแก...นายครรชิต แกไม่ใช่แค่ต้องออกไปจากบริษัทนี้ แต่ต้องออกไปจากบ้านด้วย เพราะคนทุจริตเลี้ยงไว้ไม่ได้”
       “คุณจะใส่ร้ายอะไรผมก็ว่าไปเถอะ แต่อย่ามาใส่ร้ายว่าผมทุจริต”
       “ไม่ทุจริตแล้วจะถูกไล่ออกทำไม แล้วที่ฉันมานี่ก็เพราะน้องจันทร์ทิพย์ให้มาส่งข่าวว่าพวกแกทั้ง 2 คนจะทำงานที่นี่วันนี้เป็นวันสุดท้าย ไปละ”
       ปกรณ์เดินออกไป เซียนกำมือแน่น
       “ใจเย็นๆ ... คุณปลาใหญ่ คิดเสียว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา”
       เซียนสูดลมหายใจยาว
      
       น้ำเพชรนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานในขณะที่โทรศัพท์ดังขึ้น น้ำเพชรเงยหน้าขึ้นหยิบมารับ
       “ห้องท่านประธานค่ะ”
       “คุณจันทร์ทิพย์ให้มาพบเดี๋ยวนี้”
       เสียงวางหูโทรศัพท์ลง น้ำเพชรมีสีหน้าหงุดหงิด
       “ยัยคนนี้ท่าจะบ้า”
       น้ำเพชรลุกขึ้นแล้วเดินไป น้ำเพชรเดินมาที่ห้องทำงานจันทร์ทิพย์
       “เร็วๆ เข้าย่ะ คุณจันทร์กำลังรออยู่” เลขาบอก น้ำเพชรทำท่าจะตอบโต้ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เดินไปเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป “ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย”
      
       “นั่งซิ”
       จันทร์ทิพย์บอกเมื่อน้ำเพชรเปิดประตูเข้ามา
       “ขอบคุณค่ะ”
       “ทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้าง”
       “ก็... ดีค่ะ”
       “แล้วอยากจะทำต่อไปไหม”
       “ทำไมหรือคะ”
       “คุณครรชิตกับนายเซียนถูกไล่ออกไปแล้ว ฉันเลยอยากรู้ว่าเธอจะไปกับเขาด้วยหรือเปล่า”
       น้ำเพชรเบิกตากว้างตั้งแต่ประโยคแรก
       “คุณครรชิตถูกไล่ออก”
       “แล้วเธอจะไปกับเขาหรือเปล่าล่ะ”
       น้ำเพชรมีสีหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง
       “ไม่ค่ะ”
       “แน่ใจนะ”
       “แน่ใจค่ะ”
       “แล้วฉันจะคอยดู”
      
       น้ำเพชรเม้มปาก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ขอขอบคุณจาก manager.co.th   

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น