วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครมณีแดนสรวง ตอนที่ 5 วันที่ 23 ก.ค. 55

   ชิโลกับอุ้มสมนั่งหน้าจ๋อยอยู่ที่โซฟา สการยืนจ้องทั้งคู่หน้าตาดุดัน ส่วนนารีถึงกับแปลกใจ
      
       “ตาแซม ที่เล่ามาเนี่ย จริงเหรอ”
       “ผมจะโกหกแม่ไปทำไม ยัยนี่แหละที่ไปป่วนงานของไอ้รัณจนมันไม่ได้แต่งงาน แถมยังเล่นงานผมอีก”
       ชิโลเถียง
       “ฉันไม่เคยคิดทำร้ายคุณ แต่คุณกัดฉันไม่ยอมปล่อย ฉันก็เลยต้องสั่งสอนบ้าง”
       “หุบปาก...ฉันยังไม่สั่งให้เธอพูด”
       “ฉันจะพูด ในเมื่อความผิดที่ฉันทำไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงขนาดฆ่าคนตาย เพราะฉะนั้นคุณไม่มีสิทธิ์จับฉันไว้แบบนี้”
       “หัวหมอนักนะยัยตัวแสบ...แบบนี้เห็นทีต้องพาไปเคลียร์ที่โรงพักแล้ว”
       “ฉันไม่ไป..ฉันมีเหตุผลที่ฉันต้องทำไปแบบนั้น”
       สการไม่สนใจทั้งฉุดทั้งดึงจะพาออกไป นารีรีบไปขวาง
       “ปล่อยแม่หนูคนนี้ไปเถอะตาแซม แม่ขอ”
       “แม่ !! แม่ไม่รู้หรอกครับว่ายัยนี่สร้างความวุ่นวายให้กับพวกผมมากแค่ไหน”
       “เท่าที่แม่ฟังเราเล่ามาก็มีแค่ทำให้งานแต่งของดรัณล่ม มันก็ไม่น่าจะเป็นความผิดถึงขนาดต้องจับเข้าคุกเข้าตะรางนี่ ทำไมไม่ลองฟังเหตุผลเขาก่อน”
       อุ้มสมรีบสอดทันที
       “ใช่ครับคุณป้า...ไม่ได้ลักขโมย ไม่ได้ฆ่าคนตาย ความผิดแค่หางอึ่ง ถ้ารู้ความจริงว่าทำไมต้องทำ จะรู้ว่าชิโลดีเลิศประเสริฐศรีแค่ไหน”
       สการหันขวับมาที่อุ้มสมทำเอาอุ้มสมตกใจรีบถอยไปหลบหลังนารี สการจะลากชิโลออกไปด้วยกัน
       “คุณป้า..ช่วยชิโลด้วย”
       “หยุดนะตาแซม แม่ขอคุยด้วย…ตอนนี้เลย”
       สการนิ่งไปมองแม่ที่ดูจริงจังขึ้นมาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
      
       นารีพาสการมาคุยกันสองต่อสอง ขณะที่ชิโลถูกสการจับใส่กุญแจมือล็อคเอาไว้กับขาโต๊ะ
       “ถึงกับต้องใส่กุญแจมือเขาไว้แบบนี้เลยเหรอ” นารีมองไม่พอใจ
       “ยัยนั่นไวอย่างกับปรอท ผมไม่ไว้ใจครับ”
       “บอกแม่มาสิตาแซม แม่หนูชิโลทำความผิดอะไรนักหนา เราถึงจ้องจะเอาเรื่องเขาไม่ยอมปล่อยแบบนี้”
       “ผมอธิบายให้แม่ฟังไม่ได้ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีที่ผมกำลังทำอยู่”
       “ร้ายแรงมากเลยเหรอ”
       “ไม่ได้ทำให้มีใครตายหรอกครับ แต่พอแม่นี่โผล่แผนการที่พวกผมวางไว้ก็พังหมด”
       “แต่แม่รู้สึกว่าหนูชิโลไม่ใช่คนไม่ดีเลย ถ้าเธอบอกว่ามีเหตุผลที่ต้องทำไปแบบนั้น เราก็ควรจะฟังเขาก่อน”
       “แม่เพิ่งเจอยัยนั่นแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง แม่จะไปตัดสินได้ยังไงว่ายัยนั่นไม่ใช่คนไม่ดี”
       นารีนิ่งแล้วมองไปยังชิโลที่ถูกใส่กุญแจมือล็อคเอาไว้ ชิโลพยายามแกะกุญแจมือจนเจ็บข้อมือหันไปบอกอุ้มสม
       “ทำอะไรสักอย่างสิอุ้มสม เราไม่ชอบถูกใส่กุญแจมือไว้แบบนี้เลย”
       “สภาพเราตอนนี้จะช่วยอะไรเจ้าได้ เราไม่อยากโดนผู้กองนั่นชักปืนไล่ยิงอีกนะ”
       นารีไม่ได้ยินที่สองคนนั้นซุบซิบกันแต่ยิ่งดูชิโลแล้ว ก็ยิ่งอดสงสารไม่ได้เมื่อคิดถึงปมในอดีตของตัวเอง
      
       ในอดีต...นารีกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลอย่างสงบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในวัด หลวงพ่อเดินเข้ามาคุยกับนารี
       “มาทำบุญให้เขาอีกเหรอโยม”
       “ค่ะหลวงพ่อ ถึงจะผ่านมาหลายปี แต่ดิฉันก็ยังรู้สึกผิด...เพราะดิฉันดูแลเขาไม่ดี เขาถึงต้องจากดิฉันไป”
       น้ำตาของนารีไหลอาบแก้ม ด้วยความเสียใจ
       “อย่าโทษตัวเองเลยโยม โยมเป็นแม่ที่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ”
       “ดิฉันอยากทำบุญให้เขาเยอะๆค่ะ”
       “โยมไม่ต้องกังวลไปหรอก ลูกโยมเขาไปอยู่ในภพภูมิที่ดีที่สูงกว่าแล้ว บุญกุศลของโยมอาจจะส่งให้โยมได้พบกับเขาในวันข้างหน้า”
       “จริงเหรอคะหลวงพ่อ”
       “หมั่นทำบุญ รักษาศีลไว้เถอะโยม”
       หลวงพ่อพูดเพียงแค่นั้นแล้วเดินจากไปอย่างสงบ นารีได้แต่มองตามด้วยความสงสัย
      
       นึกถึงอดีตแล้ว นารีหันกลับมาบอกลูกชาย
       “ถึงแม่จะได้เจอหนูชิโลแค่แป๊บเดียว แต่แม่ก็รู้สึกว่าหนูชิโลเป็นคนดี เธอต้องไม่มีพิษมีภัยกับใครแน่ จริงๆนะตาแซม”
       “แม่ครับผมว่าแม่ตัดสินคนจากภายนอกเร็วเกินไป”
       “แม่เป็นครูนะตาแซม แม่เจอคนมาเยอะ ดูแป๊บเดียวแม่ก็รู้ว่าใครดีไม่ดี เชื่อแม่นะ ฟังเหตุผลของหนูชิโลเขาก่อน”
       นารีจับมือลูกชายมากุมเอาไว้แล้วอ้อนวอนขอร้อง สการรู้สึกอึดอัดใจ
       “ผมปล่อยยัยนี่ไปเฉยๆไม่ได้หรอกครับแม่ เมื่อกี้นี้ก็เพิ่งมีคนบุกเข้าไปในห้อง ท่าทางไม่ได้มาปล้นแน่ๆ ยังไงผมก็ต้องสอบปากคำเธอ”
       “ตาแซม !!”
       “แต่ผมรับปากครับว่าถ้ายัยนั่นไม่ได้มีพิษมีภัยจริงๆอย่างที่แม่ว่า ผมจะพากลับมา”
       สการบอกแม่เสร็จก็เดินไปหาชิโล เอาลูกกุญแจมาช่วยไขปลดล็อคกุญแจมือ
       “จะปล่อยฉันแล้วเหรอ”
       “เปล่า...ฉันจะพาเธอไปสอบปากคำ”
       ชิโลตกใจ
       “อุ้มสม...คุณป้า”
       นารีกับอุ้มสมได้แต่ยืนหน้าเสียทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้สการพาตัวชิโลออกไป
      
       สการพาชิโลที่ถูกใส่กุญแจมือมาที่รถเปิดประตูแล้วสั่งให้เข้าไปนั่ง
       “เข้าไปนั่งสิ”
       ชิโลยืนเฉยเชิด
       “อย่าให้ฉันต้องลงมือกับเธอนะยัยตัวแสบ”
       “เลิกเรียกยัยตัวแสบซะที ฉันชื่อชิโล ชื่อเสียงเรียงนามมี ช่วยเรียกให้ดูเป็นมนุษย์หน่อย”
       สการมองแล้วยิ้มเยาะ
       “ได้..ยัยลิเกหลงโรง”
       สการจับหัวชิโลกดลงแล้วดันให้เข้าไปนั่งในรถ ชิโลร้องเจ็บโวยวาย
       “นี่เจ้าไม่มีสิทธิ์มาแตะเนื้อต้องตัวเรานะ”
       สการไม่สนใจปิดประตูใส่แล้วอ้อมมานั่งที่เบาะคนขับ พร้อมกดมือถือโทรออก
       “คุณตรีชฎาช่วยตามผู้กองดรัณให้ผมหน่อย ผมโทรเข้ามือถือแล้วไม่รับสาย”
       ชิโลชะงักไปทันทีที่ได้ยินชื่อผู้กองดรัณ ตรีชฎาบอกให้รู้...
       “ผู้กองดรัณกำลังตามคดีอยู่ค่ะ”
       “งั้นช่วยบอกเขาทีว่าผมได้ตัวยัยตัวป่วนงานแต่งมาแล้ว จะพาเข้าไปสอบปากคำเดี๋ยวนี้”
       สการกดปิดสาย ชิโลหันมาหน้าครุ่นคิด
       “จะพาฉันไปพบผู้กองดรัณเหรอ”
       “ใช่...คนที่เธอไปอ้างว่าเป็นกิ๊กกับเขาไง”
       “หึ....เชอะ !!”
      
       ชิโลสบัดหน้าใส่สการปล่อยให้เขาขับรถพาเธอไปสอบปากคำอย่างไม่โวยวาย เพราะเป้าหมายของเธอคือการได้พบกับดรัณ
 ดรัณกำลังเดินไปที่ห้องสอบสวน แต่ระหว่างนั้นเจอมัดหมี่ที่รีบเข้ามาพบเรียกชื่อดังลั่น
       
       “อ้าวคุณมัดหมี่…มาทำอะไรที่นี่ครับ”
       “มาทำงานสิคะ”
       “นึกว่ามารอเจอไอ้แซมซะอีก”
       “แหม...ก็ด้วยแหละค่ะ พอดีมีข่าวน่าสนใจมัดหมี่ก็เลยแวะมาดู กะว่าเสร็จงานแล้วจะชวนผู้กองแซมไปดินเนอร์ต่อ”
       “คงลำบากหน่อยครับ เมื่อกี้นี้ไอ้แซมเพิ่งส่งข่าวมาบอกว่าได้ตัวผู้หญิงที่มาป่วนงานแต่งผมแล้ว ตอนนี้กำลังพามาที่นี่คงต้องสอบปากคำกันยาว”
       มัดหมี่แอบเซ็ง
       “เหรอคะ...แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้มัดหมี่ขอทำงานก่อนดีกว่า ได้ยินว่าผู้กองเป็นคนดูแลคดีคุณหมอศักดิ์ชัย แพทย์ศัลกรรมมือหนึ่ง เจ้าของศักดิ์ชัยคลีนิค สวยหล่อกว่าเกาหลี ที่เพิ่งถูกพบตัวหลังจากหายตัวไปอย่างลึกลับใช่มั้ยคะ”
       “ครับ...คุณมัดหมี่กำลังทำข่าวเรื่องนี้”
       “ค่ะ...ทีมงานของมัดหมี่ไปสัมภาษณ์คนที่เจอคุณหมอ ได้ข้อมูลมาว่าคุณหมอมีอาการเสียสติ เอาแต่พูดว่าตัวเองถูกพวกอสูรจับไป มัดหมี่ก็เลยอยากได้ข้อมูลที่แท้จริงน่ะค่ะ”
       “ครับ ผมเชิญคุณหมอมาที่นี่จะสอบถามความจริงอยู่พอดี”
       “ถ้างั้น...มัดหมี่รบกวนผู้กองนิดนิงนะคะ” มัดหมี่ทำหน้าออดอ้อนสุดฤทธิ์ “นะคะ...นะคะผู้กอง”
       ดรัณนิ่งไปเจอลูกอ้อนของมัดหมี่แล้วใจอ่อน
      
       ภายในห้องสอบปากคำ มัดหมี่กับดรัณนั่งตรงข้ามหมอศักดิ์ชัย ที่ดูภายนอกแล้วเหมือนคนปกติทุกอย่าง เพียงแต่จะนั่งเงียบสายตาคอยมองรอบๆตัวอย่างระวังตลอดเวลา
       “คุณหมอคะ...สวัสดีค่ะ คุณหมอรู้จักมัดหมี่มั้ยคะ”
       หมอศักดิ์ชัยหันมามองอยู่ครู่
       “คุณมัดหมี่...จำได้สิครับจมูกที่ทำไปให้ มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”
       มัดหมี่ ชะงักอึ้ง
       “แล้วที่นัดมาเหลาคางกับทำนม จะมาเมื่อไหร่ครับ”
       ดรัณแอบมองหน้ากับมองหน้าอกแล้วแอบขำ มัดหมี่ชะงักหน้าเสียรีบเปลี่ยนเรื่อง
       “คุณหมอคะ...มัดหมี่ไม่ได้มาคุยเรื่องศัลยกรรมกับคุณหมอนะคะ คือ...มัดหมี่อยากสอบถามคุณหมอเรื่องที่คุณหมอถูกลักพาตัวไปค่ะ”
       มัดหมี่ถามเสร็จ หมอศักดิ์ชัยถึงกับมีท่าทางหวาดกลัวขึ้นมาทันที ดรัณถามย้ำ
       “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับหมอ..พวกที่มาลักพาตัวหมอไป...พวกมันเป็นใคร”
       “อสูร...ปีศาจ...พวกมัน...พวกมันเป็นอสูร..กลัวแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย”
       หมอศักดิ์ชัยตกใจกลัวรีบลุกไปคุดคู้ที่มุมห้อง ดรัณกับมัดหมี่มองหน้ากันอย่างแปลใจ
       “ถ้าพวกนั้นเป็นอสูรอย่างที่หมอว่าจริงๆ แล้วพวกนั้นมาลักพาตัวหมอไปที่ไหน แล้วพาไปทำไมคะมัดหมี่พยายามถามต่อ”
       “พวกมัน...พวกมัน....”
      
       หมอศักดิ์ชัยเล่าถึงเหคุการณ์ที่ผ่านมาว่า...ขณะที่เขาเพิ่งจะเสร็จ งาน และกำลังเก็บกระเป๋าออกจากห้องทำงาน ก็ต้องชะงักกึกเมื่อเจอชายสองคนในชุดสูทสีดำสวมแว่นดำยืนขวางทาง
       “พวกคุณเข้ามาได้ยังไง คลินิกปิดแล้วนะ”
       อัคราสูรจ้องหน้า
       “แกคือหมอศักดิ์ชัย ศัลยแพทย์มือหนึ่งที่ทำหน้าพวกดาราดังๆให้สวยหล่อจนเกาหลีเรียกพ่อใช่มั้ย
       “ชะ....ใช่ ถ้าพวกคุณจะมาให้ผมทำหน้าให้ ก็ไว้มาพรุ่งนี้ ตอนนี้ผมเลิกงานแล้ว”
       หมอจะเดินหนีแต่ถูกจิตราสูรเข้าไปผลักอก
       “แกยังไปไหนไม่ได้ แกต้องรักษาหน้าให้เจ้านายของพวกเรา”
       “ผมบอกแล้วไง ถ้าพวกคุณจะมาให้ผมช่วย ก็ต้องไปต่อคิว ลูกค้าผมต่อให้เป็นเซเลบดังแค่ไหน ก็ต้องต่อคิวทั้งนั้น”
       อสุเรศตวาด
       “แต่ถ้าแกรู้ว่าลูกค้ากิตติมศักดิ์ของแกเป็นใคร แกจะต้องยกเลิกนัดทั้งหมดเพื่อมารักษาให้ข้าคนเดียว”
       หมอศักดิ์ชัยหันไปตามเสียงเห็นชายหนุ่มสวมแว่นดำชุดสูทสีดำ แต่มีฮู้ดคลุมหน้าและยืนอยู่ในมุมมืด
       “ต่อให้เป็นลูกนายก ก็ต้องต่อคิว”
       “ข้าไม่ใช่ลูกนายก แต่ข้าเป็นลูกชายของเจ้าแห่งพิภพอสูร”
       อสุเรศก้าวออกมาจากมุมมืด แล้วถอดแว่นตาดำและเอาฮู้ดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นจากฤทธิ์เดชของรัศมิชโลธร ใบหน้านั้นดูน่ากลัวด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
       อัคราสูรกับจิตราสูรเองก็ถอดแว่นดำ แล้วเผยให้เห็นใบหน้าของอสูรอันน่ากลัว ฟันแหลมคม ตาแดงก่ำ หมอศักดิ์ชัยถึงกับเหวอตกใจ
       “หมอคงยังไม่เคยเห็นพิภพอสูร ข้าจะพาไปให้เป็นบุญตาหมอสักครั้ง...หึๆๆๆ”
      
       ที่โถงของอาคารสำนักงานตำรวจฯ สการจับแขนพาชิโลเข้ามา
       “ปล่อยฉันนะ...ฉันเดินเองได้ไม่ต้องมาจับ”
       “หยุดพยศซะที ถ้าเธอยังไม่เลิกกวนประสาทฉัน จะจับขังคุกสักคืน จะเอาให้เข็ดเลย”
       “นี่คุณ...ถามจริงๆเถอะ คุณป้าเก็บคุณมาเลี้ยงเหรอ นิสัยคุณถึงได้ต่างกับคุณป้าเหมือนสวรรค์กับนรก”
       สการไม่พอใจ
       “นี่ยังกล้าด่าฉันอีกเหรอ อยากโดนอีกข้อหาใช่มั้ย”
       “เอาเลย..อยากจะยัดข้อหาอะไรให้ฉันก็ตามสบาย ตอนนี้ฉันหนีไปไหนไม่รอดแล้วนี่”
       “ยัยตัวแสบ...ฉันไม่รู้ว่าเธอไปเป่าหูอะไรแม่ฉัน แต่ฉันขอบอกไว้เลยฉันไม่มีวันใจอ่อนกับเธอเหมือนแม่ฉันแน่”
       “แล้วคิดเหรอว่าฉันจะพูดอะไรให้คุณฟัง ต่อให้คุณถามอะไรมาฉันก็จะไม่ตอบ เพราะคนที่ฉันจะคุยด้วยมีแค่ผู้กองดรัณคนเดียวเท่านั้น”
       “นี่เธอ !!”
       สการจ้องหน้าชิโลอย่างหัวเสีย แล้วเข้าไปจับแขนชิโลมาบีบแน่นพาตัวเดินเข้าไป ชิโลเจ็บ ร้องเสียงดัง...
       “โอ้ย...เจ็บนะ ปล่อยฉัน ตำรวจใจโหด มนุษย์ใจร้าย ใจอสูร !!”
      
       ในห้องสอบสวน...หมอศักดิ์ชัยกลัวจนลนลาน มัดหมี่กับดรัณมองอย่างสงสัย
       “พวกนั้นพาหมอไปพิภพอสูรมาเหรอคะ”
       “ใช่...ที่นั่นมีแต่พวกอสูรเต็มไปหมด พวกมันน่ากลัวมาก”
       ดรัณไม่เชื่อ แต่ก็ถาม...
       “แล้วพวกนั้นมันต้องการอะไรจากหมอ”
       “มัน...มัน...มันอยากให้หมอรักษาหน้าของมันให้หายจากรอยแผลเป็น”
       มัดหมี่อึ้ง
       “ว่าไงนะคะหมอ”
       “มันบอกว่ามีนางฟ้าทำให้หน้าของมันเป็นแผล มันสั่งให้หมอทำหน้าของมันให้กลับมาหล่อเหมือนเดิม แต่หมอทำให้ไม่ได้ แผลเป็นบนหน้าของมันรักษายังไงก็ไม่ได้”
       มัดหมี่ถอนใจเฮือก
       “เฮ้อ...นึกว่าจะได้ข่าวที่จี๊ดถึงใจ ที่ไหนได้ทั้งนางฟ้า ทั้งอสูร ไร้สาระที่สุด ผู้กองคะ มัดหมี่ไม่มีอะไรจะถามแล้วค่ะ เสียเวลา มัดหมี่ไปรอผู้กองแซมที่ห้องทำงานนะคะ”
       มัดหมี่รีบเดินออกไป หมอศักดิ์ชัยหันมานั่งกลัวตัวสั่นงงๆ ลนลานจนน่าเวทนาเอาแต่พูดพร่ำกับตัวเอง
       “พวกอสูร...น่ากลัว พวกมันมากันแล้ว ต้องหนี อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องหนี...ฮือๆๆๆ”
      
       ดรัณได้แต่ยืนมองอาการหมอด้วยสีหน้าแปลกใจ
 ดรัณพาตัวหมอศักดิ์ชัยออกมาให้ ตรีชฎากับตำรวจที่รออยู่นอกห้อง
       
       “เรียบร้อยแล้วเหรอคะผู้กอง”
       “ครับ เดี๋ยวคุณตรีชฎาช่วยทำเรื่องส่งตัวคุณหมอไปที่โรงพยาบาลให้ด้วย คงต้องมีการตรวจสุขภาพจิตอย่างละเอียด”
       ตรีชฎาแอบกระซิบถาม
       “ตกลงแกเสียสติรึเปล่าคะ”
       “แกว่าแกถูกลักพาตัวไปพิภพอสูรมา คุณว่ายังไงล่ะ”
       ตรีชฎาชะงักไปแล้วแอบมองหมอศักดิ์ชัย ที่เอาแต่พร่ำพูดอย่างตื่นกลัว
       “พวกอสูรมันมาแล้ว เราต้องหนี อยู่ไม่ได้ พวกมันมากันแล้ว ต้องหนี...หนี !!”
       หมอศักดิ์ชัยกลัวจนขีดสุด และขาดสติผลักตำรวจที่มาคุมตัวจนกระเด็นแล้ววิ่งหนีไปทันที
       “อ้าวเฮ้ย...เป็นเรื่องแล้วไง”
       ดรัณรีบวิ่งตามหมอไปทันที
      
       สการพาชิโลเดินมาตามทาง สการบีบแขนแน่นชิโลบ่นเจ็บ
       “ฉันเจ็บนะ จับฉันเบาๆไม่ได้เหรอไง ตำรวจใจร้าย”
       สการไม่สนใจทั้งฉุดทั้งลากชิโล
       “เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์ หัวใจของเจ้าชอบแต่เรื่องโหดร้ายทารุณ เหมือนพวกอสูร”
       สการเหลืออด
       “เว้ยยย...ฉันเบื่อไอ้สำนวนลิเกของเธอเต็มทนแล้ว ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นพวกเสียสติ หวังจะให้ฉันปล่อยเธอไปหรอก ฉันรู้ทัน”
       “นี่เราเตือนเจ้านะ ถ้าวันๆเจ้าคิดแต่เรื่องโหดร้ายทารุณ ไม่คิดจะทำบุญทำกุศล เจ้าก็อย่าหวังเลยว่าชาตินี้จะได้เห็นสวรรค์กับเขา”
       “ตกลงจะไม่หยุดเพ้อเจ้อใช่มั้ย”
       “ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ ฉันพูดเรื่องจริง”
       ระหว่างที่สการกับชิโลกำลังเถียงกันหน้าดำหน้าแดง หมอศักดิ์ชัยก็วิ่งพุ่งตรงเข้ามาโดยไม่ทันมอง หมอวิ่งชน โครมชิโลจนกระเด็น
       “ว๊ายยยย !!”
       ชิโลก้นจ้ำเบ้า หมอก็ล้มลงไปเหมือนกัน ดรัณวิ่งตามมาไกลๆรีบตะโกนบอกสการ
       “ไอ้แซม...จับตัวไว้อย่าให้หนีไปได้”
       หมอรีบลุกขึ้นจะหนีต่อ สการรีบเข้าไปจับตัวหมอมารวบเอาไว้
       “ปล่อย...ปล่อยผม...เราต้องหนี พวกอสูรมากันแล้ว พวกมันมาอยู่ที่นี่”
       ชิโลได้ยินหมอพูดถึงอสูรก็หันมาสนใจทันที หมอศักดิ์ชัยหันมาที่ชิโลแล้วชะงักไป
       “เจ้า...เจ้าว่าอะไรนะ พวกอสูรมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”
       “ใช่...พวกมัน...พวกมันมากันแล้ว มันมาตามล่านางฟ้า มันจะแก้แค้นนางฟ้า !!”
       ชิโลถึงกับอึ้งหน้าเสียเข่าอ่อนไปทันที ดรัณกับตำรวจรีบเข้ามาช่วยคุมตัวหมอศักดิ์ชัยเอาไว้
       “ปล่อยผม...พวกเราอยู่ไม่ได้แล้ว พวกอสูรมาอยู่ที่นี่กันแล้ว พวกมันมาแก้แค้นนางฟ้า เราต้องหนี...ปล่อยผม”
       ตำรวจรีบพาตัวหมอศักดิ์ชัยออกไป สการแปลกใจถามดรัณ
       “นี่มันเรื่องอะไรวะเนี่ยไอ้รัณ”
       “เรื่องมันยาวว่ะ เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง”
       ดรัณหันไปที่ชิโลเห็นนั่งเข่าอ่อนหน้าซีด
       “นั่น...”
       “เออ...นี่แหละยัยตัวแสบที่อ้างว่าเป็นกิ๊กแกไง”
       สการเข้าไปที่ชิโลที่ลุกไม่ขึ้นเพราะเข่าอ่อน
       “เอ้า..ลุกขึ้นได้แล้ว เก่งไม่จริงนี่ เจอแค่นี้ถึงกับเข่าอ่อนเลยเหรอ”
       ชิโลหน้าเสียพูดอะไรไม่ออก ปล่อยให้สการจับแขนดึงขึ้นแล้วพาเดินไปห้องสอบสวนอย่างว่าง่ายเพราะเสียขวัญ
      
       อุ้มสมกับนารี ยืนมองสภาพห้องแล้วสลด เพราะสภาพห้องเละเทะไปหมด
       “เฮ้อ...ดูสิเละเทะไปหมดเลย สงสัยต้องบอกผู้จัดการตึกให้เข้มงวดเรื่องคนเข้าออก”
       อุ้มสมไม่ตอบอะไรเพราะจมูกได้กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง อุ้มสมเดินตามกลิ่นไปตรงจุดที่อัครสูรยืนสู้กับสการ
       อุ้มสมตกใจ
       “กลิ่นกายพวกอสูร !! พวกมันมาตามหาเราที่นี่จริงๆด้วย”
       อุ้มสมหน้าเสียตกใจกลัว นารีหันมาสงสัย
       “เมื่อกี้นี้ว่าอะไรเหรออุ้มสม”
       “เอ่อ...เปล่า...เปล่าครับคุณป้า”
       นารีเข้ามาจับแขนปลอบใจ
       “เจอขโมยบุกเข้ามาถึงห้องแบบนี้คงจะตกใจแย่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ลูกชายป้าเขาต้องช่วยได้แน่ เดี๋ยวเขาก็คงพาพี่สาวเรากลับมา”
       “เอ่อ...ครับคุณป้า”
       อุ้มสมตอบไปอย่างแกนๆ แต่สีหน้ายังคงกังวลเป็นอย่างมาก
      
       ณ คฤหาสน์หลังหนึ่ง เป็นตึกทรงโบราณดูน่าเกรงขามและน่ากลัว ภายในคฤหาสน์เสียงเพลงเต้นรำอึกทึกครึกโครม สาวๆสก๊อยนุ่งขาสั้นกลุ่มนึงสนุกสนานกับปาร์ตี้ เต้นยั่วยวนให้อสุเรศที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้หลุยส์ตัวใหญ่ สวมแว่นดำอันโตเก๊กท่าเคร่งขรึม
       จิตราสูรยืนสวมสูทสีดำทำเท่ห์อยู่ข้างๆ แต่แอบขยับนิ้วเต้นตามจังหวะเพลง...ตืดๆไปด้วย
       อสุเรศหันมามองสมุนตัวเองที่กำลังตืดๆ จิตราสูรลืมตัวเต้นเยอะไปหน่อยจนนึกได้กลับมาทำเคร่งขรึมเหมือน เดิม
       “โลกมนุษย์มันมีแต่เรื่องสนุกจริงๆนายท่าน ที่พิภพอสูรน่าจะมีสาวสก๊อยมั่ง”
       สาวๆสก๊อยเข้ามาเต้นยั่วรอบๆอสุเรศเหมือนพวกมิวสิควีดิโอเพลงฮิพฮอพ อสุเรศหัวเราะชอบใจ
       “หึๆๆๆ...ฮ่าๆๆๆๆๆ”
       สาวคนหนึ่งมานั่งตักแล้วลูบหน้าอสุเรศไล้ไปมา อสุเรศจับมือเธอเอาไว้หมับ
       “ข้าเตือนไว้ก่อน อย่าถอดแว่นไม่งั้น พวกเธอจะต้องตกใจ”
       สาวยิ้มยั่ว
       “ตกใจความหล่อเหรอคะ”
       อสุเรศยิ้มมุมปากนิดนึง สาวสวยไม่เชื่อคำเตือนจึงค่อยๆถอดแว่นตาอสุเรศออก เมื่อพบว่าใบหน้าของอสุเรศมีแผลเป็นน่ากลัวผาดผ่านดวงตาลงมาถึงแก้มเป็นทาง ยาว และดวงตาของอสุเรศก็แดงก่ำน่ากลัว บรรดาสาวๆพากันตกใจกลัวร้องเสียงหลงถอยไปรวมกลุ่มกัน
       “อี๊...นึกว่าจะหล่อ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว อัปลักษณ์ อักลี่ ตัวเหม็นสุดๆ ต่อให้รวยก็ไม่เอาหรอก ไปเถอะพวกเรา”
       อสุเรศฉุนลุกพรวด
       “เจ้าว่าไงนะนังมนุษย์ ปากหาเรื่องแบบนี้ คิดว่าจะได้ออกไปง่ายๆเหรอ”
       สิ้นคำพูดประตูห้องโถงปิดเข้ามาดัง...ปัง !! พวกสาวๆพากันตกใจ
       “ให้กระผมสั่งสอนพวกมันเองขอรับนายท่าน” จิตราสูรบอก
       “จัดไป...ให้มันได้เห็นร่างที่แท้จริงของแก..ไอ้จิตราสูร”
       “ขอรับนายท่าน”
       จิตราสูรยิ้มร้ายแล้วเดินไปที่กลุ่มสาวๆที่ยืนกอดกันกลัว จิตราสูรหัวเราะลงคอหึๆๆ ถอดแว่นตาดำออกเห็นดวงตาน่ากลัว
       เงาของจิตราสูรขยายใหญ่ขึ้นๆจนสูงใหญ่เกือบเท่าความสูงของห้อง เสียงหัวเราะของจิตราสูรดังกังวานน่ากลัว พวกสาวๆกรี๊ดกันดังลั่น...กรี๊ดดด
      
       สาวสก๊อยวิ่งหนีออกมาจากคฤหาสน์ร้องเสียงหลงกระเจิดกระเจิง อสุเรศกับจิตราสูรเดินตามออกมาหัวเราะชอบใจ
       “จะปล่อยนังพวกนั้นไปอย่างนี้เหรอขอรับนายท่าน” จิตราสูรถาม
       “ปล่อยมันไป สก๊อยอย่างนังพวกนั้นถึงไม่ตายด้วยน้ำมือข้า ชะตาของมันก็ไม่พ้นวันนี้พรุ่งนี้ จุดจบของพวกมันก็อยู่บนถนนนั่นแหละ”
       “น่าเสียดาย กระผมชอบพวกมันซะด้วย ไว้กระผมขอแวบไปหาพวกมันในนรกภูมิบ้างได้มั้ยขอรับนายท่าน”
       “อย่าให้เดือดร้อนมาถึงข้าแล้วกัน”
       อสุเรศจะกลับเข้าไปในคฤหาสน์ แต่ระหว่างนั้นอีกาสีดำตัวใหญ่บินเข้ากระพือปีกเสียงดัง อสุเรศกับจิตราสูรเงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่งอีกาตัวนั้นก็ค่อยๆกลายร่างเป็น อัคราสูรในชุดสูทสีดำน่าเกรงขาม
       “นายท่าน”
       “ว่ายังไง เจอรัศมิชโลธรมั้ย”
      
       อัคราสูรมองอสุเรศด้วยสีหน้าหนักใจ
ขอขอบคุณจาก manager.co.th   

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น