วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครสาวน้อย ตอนที่ 7 วันที่ 17 ก.ค. 55

 นิดเริ่มร้องเพลง เสียงใสกังวานไพเราะราวเสียงทิพย์จากสรวงสวรรค์ เพลงนั้นพรรณนาถึงโชคชะตาที่นำพาความสุข ความเศร้า ความรัก และการพลัดพรากมาสู่มนุษย์
       เสียมมองดูนิดอย่างไม่เชื่อสายตา ภาพของนิดเบื้องหน้าบนเวทีดูคล้ายจะเติบโตจากเด็กสาวกลายเป็นสาวสะคราญโฉมในวันเดียว
       คนในงานมองดูนิดอย่างทึ่ง ชื่นชม เชิดมองดูนิดอย่างผูกพัน เนื่องภาคภูมิใจ แก้วปลาบปลื้มเพื่อน แม้นและลูกน้องมองด้วยความหลงใหลใฝ่ฝัน ทับทิมเชิดใส่ หลวงพิจารณ์ปลาบปลื้ม
       เพลงมาถึงท่อนดนตรีบรรเลง ซึ่งปรกติแล้วจะเป็นช่วงนักร้องยืนเฉยๆ หรือโยกตัวเล็กน้อยตามจังหวะเพลง แต่นิดกลับฮัมเพลงคลอออกมา
       เสียงฮัมนั้นกังวานใสเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
       เสียมตกตะลึงจังงัง และจำได้ในทันที
      
       เสียมอยู่บนเรือโป๊ะได้ยินเสียงฮัมเพลงประหลาดดังมาจากเกาะ เลือนเสียงฮัมของนิดกลายเป็นเสียงเพลงในวันนั้นซึ่งเป็นเพลงเดียวกับเทพธิดา แห่งแรงดลใจ
       เสียมแหวกว่ายในน้ำไปหาเสียงเพลง
       เสียมจมวูบลงใต้น้ำ นิดอยู่ตรงหน้าในอาภรณ์บริสุทธิ์เบาพลิ้วของเทพธิดา
       เทพธิดาแห่งแรงดลใจจูบเสียม
      
       เสียม ผวาเยือกสติกลับคืนมาสู่ปัจจุบัน เสียงเพลงกลับกลายเป็นเสียงที่นิดร้องบนเวทีอีกครั้ง
       เสียมมองดูนิดคล้ายกับเพิ่งได้พบสิ่งที่ค้นหาโดยไม่รู้ว่ามันอยู่ ใกล้ๆตัวเองมาตลอด ในวินาทีนั้นความรู้สึกที่มีต่อนิดก็เปลี่ยนไป จากพี่ชายกับน้องสาว จากผู้เป็นหนี้ชีวิตกับผู้มีพระคุณกลายเป็นความรักของชายหนุ่มต่อหญิงสาวผู้ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
       ดวงตาของเสียมเต็มไปด้วยความรักอันแรงกล้า ความหลงใหลใฝ่ฝัน
       นิดร้องเพลงแล้วกวาดสายตาไปยังคนดู แล้วมองตรงมาที่เสียมก็เห็นแววตาที่เสียมมองมาด้วยดวงตาอันเชื่อมหวาน
       นิดชะงักหน้าแดงวูบแล้วเบือนหลบสายตาอย่างเอียงอาย ความผูกพันที่ก่อตัวมานานก็พลันเปลี่ยนไปในวินาทีนั้นเช่นกัน
       ท่าทีสะทกสะท้านหวั่นไหวของนิดยิ่งทำให้การร้องเพลงของนิดดูมีชีวิต ชีวายิ่งขึ้น ทุกคนที่ไม่ทราบความในใจของทั้งคู่ก็ยิ่งชื่นชมและเอ็นดู
       เชิดยิ้ม เนื่องน้ำตาคลอแล้วรู้สึกว่ามือถูกกุมไว้ เนื่องสะดุ้งหันมองดูก็เห็นแก้วกุมมือเนื่องอย่างไม่รู้ตัว เนื่องทำตาปริบๆ แก้วก็ยังไม่รู้ตัว
       นิดร้องทอดเสียงดนตรีโหมขึ้นจนสูงสุดแล้วจบลง นิดย่อตัวลง
       เสียมปรบมือก่อนใคร คนดูทุกคนปรบมือตาม ทับทิมตบมืออย่างเซ็งๆ แก้วเพิ่งรู้ตัว
       “ว้าย พี่เนื่องมากุมมือฉันทำไม” แก้วร้องโวย
       แก้วรีบดึงมือออกแล้วมองค้อนเนื่องด้วยสายตาแพรวพราวจนเนื่องเซ็ง
       เสียงปรบมือดังยาวนาน มีเสียงโห่ร้องอย่างชื่นชมปนมาด้วย หลวงพิจารณ์ยืนขึ้นปรบมืออย่างภาคภูมิใจ นิดยิ้มอย่างขอบคุณ
       บนเวทีไม่มีนักร้องแต่ยังกำลังบรรเลงดนตรีทอท้วงทำนองอยู่ หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ยิ้มร่าเดินออกมากับนิด บรรดาข้าราชการ ด่านภาษี และคุณนาย กับบรรดาผู้ลากมากดีที่มาตากอากาศเข้ามารุมล้อมนิดอย่างชื่นชม นายด่านเป็นลูกครึ่งฝรั่งร่างสูงใหญ่มากับภรรยาหญิงไทยที่กินหมากปากเปรอะ
       “ตัวนิดเดียว ไปเอาเสียงมาจากไหน” นายด่านว่า
       “แม่คุณเอ๋ย เสียงยังกะนางฟ้านางสวรรค์” ภรรยาบอก
       “ขอบพระคุณค่ะ นายด่าน คุณป้าปราง” นิดบอก
       “นี่ลูกแม่นิ่มใช่ไหมนี่” ข้าราชการถาม
       “อย่างนี้ไปเป็นนักร้องกรมโฆษณาการ (๑)ได้เลย” ชาวกรุงคนหนึ่งบอก
       นิดยิ้มรับมีอาการเขินอายนิดหน่อย เสียม เชิด เนื่อง แก้ว เดินเข้ามา
       “นิดร้องดีจริงๆ” เชิดบอก
       “คนฮือฮากันทั้งงานเลย” แก้วบอก
       “นิดร้องเป็นไงบ้างจ๊ะ พี่เนื่อง” นิดถาม
       “ก็...พอใช้ได้”
       นิดมองค้อนพี่ชายหันมาทางเสียมที่มองอย่างชื่นชม นิดยิ้มนิดๆแล้วถาม
       “พี่เสียมไม่เห็นพูดอะไรเลย”
       “พี่ตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออกต่างหาก”
       ทับทิมยืนหน้าหงิกอยู่ทางด้านหลัง แม้นและลูกน้องก็ทำท่าอยากเข้าไปหานิด
       “ฮึ ไม่รู้จะเห่ออะไรกันก็แค่ร้องฮู่ๆ ฮ่าๆ เชอะ ฉันก็ร้องได้”
       “ไหนลองร้องซิจ๊ะ” แม้นบอก
       ทับทิมร้องจะให้เป็นเสียงฮ้าแต่เสียงออกมานั้นดังแหบแห้งเล่นเอาแม้นกับลูกน้องสะดุ้ง
       “ว้าย ทำไมเสียงฉันเป็นยังงี้”
       “เฮ้อ เอ็งโดนนมโกรก เอ๊ย ลมโกรกจนเป็นหวัดแล้วล่ะ” แม้นบอก
       “หรือไม่ก็ปอดบวม” ลูกน้องคนแรกบอก
       “ช่าย บวมจนทะลักออกมาข้างนอก” ลุกน้องคนที่สองซ้ำ
       ทับทิมร้องกรี๊ดดังแหบแห้ง รีบตวัดผ้ามาคลุมทรวง
      
       นิด เสียม เชิด เนื่อง แก้ว เดินมายังมุมหนึ่งของวัดซึ่งเป็นแหล่งของกิน มีหาบขนมจีน ข้าวแกง ข้าวโพดคั่ว ข้าวเกรียบว่าว อ้อยควั่น ฯลฯ ชาวบ้านที่เดินสวนมายกนิ้วโป้งชูให้นิดพลางยิ้มชมเชย นิดยิ้มรับ เสียมมองนิดอย่างภาคภูมิใจ แต่เชิดนั้นยิ้มร่า
       แม้น ทับทิม และสองลูกน้องเดินสวนมา แม้นเข้ามาหานิด พูดเสียงหวาน
       “นิดจะกินอะไรหรือจ๊ะ พี่แม้นเลี้ยงเองเอาไหม”
       “ไม่เอาดีกว่าจ้ะ”
       “โธ่ นิดคนสวย ให้พี่เลี้ยงเถอะนะจ๊ะ นะจ๊ะ”
       แม้นต้อนนิดอยู่ไปมาจนเชิดก้าวไปจ้องหน้าแม้น
       “ไอ้แม้นเอ็งไปเกี้ยวอีทับทิมเถอะ อย่ามายุ่งกับนิด”
       “ทำไมวะ”
       “ไม่ทำไม แต่เอ็งมันวอนตีนแล้ว”
       “พี่เชิด” นิดร้องขึ้น
       แม้นตาขวางยื่นหน้าเข้ามา
       “มึงมาขวางมึงเป็นผัวนิดหรือ”
       นิดสะดุ้ง เชิดขบกราม เสียมสะอึกเข้ามาอีกคน
       “หุบปากนะ” เสียมบอก
       ทับทิมยิ้มเยาะ
       “หรือว่ามึงผลัดกันกะไอ้เสียม”
แม้นพูดยังไม่ทันขาดคำ เชิดก็ชกเปรี้ยงเข้าเต็มหน้า แม้นหงายหลังผลึ่งไปบนเจ้าข้าวโพดคั่วจน ตะแกรงคั่วกระเด็นไป แม้นล้มไปบนเตา ไฟติดหลังร้องโหยหวนกลิ้งไปตามพื้นจนดับ เชิดโผนเข้าทั้งเตะและกระทืบซ้ำ ฝ่ายลูกน้องโผนเข้าหาเชิด แต่เนื่องและเสียมเข้ามาประกบ ลูกน้องของแม้นเลยลังเล
       บรรดาไทยมุงแห่กันมารุมล้อม เชิดเตะแม้นกลิ้งไปกลิ้งมาหมดลายนักเลงประจำเกาะ
       นางนิ่มกับนางแสแหวกคนเข้ามา เห็นทับทิมยืนเชิดอยู่
        “ว้าย อะไรกันนี่” นางนิ่มถาม
        “มันต่อยกันแย่งฉันนะน้า” ทับทิมบอก
        “ทุด! ข้าฟังอยู่ มันแย่งนังนิดตะหาก” นางแสว่า
        นิดก้าวพรวดไป
        “พี่เชิด”
        เหมือนคำประกาศิต เชิดหยุดถอยมาแต่ตัวยังสั่นเพราะโทสะ เนื่องเข้าจับแขน
        “พอโว้ย”
        ลูกน้อง ๒ คนประคองแม้นขึ้น สารรูปยิ่งกว่าโดนหมาฟัด แม้นมองเชิดอย่างอาฆาตแค้น
       เชิดชี้หน้า
      
        “ถ้ามึงมาพูดจาโอหังกับนิดอีก กูจะเอามึงให้ตาย” เชิดบอก
        “ฝากไว้ก่อนเถอะ”
        “ไม่รับฝากโว้ย” แก้วว่า
        หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์แหวกคนเข้ามากับลูกน้อง
        “อะไร มีเรื่องอะไรกัน”
        “ไม่มีอะไรจ๊ะ คุณอาหลวง ไอ้แม้นมันเดินสะดุดตีนไอ้เชิด” เนื่องว่า
        หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มองแม้นกับเชิดแล้วพูดไม่ออก
      
        นางนิ่ม เสียม นิด เนื่อง แก้ว เชิด เดินมายังบริเวณทางเดินริมหาด แสงจันทร์เต็มดวงส่องสว่าง ชายหาดขาว คลื่นซัดสาดเป็นฟองขาวเข้าหาฝั่ง
        “ปู้โธ่เอ๊ย วันพระวันเจ้าไม่น่ามีเรื่องมีราวกันเลย” นางนิ่มบอก
        “พี่เชิด ทำไมโมโหร้ายนักจ๊ะ” นิดถาม
        “ใครกล้ามาทำอะไรนิดพี่จะไม่เอามันไว้”
        เสียมมองเชิด นิดอ่อนใจ
        “พี่แม้นก็แค่ปากเปราะ เขาไม่ทำอะไรนิดหรอกจ๊ะ”
        “นิดเที่ยวไปไว้ใจใครง่ายๆ อีกแล้ว”
        เชิดปรายตาดูสรรค์แวบหนึ่ง
        “พี่กลับก่อนล่ะ แม่นิ่มฉันแยกไปก่อนนะ”
        เชิดไม่ล่ำลามากความเดินแยกไป นิดมองตาม
        “ฉันก็ไปเหมือนกัน ฉันเป็นห่วงแม่”แก้วบอก
        “นี่มันดึกดื่นค่อนคืนแล้วนะ แก้ว” นิดว่า
        “พี่เนื่องไปส่งแก้วหน่อยนะจ๊ะ” นิดบอก
        “มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยวะ”
        แก้วเชิดใส่เล็กน้อยแล้วบอก
        “ไปก็ไปซี”
        แก้วยิ้มออกทันที เนื่องแก้วเดินแยกไป เสียม นิด นิ่มเดินเลาะขึ้นตามแนวเขา นิ่ม นิด เดินนำ เสียมตามหลังแล้วหันไปดูเห็นเชิดเดินอยู่คนเดียว ห่างเชิดออกไปมีร่างสามร่างตามมาห่างๆ และสามร่างนั้นขยับมีดสะท้อนแสงจันทร์วาววับ เสียมหันบอกนิดกับนางนิ่มทำทีปรกติทุกอย่าง
        “แม่นิ่มกับนิดเข้าบ้านก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันไปดูเรือหน่อย”
        นิ่มกับนิดแปลกใจนิดหน่อย แต่ไม่ว่าอะไร เสียมแยกลงเขาแล้วเดินตามเชิดและร่างทั้งสามนั้นไป
      
        ชายหาดขาวสลับด้วยโขดหินสีดำเป็นระยะ เชิดเดินมาคนเดียวด้วยสีหน้าเครียดครุ่นคิดจนไม่ระวังตัว เชิดเดินผ่านโขดหินหนึ่ง มีร่างหนึ่งโผล่มาทางด้านหลัง ในมือมีท่อนไม้ เงื้อขึ้นฟาดลงเข้าที่ศีรษะใกล้ท้ายทอยเชิด
        “โอ๊ย”
        เชิดถลาไปเบื้องหน้าแล้วล้มลงอย่างมึนงงใกล้สิ้นสติ แต่ก็พยายามพลิกตัวมานั่งชันเข่า ดวงตาพร่าพรายเห็นร่างเบื้องหน้าซ้อนกันนับสิบ แล้วรวมกันเข้าเหลือเพียงสามคน แม้นยืนถือไม้ท่อนใหญ่ หน้ายังคงบวมช้ำดวงตาเจิดจ้าสมใจ ลูกน้องคนหนึ่งถือดาบ อีกคนถือมีด
        “ที่กูฝากไว้ กูมาเอาคืนแล้วไอ้ลูกหมา” แม้นบอก
        “มึง ไอ้พวกหมาลอบกัด”
        “ทีใครทีมันโว้ย เมื่อกี้มึงหยามกูนัก ทีนี้กูจะฝากแผลไว้ให้มึงอายคนบ้าง”
        แม้นโยนไม้ทิ้งไป เชิดขบกรามกระถดถอย แม้นแบมือลูกน้องส่งมีดยาวให้ แม้นก้าวเข้าหาเชิด เชิดถอยไปจนหลังชนโขดหิน แม้นกวัดแกว่งดาบใกล้หน้าเชิด เชิดพยายามเอียงหน้าหลบ แต่ความมึนงงทำให้ชักช้า
        “ไอ้...”
        “มึงหลบไม่พ้นหรอก”
        คมดาบกรีดเข้าที่หางคิ้ว เลือดไหลปรี่ออกมา แม้นหัวเราะก๊าก ลูกน้องทั้ง ๒ คนหัวเราะตามเป็นลูกคู่ แม้นยิ้มก้าวเข้าไปอีกแล้วยื่นมีดเข้าไป
        “มึงรักอีกนิดนักใช่ไหม กูอยากรู้ว่าพอมึงเป็นไอ้หน้าบากแล้วอีนิดจะเอามึงไหม”
        เชิดเอียงหน้าหนี แม้นตาวาวจรดปลายมีดเตรียมกรีดที่โหนกแก้มเชิด เชิดขบกราม
 ร่างหนึ่งโผนมาด้วยความเร็ว กระโดนถีบไอ้แม้นจากด้านข้าง ไอ้แม้นล้มตะแคงไป มีดกระเด็นหลุดมือ เชิดมองดูเห็นเสียมที่ยืนเด่นอยู่ตรงหน้า เสียมมองเชิดอย่างเป็นห่วง
       “เชิด ไหวไหม”
       “ไอ้เสียม ระวัง”
       ลูกน้องที่ได้สติก่อนโผนเข้ามาฟัน เสียมทิ้งตัวกลิ้งไปตามพื้น มือดาบไล่ฟันซ้ำ เสียมหลบอย่างฉิวเฉียด ลูกน้องอีกคนประคองแม้นขึ้นนั่งเห็นรอยเท้าเต็มแก้ม
       “โห... เต็มตีนเลย”
       “ไอ้เวร ไป...”
       ลูกน้องคนหนึ่งคว้ามีดแม้นที่หล่นอยู่แล้วลุกขึ้น อีกคนถือดาบเข้ารุมล้อมเสียมจนถอยกรูด ลูกน้องตวัดมีดและดาบขู่ขวัญเดินหาจังหวะ
       “เอามันเลย” แม้นบอก
       มือดาบฟัน เสียมสปริงตัวหลบ มือมีดตวัดมีดใส่จนเสียมกลิ้งไปตามพื้น มือดาบจะฟัน เสียมก้าวไปในรัศมีเชิด เชิดคว้าท่อนไม่ที่แม้นโยนทิ้ง ฟาดเลียดพื้นเต็มแรงเข้าตาตุ่มมือดาบร้องโอ๊กจนล้มคว่ำทิ้งดาบกุมข้อเท้า เชิดฟาดซ้ำเข้ากลางหัว มันร้องอีกโอ๊กก่อนจะแน่นิ่งไป แม้นคำรามผุดลุกขึ้น เตะไม้ในมือเชิดกระเด็นไป แล้วเตะซ้ำจนเชิดล้มกลิ้งตะแคงแน่นิ่งไป มือมีดโถมเข้าแทง เสียมหลบแล้วกำสองมือฟาดเข้ากลางหลังจนคว่ำลงกับพื้น เสียมตามติดเตะจนมีดหลุดกระเด็นไป เสียมขึ้นคร่อมต่อยอย่างไม่นับ มือมีดป้อแป้มันมองเลยเสียมไปข้างหลัง เสียมเห็นสายตาก็ใจหายวาบก้มหัวหลบทันที แม้นฟันดาบควับข้ามหัวเสียมไป เสียมกลิ้งหลบไปหลบมาที่อเนข้างอย่างจวนเจียน
       เชิดได้สติอีกครั้งเห็นเสียมกำลังถูกแม้นรุกไล่เสียมพุ่งตัวไปคว้ามีด แล้วดันตัวขึ้นเผชิญหน้า แม้นชะงักเลิกผลีผลาม
       “มึงมีดีนี่หว่า”
       “มันจะดีกว่านี้ถ้าพวกแกไม่หมาหมู่”
       แม้นถ่มน้ำลายแล้วยักไหล่
       “งั้นพอแค่นี้”
       “ก็ได้”
       แม้นแยกไปดึงประคองลูกน้องขึ้น เสียมดูท่าทีนิดนึงก็เข้าไปหาเชิดคุกเข้าประคอง ทันทีที่เสียมเผลอตัว ไอ้แม้นก็หันควับมาฟันใส่เสียม เชิดแผดร้อง
       “เสียม!”
       เสียมพุ่งตัวหลบกลิ้งไป แม้นหมายฟันซ้ำ คมดาบฟันเข้าเต็มน่อง เลือดไหลปรี่จนเสียมแผดร้อง แม้นยิ้มร่าเข้ามายืนค้ำ เสียมกระถดถอย
       “ไอ้หมาลอบกัด”
       “มึงเสือกโง่เอง”
       แม้นเงื้อมดาบหมายจะฟันซ้ำที่เสียม จู่ๆแม้นก็ชะงักแผดร้องเพราะเชิดคว้ามีดที่เสียมหลุดมือแทงเข้าที่สีข้าง แม้นดาบหลุดมือร้องโหยหวนล้มไป เชิดคุกเข่ากระแทกลงประคองเสียม เชิดมองดูเสียมอย่างซาบซึ้งเป็นห่วง เสียมพยักหน้า หน้าซีด หลับตาลง เชิดใจหาย
       “ไอ้เสียม ไอ้เสียม”
      
       วันรุ่งขึ้นในเวลากลางวัน
       ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่งถูกตกแต่งอย่างประณีต หน้าต่างซึ่งมีอยู่โดยรอบทำให้เห็นท้องฟ้า ทิวของยอดไม้ และเห็นยอดอาคารอื่นอยู่ไกลๆ บริเวณโต๊ะดีที่สุดริมหน้าต่าง ธนา สุวลี นพ อนงค์ รตี นั่งอยู่ ส่วนโต๊ะอื่นมีแขกนั่งอยู่ประปรายและเหลียวมองดูโต๊ะของกลุ่มธนาอย่างชื่นชม
       ธนา สุวลี ทำอาการปรกติ แต่อนงค์ รตี นพเริ่มคอแข็ง วางท่ามากขึ้น
       ธนาหยิบกล่องสี่เหลี่ยมขนาดกะทัดรัดห่อผูกโบว์อย่างดีส่งให้สุวลี สุวลียิ้ม
       “อะไรกันคะนี่ ธนา”
       “ของขวัญสำหรับคุณสุภาพสตรีครับ”
      
       ธนาหยิบออกมาอีก2กล่องที่ห่อผูกโบว์ต่างจากกล่องแรกมาให้ อนงค์ รตี กิ๊วก๊าว
       “อุ๊ย มีของเราด้วย เกรท!” อนงค์ว่า
       “วันนี้ฝนตกทั่วฟ้า” รตีบอก
       สุวลีบอก
       “ขอบพระคุณค่ะ ธนา นี่เนื่องในโอกาสอะไรคะ”
       ธนายิ้มจิบเครื่องดื่ม
       “ไม่มีโอกาสอะไรพิเศษครับ แค่ผมอยากให้เท่านั้นเอง”
       “โอโฮ ช่างใจกว้างอะไรเช่นนี้” นพว่า
       “ขอให้มีโอกาสไม่พิเศษแบบนี้บ่อยๆนะคะ ฮิ ฮิ ฮิ” อนงค์บอก
       อนงค์หัวเราะเสียงคล้ายม้า รตีทำหน้ารังเกียจ
       “ครับ เพราะผมรู้ซึ้งแล้วว่า ถ้าเรามัวแต่รอโอกาสอยู่เราอาจจะพลาดโอกาสที่สำคัญที่สุดไปได้”
       ธนามองดูแหวนในมือสุวลี นพอ้าปากค้าง อนงค์ รตี สะกิดถองกันวุ่น
       “ต๊าย”
       “จุ๊ๆ”
       สุวลียิ้มปรกติสบสายตาธนา
       “แต่นักธุรกิจอย่างพวกคุณ มักจะเห็นโอกาสมากกว่าคนทั่วไปอยู่เสมอไม่ใช่หรือคะ”
       ธนายิ้มนิดๆ
      
       ภายในห้องนอน สุวลีเปลี่ยนเป็นยาวกรุยกรายนั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง จวนคุกเข่าอยู่ที่พื้นสวมรองเท้าแตะส้นสูงปักเลื่อมให้ ตรงหน้าสุวลีมีห่อของขวัญของธนาวางอยู่
       บริเวณโซฟาภายในห้องนอนของสุวลี อนงค์ รตีฉีกห่อของขวัญของตัวเองจนกระจุยกระจาย ข้างในเป็นตลับแป้งผัดหน้าอย่างดี อนงค์ยิ้มแก้มแทบปริแต่รตีทำท่าเชิดใส่
       “สุวลี นี่เธอกับคุณธนานี่มันยังไงกันแน่” อนงค์ถาม
       “เธอน่ะมีคุณสรรค์อยู่ทั้งคนนะ” รตีว่า
       สุวลีลุกขึ้นเดินมาที่โซฟาแล้วนั่งลงกับสองนาง จวนหอบเสื้อผ้ารองเท้าออกไป
       “แล้วทำไมหรือ”
       “ก็ฉันเห็นมีแต่เยื่อใยไม่รู้จักจบจักสิ้นนี่” อนงค์ว่า
       “คุณธนากับฉันเป็นแค่เพื่อนกัน”
       “เพื่อนที่ไหนเขาจะมีของกำนัลมาให้ไม่ขาดสายขนาดนี้”
       “เขาไม่ได้ให้ฉันแค่คนเดียวสักหน่อย”
       “เฮอะ ให้เราสองคนแก้เกี้ยว เท่านั้นแหละ” รตีว่า
      
       รตีเอากล่องของขวัญของสุวลีมาเขย่าเบาๆ ด้วยหน้าตาอยากรู้อยากเห็น
       “ฉันดูตาก็รู้ ว่าคุณธนาเค้าคิดยังไงกับเธอ” รตีบอก
       สุวลีคิดๆ แล้วก็ดึงกล่องคืนมาขมวดคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงปรามไม่ให้ยุ่ง
      
       เวลาเย็น ภายในห้องทำงานของธนาที่มีความใหญ่โตหรูหราถูกตกแต่งอย่างตะวันตก ทุกกระเบียดนิ้ว ที่โต๊ะทำงานใหญ่ ธนานั่งพิงเก้าอี้พนักสูงแล้วหันไปตอบนพ
       “นายก็รู้ ว่าฉันคิดยังไง”
       นพถือแก้วเหล้าสองใบมาจากเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆมาส่งให้ธนาแก้วหนึ่ง
       “มีผู้หญิงดีๆ อีกตั้งมากมาย ทำไมนายถึงได้ปักใจนักหนากับคุณสุ”
       “เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”
       “นี่นายยังหวังให้คุณสุถอนหมั้นไอ้จิตรกรนั่นแล้วหันมาหานายจริงๆหรือ”
       ธนายิ้มนิดหนึ่งทำท่าจะพูดอะไรแล้วก็ยักไหล่ไม่พูด ทว่าแววตามุ่งมั่น
      
       ภายในห้องนอน สุวลีหยิบกล่องของขวัญขึ้นมาแกะออกดู ข้างในเป็นกล่องเครื่องประดับ ข้างในวางสร้อยข้อมือเพชรงามแพรวพราว สุวลีอึ้งแล้วขมวดคิ้ว รตีกับอนงค์ตาโต พูดไม่ออก
       สุวลีแปลกใจแล้วหยิบมันมาพิศดูก่อนจะตัดสินใจลองพาดสร้อยลงที่ข้อมือ แสงเพชรแพรวพรายข่มแหวนของสรรค์ที่นิ้วให้หมดแสงไป
       สุวลีมองดูแล้วถอนใจนิดๆก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาไปที่เตียงแล้วเอนกายลง นอนตะแคง แขนที่สวมสร้อยทาบลงบนหมอน สุวลีดูมัน ดวงใจที่เคยมั่นคงเริ่มหวั่นไหวสับสนและสั่นคลอน
      
       ภายในห้องทำงานของธนา นพหัวเราะหึๆอย่างสะใจ
       “นี่ถ้าไอ้เจ้าสรรค์รู้ว่านายแอบมาเต๊าะคู่หมั่นมันหลับหลัง มันจะทำหน้ายังไงนะ”
       “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง”
       “เออ แล้วหมู่นี้ไอ้เจ้าสรรค์มันไปอยู่ซะที่ไหน นายถึงมีโอกาสทำคะแนนกับคุณสุได้อย่างนี้”
       ธนานิ่งไปนิดหนึ่ง หน้าตามีแววสะใจแล้วหันไปทำหน้าซื่อตอบนพ
       “คงไปราชการต่างจังหวัดละมั้ง”
       ธนาตอบแล้วแอบยิ้มในสีหน้า
ขอขอบคุณจาก manager.co.th 
  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น