วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อ่านละคร รักเกิดในตลาดสด ตอนที่ 10

ภายในร้านอาหาร รัศมีใส่ผ้าคลุมหัว รุกรี้รุกรนตลอดการนั่งสนทนากับฤทธิ์ จนอีกฝ่ายถามขึ้น
       “อะไรกันกินข้าวกับผัวทั้งที ถึงกับต้องคลุมหน้าคลุมตากันขนาดนี้เลยเหรอ” ฤทธิ์เอ่ยขึ้น
       “อย่าพูดแบบนี้ได้มั้ย ชั้นไม่ได้เป็นอะไรกับพี่แล้วนะ” รัศมีเอ่ยขัดขึ้น
       “สายใยสวาทน่ะมันตัดกันขาดง่ายๆขนาดนั้นเชียวเหรอ” ฤทธิ์บอก
       “ว่าแต่พี่ออกมาจากคุกตั้งแต่เมื่อไหร่” รัศมีชวนเปลี่ยนเรื่อง
       “ก็ตั้งแต่เมียรักลืมส่งเงินเดือนให้พี่ยังไง เลยต้องออกมาทวง” ฤทธิ์เอ่ยขึ้น
       “คือ ช่วงนี้ชั้นมีปัญหาเรื่องเงินน่ะ” รัศมีเอ่ย
       “อะไรกัน ทำไมผัวเสี่ยถึงปล่อยให้เมียพี่เงินขาดมือขนาดนี้” ฤทธิ์ทำหน้าไม่เชื่อ
       “ที่ห้างมันมีปัญหาวุ่นวายเยอะแยะน่ะ ความจริงถึงจะอยู่ในคุกพี่ก็ยังหาเงินจากข้างนอกได้อยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ ก็ไม่น่าจะต้องมาขอเงินชั้นใช้อีก” รัศมีบอก
       “มันเหมือนกันที่ไหน ส่วนของเธอน่ะคือค่าปิดปากชั้นไม่ให้บอกไอ้เสี่ยชายศักดิ์ว่า เด็กที่มันหลงให้ใช้นามสกุลมาตั้งเกิดน่ะลูกใคร แต่ถ้าคิดจะเบี้ยวล่ะก็ พ่อบังเกิดเกล้าคนนี้คงได้เวลาเปิดตัวซักที” ฤทธิ์รื้อฟื้นความทรงจำให้รัศมี
       “อย่าเชียวนะ ถ้าพี่ยังอยากจะได้เงินของชั้นต่อไป” รัศมีร้อนรน
       “แหม มาเจอกันทั้งที ไม่โรแมนติกอย่าที่คิดไว้เลย สงสัยต้องชวนกันไปรำลึกความหลังซะหน่อย หมีรู้มั้ยว่าพี่เหงาแค่ไหนตอนที่อยู่ในคุก” ฤทธิ์จับมือรัศมี รัศมีพยายามจะดึงมือออก
       “ไม่ ชั้นไปไหนกับพี่ทั้งนั้น” รัศมีขัดขืน
       “ไม่เอาน่ะ อย่าพูดกับพี่อย่างนี้ เพราะถ้าพี่เสียใจ หมีก็รู้ว่าอะไรๆมันจะยากขึ้นอีกเยอะ” ฤทธิ์บีบมือรัศมีแน่นจนเจ็บเชิงขู่ รัศมีรีบพยักหน้าเพราะไม่อยากมีปัญหากับฤทธิ์สามีเก่าที่เพิ่งออกจากคุกและ คือพ่อที่แท้จริงของศักดิ์ชาย
      
       เวลาเดียวกันนั้น กิมลั้งจับต๋องเป็นหุ่นลองใส่ผ้ากันเปื้อน ผ้าโพกหัว แล้วมีผ้าผูกคอให้ดูเก๋ไก๋ ที่ตลาดผ้าพาหุรัดและเลือกสินค้าประดับตกแต่งแผงที่สำเพ็งอย่างสนุกสนาน
       “เรียบร้อย ใช้ได้มั้ย เครื่องแบบของพวกเรา” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
       “ว้าว แจ่ม พ่อค้าแม่ค้าตลาดเราต้องดูเท่แน่ๆ” ต๋องส่องกระจกแล้วยิ้มชอบใจ
       “งั้นเอาตามนี้เลยนะ” กิมลั้งเอ่ยอย่างมีความสุข
       “จ้ะ แฟนว่ายังไง แฟนก็ว่าอย่างงั้น” ต๋องเอ่ย
       “เว่อร์” กิมลั้งเขินตีแขนต๋อง
       “ใช่ หน้าแดงเว่อร์ ทำไมต้องเขินขนาดนั้น” ต๋องแซวกลับ
       “ใครบอกว่าเขิน เอ้อ เดี๋ยวเธอจะซื้ออะไรอีกมั้ย” กิมลั้งเปลี่ยนเรื่อง
       “ก็ซื้อของแต่งร้านอีกนิดหน่อยก็เสร็จ เธอจะรีบกลับเลยใช่มั้ย” ต๋องย้อนถามกลับ
       “อ๋อ เปล่า ชั้นว่าจะชวนเธอไปที่ที่หนึ่ง” กิมลั้งรีบเอ่ย
       ต๋องงง
       “ที่ไหนเหรอ”
      
       บ่ายนั้น กิมลั้งพาต๋องไปวัดเล่งเน่ยยี่ ซึ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจและอาจดูแปลกตามากสำหรับคนไทยแท้อย่างต๋อง
       “งงล่ะซิ ไม่เคยเข้าวัดจีนเลยใช่มั้ย” กิมลั้งเอ่ยถามต๋อง
       “ครั้งแรกในชีวิต” ต๋องตอบ
       “รู้มั้ยว่าชั้นมาที่นี่ตั้งแต่ยังอยู่ในท้องม้า หลังจากนั้นก็มาทุกๆวันเกิด” กิมลั้งเอ่ย
       “อย่าบอกนะว่าวันนี้วันเกิดเธอ” ต๋องหันมายิ้มกับกิมลั้งก่อนจะถามขึ้น กิมลั้งพยักหน้าแทนคำตอบ
       “โอ๊ย ชั้นไม่รู้ได้ยังไงเนี่ยว่าวันนี้วันเกิดแฟน” ต๋องพูดไปพลางยิ้ม
       “ไม่เป็นไรหรอก” กิมลั้งยิ้มตอบกลับ
       “ชั้นขอโทษ” ต๋องเอ่ย
       “ชั้นชินกับการเห็นว่ามันเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งมานานแล้วล่ะ ปกติที่บ้านชั้นก็ไม่ได้ความสำคัญกับอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถึงยังไง ทุกวันเกิดชั้นจะมาไหว้พระแล้วก็ทำบุญที่นี่ให้เป็นมงคลชีวิตน่ะ” กิมลั้งเผย
       “ชั้นดีใจนะที่ได้มาที่นี่กับเธอวันนี้” ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
       “ชั้นก็ดีใจ ไป เข้าไปข้างในกัน” กิมลั้งยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน
       ทั้งคู่พากันเข้าไปในวัด ต๋องกับกิมลั้งปักธูปไหว้พระประธานในวัดเล่งเน่ยยี่ ต๋องทำตามกิมลั้งอย่างเก้ๆกังๆเพราะไม่เคยเข้าวัดจีนมาก่อน
      
       กิมลั้งพาต๋องมาไหว้ที่หน้าเทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี๊ย
       “นี่คือเทพไฉ่ซิ่งเอี๊ย เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภน่ะ คนจีนจะบูชาท่านเพื่อให้เสริมบารมี มีทรัพย์สินเงินทอง ทำมาค้าขึ้น อยากได้อะไรก็ขอท่านเองนะ รับรองว่าท่านต้องช่วยคนขยันทำมาหากินอย่างเธออยู่แล้ว” กิมลั้งรีบอธิบายให้ต๋องฟัง
       “แล้วถ้าชั้นขอท่านเรื่องความรักล่ะ” ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
       “ที่มีอยู่นี่ยังไม่พอรึยังไง” กิมลั้งแกล้งค้อนใส่ต๋อง
       “พอจ้ะพอ” ต๋องเอ่ยขึ้น
      
       ต่อจากนั้น ทั้งคู่เดินมาที่ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ย่านเยาวราช
       “เป็นยังไง เข้าวัดจีนแล้วรู้สึกแปลกๆมั้ย” กิมลั้งถาม
       “ไม่หรอก ชั้นว่าจะวัดจีนหรือวัดไทย ก็เป็นที่พึ่งทางใจได้เหมือนกัน ความจริงจะศาสนาไหน ถ้ามีมาเพื่อทำให้คนเชื่อมั่นในความดี ชั้นว่าก็เพียงพอแล้ว” ต๋องตอบ
       กิมลั้งฟังแล้วคิดถึงกิมฮวยขึ้นมา
       “นั่นซิ จะคนไทย คนจีน ถ้าเป็นคนดีมันก็น่าจะพอแล้วเหมือนกัน” กิมลั้งเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้า
       “เธอหมายถึงเรื่องที่แม่ไม่อยากให้มารักกับคนไทยอย่างชั้นใช่มั้ย” ต๋องรู้ทันว่ากิมลั้งหมายถึงสิ่งใด
       “ชั้นก็ไม่เข้าใจเลยนะ ทำไมม้าถึงไม่สนใจคนตรงที่เค้าเป็นยังไงมากกว่าเค้าเป็นใคร” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
       “มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกที่จะเปลี่ยนความเชื่อที่แม่เธอมีมาทั้งชีวิต” ต๋องเอ่ยอย่างเข้าใจ
       “ถ้ามันยากขนาดนั้น เรากลับไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยหน่อยดีกว่ามั้ย” กิมลั้งว่า
       “ไม่ต้องหรอกกิมลั้ง เรื่องแบบนี้ชั้นต้องทำด้วยตัวเอง ถ้าจะต้องขออะไรชั้นขอเป็นกำลังใจจากเธอดีกว่า” ต๋องเอ่ย
       “ได้ เจ้าแม่กิมลั้งจัดให้เธอเดี๋ยวนี้เลย เพี้ยง เป็นไง กระชุ่มกระชวยขึ้นมั้ย” กิมลั้งไม่พูดอย่างเดียว ยังทำพิธีเป่ากระหม่อมให้ต๋องด้วย
       “วันหลังอมโบตันก่อนเป่าได้มั้ย” ต๋องรีบเข้าไปกระซิบกลับกิมลั้งทันที
       “บ้า”
       กิมลั้งหัวเราะออกมาจนลืมเครียด แล้วลอดซุ้มประตูอย่างมีความสุข
      
       บ่ายวันเดียวกัน ฤทธิ์นัวเนียกับรัศมีในบ้านเช่าอย่างเคลิบเคลิ้ม
       “พอแล้วพี่ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” รัศมีเอ่ยขึ้น
       “แล้ววันหลังมาใหม่นะ” ฤทธิ์พูดแล้วเข้าไปหอมแก้วรัศมี
       “เดี๋ยว” รัศมีรีบเดินออกไป แต่ฤทธิ์เรียกไว้
       “ลืมอะไรรึเปล่าจ๊ะ” ฤทธิ์ว่าแล้วรีบเดินเข้าไปหา
       รัศมีนึกขึ้นได้รีบหยิบปึกหนึ่งขึ้นมายื่นให้ฤทธิ์ อีกฝ่ายหอมเงินที่รับมาอย่างมีความสุข
       “แหม หอมพอๆกับแก้มเธอเลย” ฤทธิ์เอ่ยอย่างมีความสุข
       “งั้นชั้นไปนะ” พลอดรักเสร็จ รัศมีขอตัวกลับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
      
       ครู่หนึ่งรัศมีเข้ามานั่งในรถแล้วร้องกรี๊ดลั่น
       “อ๊าย จะออกจากคุกมาทำไมตอนนี้ ศึกกับนังสดศรียังไม่สำเร็จ ยังจะต้องมาคอยรบกับแมงดาตัวพ่ออีกเหรอเนี่ย อ๊าย” รัศมีเอ่ยอย่างอัดอั้นตันใจ
      
       เวลาเดียวกัน หลังจากรัศมีกลับออกมา ฤทธิ์นับเงินที่ได้มาจากรัศมี ครู่นึงมือถือดังขึ้น ฤทธิ์กดรับสาย
       “ฮัลโหล ว่าไง อะไรกันวะ เรื่องขี้หมูขี้หมาแค่นี้ต้องให้ถึงมึงกู เลยเหรอ เออๆ บอกเฮียว่าเดี๋ยวกูไปจัดการให้”
       ฤทธิ์กดวางสายอย่างอารมณ์เสีย แล้วรีบเดินไปเอาเสื้อมาใส่อย่างรีบเร่ง
      
       บ่ายนั้นอีกมุมหนึ่ง เลื่อนกับรักเร่โดนรุมสกรัมอย่างแรงจนกระเด็นมากระแทกผนัง แถมยังโดนตามมากระทืบซ้ำจนลงไปนอนกองกับพื้น ทันใดนั้นเลื่อนกับรักเร่เห็นเท้าคู่หนึ่งเดินมาเขี่ยหัวทั้งคู่
       “โจ๋นักใช่มั้ยพวกมึง” ฤทธิ์ อดีตสามีเก่าของรัศมีเอ่ยขึ้น เขาเอื้อมมือมาจิกหัวเลื่อนกับรักเร่ให้ลุกขึ้นนั่ง
       “ตกลงว่ามึงจะจ่ายมั้ย” ฤทธิ์ขู่ซ้ำ
       “ขอเวลาพวกชั้นอีกนิดนะพี่” รักเร่รีบว่า
       “มึงขอกูก็ให้” ฤทธิ์พูแล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องไปกระทืบเลื่อนกับรักเร่ซ้ำ
       “ถึงพี่จะกระทืบพวกชั้นให้ตาย ตอนนี้ชั้นก็ไม่มีให้พี่จริงๆ” เลื่อนรีบห้ามไว้
       “งั้นกูมีทางเลือกให้พวกมึง” ฤทธิ์สั่งให้ลูกน้องหยุด
       “ได้พี่ได้ จะให้ชั้นทำอะไรก็บอกมา” เลื่อนเอ่ย
       “พวกมึงต้องขายยาบ้า” ฤทธิ์ว่า
       “ยาบ้า!” เลื่อนกับรักเร่ตกใจ
       “ให้ชั้นขายยาคูลท์แทนได้มั้ย อย่างน้อยมันก็ดีต่อสุขภาพ” เลื่อนรีบโพล่งขึ้น
       “แต่มันคงไม่ดีกับสวัสดิภาพมึงแน่” ฤทธิ์พูดจบแล้วตบหน้าเลื่อนอย่างแรง
       “กูคงรอมึงขายยาคูลท์จนกว่าจะได้เงินมาใช้หนี้ครบหรอกนะ” ฤทธิ์ด่า
       “นี่คือล็อตแรกที่มึงต้องจัดการภายในคืนนี้ ได้ข่าวว่าพวกมึงมีเพื่อนแก๊งเตะบอลเยอะแยะไม่ใช่เหรอ ก็เอาไปปล่อยที่นั่นซิ” ฤทธิ์รับถุงยาจากลูกน้องมาแล้วขว้างใส่หน้าเลื่อนกับรักเร่
       “แต่พี่ครับ พวกนักกีฬาเค้าไม่พึ่งพายาเสพติด” รักเร่รีบโต้ขึ้น
       “งั้นมึงก็เลือกเอาว่า จะขายหรือจะตาย” ฤทธิ์บีบคอเลื่อนกับรักเร่แน่นจนตาเหลือก กระเสือกกระสน แล้วจึงปล่อยมือ
       “นี่แค่ตัวอย่างนาทีแห่งความตายให้พอเห็นภาพ ถ้ายังคิดจะมีปัญหารับรองว่ามึงได้เจอจัดเต็ม”
       ฤทธิ์ขู่เลื่อนกับรักเร่เสร็จ เดินออกไปพร้อมพรรคพวก ปล่อยให้เลื่อนกับรักเร่อยู่ในอาการช็อกน้ำตาคลอกับสิ่งที่เกิดขึ้น
      
       เวลาต่อจากนั้น ต๋องกับกิมลั้งกลับมาจากเยาวราชเดินกลับเข้ามาผ่านแผงปลา พอเจอกิมฮวยทำตาเขียวใส่ถึงกับหัวเราะค้างกลางอากาศ
       “งั้นชั้นไปก่อนนะ” ต๋องหันไปคุยกับกิมลั้ง
       ต๋องเดินแยกไปแผงผัก
       “อากิมลั้ง อั๊วมีเรื่องต้องพูดกับลื้อจริงจัง” กิมฮวยหันไปบอกกิมลั้งเสียงจริงจัง
       กิมฮวยเดินออกไปนอกตลาด กิมลั้งหันไปมองต๋องด้วยอาการลังเล แต่ในที่สุดกิมลั้งตัดสินใจเดินตามกิมฮวยไป ส่วนต๋องมองตามกิมลั้งตาละห้อย
       “งานเข้าจนได้”
      
       กิมฮวยเดินมารอลูกสาวด้านนอกตลาด กิมลั้งเดินตามมาด้วยอาการเซ็งๆ
       “ม้าจะพูดเรื่องต๋องอีกใช่มั้ย” กิมลั้งถามขึ้น
       “ใช่” กิมฮวยตอบ
       “อั๊วว่าอั๊วพูดให้ม้าฟังไปหมดแล้วนะ” กิมลั้งรีบตอบ
       “อั๊วจะชวนต๋องไปกินข้าวที่บ้านเราเย็นนี้” กิมฮวยรีบแทรกขึ้นในขณะที่กิมลั้งยังพูดไม่ทันจบ
       “จริงเหรอม้า” กิมลั้งแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
       “ก็ในเมื่ออั๊วห้ามให้พวกลื้อรักกันไม่ได้ อั๊วก็คงต้องทำใจ แล้วก็พยายามทำความรู้จักอาต๋องให้มากขึ้น” กิมฮวยแกล้งว่า
       “ม้าไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย” กิมลั้งยังไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน
       “เป็นแม่ลื้อไง แม่ที่เป็นห่วงลื้อ แล้วก็อยากให้ลื้อสบายใจ ทางเดียวที่จะทำให้อั๊วลงรอยกับอาต๋องได้ก็คือจับเข่าคุยกัน” กิมฮวยเอ่ย
       “ขอบคุณมากม้าจ้ะ งั้นอั๊วไปบอกต๋องเดี๋ยวนี้เลยนะ”
       กิมลั้งได้ยินดังนั้นดีใจที่สุดในชีวิต รีบเข้าไปจับมือกิมฮวย กิมฮวยส่งยิ้มนางงามอย่างมีแผนการให้ลูก กิมลั้งวิ่งออกไปหาต๋องอย่างดีใจ
source: manager.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น