วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครสาวน้อย ตอนที่ 17

นิดและแก้วนั่งอยู่ ที่ซุ้มไม้ในสวนทั้งคู่ต่างเล่าและฟังเรื่องราวระหว่างกัน
       “แก้วอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ลุงฟูอาจไม่เป็นอะไรก็ได้”
       “ถ้าไม่ตาย คุณหลวงสารวัตรจะเกณฑ์ตำรวจมาตามล่าฉันทำไม”
       “เขาก็อาจแค่เอาไปซักถามว่าเกิดอะไรขึ้น ลุงฟู...”
       “อย่าเรียกมันว่าลุงนะ มันเป็นไอ้ชาติชั่ว ฉันอยากให้มันตาย ฉันยอมติดคุกก็ได้”
       “โธ่เอ๋ย แก้ว”
       นิดกุมมือแก้วไว้ยกมาบีบ สายตามองอย่างเป็นห่วงและให้กำลังใจ แก้วมองดูนิดอย่างซาบซึ้งแล้วนิ่วหน้า
       “แกไม่ต้องมาเวทนาฉัน เรื่องของฉันมันแค่ขี้ผง แต่เรื่องของแกน่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นอย่างงี้ได้ มิน่า ฉันสังหรณ์ตั้งแต่เห็นจดหมายแกแล้ว”
       นิดน้ำตาเอ่อ
       “ฉันไม่อยากให้แม่มาเป็นทุกข์เรื่องฉัน”
       “แล้วแกจะปิดความไปได้สักกี่น้ำ ถ้าความแตกพี่เนื่องต้องมาตีกบาลนายเสียมแน่”
       “ฉันไม่ได้กลัวพี่เนื่อง....แต่ฉันกลัวพี่เชิด”
       “ทำไม”
       “พี่เชิดเคยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าพี่เสียมทอดทิ้งฉัน พี่เชิดจะฆ่าพี่เสียมกับมือให้ตายอย่างทรมานที่สุด”
       แก้วเพิ่งรู้ว่านี่คือเหตุผลสูงสุด มากกว่าเรื่องความเสียใจของแม่หรือความอับอายชาวบ้าน
       “นิด...แกนะแก เฮ้อ ฉันคิดว่าแกเป็นคุณนายไปแล้ว กลับมาเป็นบ่าวเขาซะได้ เออ พูดแล้วนึกได้ คุณนายอกใหญ่ใจดีเขาฝากจดหมายมาให้แก”
       “เขาชื่อมารศรี”
       แก้วส่งจดหมายให้ นิดคลี่ออกอ่าน
       “นิด ฉันมีเรื่องด่วนมาบอกเธอ”
      
       จดหมายฉบับนี้เขียนไว้ตั้งแต่มารศรีรู้เรื่องความสัมพันธ์ของสุวลี กับคุณหญิงมะลิจากปากพระชาญชลาศัย มารศรีนั่งเขียนจดหมายอยู่ในห้อง
       “คุณหญิงมะลิเป็นคุณน้าแท้ๆ ของสุวลี ฉันเชื่อว่าการที่คุณหญิงมะลิรับเธอทำงาน ต้องเป็นแผนการของสองน้าหลาน และอาจจะเป็นแผนการร้ายต่อเธอด้วย ฉันว่าเธอต้องระวังตัว...
       มารศรีวางปากกา เม้มปากและใช้ความคิดก่อนจะตัดสินใจเขียนต่อไป
       ...ทางที่ดี รีบออกไปจากบ้านนั้นให้เร็วที่สุด จะดีกว่า”
      
       นิดหน้าซีดเผือดและลดจดหมายลง แก้วตกใจกับท่าทีนิด ดึงจดหมายมาอ่านดู
       รถของบ้านธรรมนูญกลับเข้ามาจอดลงที่ใกล้เทอเรซ ลัดดา เสงี่ยม ลงจากรถเปิดประตูให้คุณหญิงมะลิที่ชูคอสูงลงมาตามด้วยนายตำรวจยศร้อยเอก และนายสิบตำรวจอีกคนหนึ่ง
       นิดและแก้ว ชะเง้อดู แก้วตาเหลือกโพลง
       “ตำรวจ ตำรวจมาจับฉัน”
      
       คุณหญิงมะลิพร้อมกับนายตำรวจยืนเด่นอยู่บนเทอเรซตรงหน้าบรรดาคนรับ ใช้ในบ้านถูกเรียกมาหมด ได้แก่ ชื่น ถวิล ลัดดา เสงี่ยม ประสงค์ นิด และคนสวน นายสิบตำรวจไปยืนคุมคนกลุ่มนี้อยู่ทางเบื้องหลัง
       “แหวนเพชรวงใหม่ของฉันซึ่งถอดวางไว้ที่ม้าเครื่องแป้งในห้อง หายไป”
       ร้อยตำรวจเอกบอกน้ำเสียงดุ
       “ใครเอาไปให้เอามาคืนเสียดีๆ จะยกโทษให้ ไม่งั้น ต้องติดตะรางทีเดียวนะ”
       นิดใจหายวาบมือกำจดหมายในมือ บรรดาคนใช้อื่นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ยกเว้นลัดดา
       “ใครมันจะมารับผิดกันง่ายๆคะ”
       “บรรดาคนรับใช้ที่ขึ้นลงเข้าออก ตึกชั้นบนได้มีใครบ้างครับ”
       “ก็มีแค่พวกสาวๆ เท่านั้นแหละค่ะ มีแม่ลัดดา แม่ถวิล และก็แม่นิด”
       “ไหน ทั้งสามคนก้าวออกมาซิ”
       นิด ถวิลและลัดดาก้าวออกมา
       “เราสามคนเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับต้น มีใครจะพูดอะไรไหม”
       “ดิฉันไม่ทราบเรื่องจริงๆค่ะ” ถวิลบอก
       “ดิฉันไม่ได้เอาไปจริงๆค่ะ ไม่เชื่อก็ค้นตัว ค้นห้องดิฉันได้เลย” ถวิลว่า
       มะลิทำโกรธเกรี้ยวล้วงกุญแจจากชายพกพวงใหญ่ออกมา
       “แกไม่ต้องมาท้า...ฉันค้นแน่ ค้นเรียงห้องเลย ไปกันค่ะ ผู้กอง”
       คุณหญิงมะลิเดินนำคนใช้ กรูเกรียวกันไป ยังเรือนคนใช้
      
       มุมหนึ่งของบ้านมีตุ่มเรียงราย ฝาตุ่มใบหนึ่งขยับขึ้นเห็นดวงตาแก้วโผล่มาอย่างระวังระไว
       ที่เรือนคนใช้ห้องลัดดาเปิดอ้า ลัดดากับเสงี่ยมยืนยิ้มร่าอยู่ที่ระเบียง ตอนนี้ตำรวจกำลังค้นห้องถวิล ถวิลยืนชะเง้อหน้าห้องตัวเอง นิด ชื่น ประสงค์ ยืนรออยู่ สองตำรวจกับคุณหญิงมะลิเดินออกมา
       “แกน่ะ รอดตัวไปนังหวิน”
       ถวิลถอนใจเฮือก
       “แล้วห้องต่อไปนี่ ของใครครับ”
       “ห้องแม่นิดค่ะ”
      
       มะลิเข้าไปไขกุญแจห้องนิด ตำรวจทั้งสองนายเข้าไป มะลิปรายตาดูนิดก่อนจะก้าวตาม นิดหน้าเผือด ถวิลจับมือบีบ
       “ไม่มีอะไรหรอก น่า นิด”
       “ใครจะรู้ อีพวกหน้าซื่อๆนี่แหละตัวดีนัก” ลัดดาว่า
       นิดมองลัดดา
      
       นิดก้าวมาที่หน้าห้อง มองเข้าไปในห้องตน มะลิยืนเชิดอยู่กลางห้อง นายสิบไปรื้อค้นที่โต๊ะเล็ก นายร้อยเอกเอากระเป๋าเดินทางนิดวางบนเตียง คุ้ยหาของ นายสิบเปิดกล่องแหวนพลอย นิดผวา คุณหญิงมะลิมองดูอย่างแปลกใจเล็กน้อย
       “นี่หรือเปล่าครับ”
       “วุ้ย ไม่ใช่ค่ะ แหวนดิฉันเป็นแหวนเพชร 5 กะรัต ไม่ใช่แหวนพลอยแบบนี้”
       “ตรงนี้ก็ไม่มีอะไร”
       นิดโล่งอก คุณหญิงมะลิตาขุ่นกับนายตำรวจแล้วพูดชี้นำ
       “แหม ดูตามที่นอน หมอน มุ้ง อีกทีเถอะค่ะ”
       นายร้อยนิ่วหน้าคลี่ผ้าห่มสะบัดดู นายสิบเอาหนังสือเรียนของนิดมาดู นายร้อยย้ายไปล้วงดูในปลอกหมอนแล้วชะงัก คุณหญิงมะลิทำตาโต
       “อะไรหรือคะ”
       นายร้อยตำรวจดึงแหวนเพชรออกมาจากปลอกหมอน
       “ได้แล้ว อยู่นี่เอง วงนี้ใช่ใหมครับ”
       คุณหญิงมะลิก้าวมารับแหวนมาอย่างดีใจ
       “ใช่แล้วค่ะ ใช่แล้ว”
       นิดหน้าเผือด เซไปผิงฝาผนังห้อง
      
       ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าเรือนคนใช้ นางชื่น ถวิลไม่เชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น ลัดดาพยักเพยิดกับเสงี่ยมว่าสงสัยมานานแล้ว ประสงค์ยืนมองเงียบๆ คุณหญิงมะลิสวมแหวนเดินเชิดลงจากเรือน นายร้อยตำรวจเดินคุมตัวนิดตามมา นายสิบหิ้วกระเป๋าเดินทางของนิดมาตามหลัง
       “โธ่เอ๋ย แม่นิด”
       “นิด”
       นิดมองอย่างขอบใจ
       “สมน้ำหน้า” ลัดดาบอก
      
       ลัดดาพลันยื่นเท้ามาขัดขา นิดสะดุดล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น ถวิลกับชื่นจะดึงขึ้น คุณหญิงมะลิสั่งเสียงเข้ม
       “ไม่ต้อง ให้มันกองอยู่ตรงนั้นแหละ อีชาติไพร่ อีสถุน เลวชั่วชาติ ไม่มีอะไรเปรียบ เสียแรงที่ฉันไว้เนื้อเชื่อใจทุกอย่าง”
       นิดเงยหน้าขึ้น มองดูคุณหญิงมะลิด้วยแววตาดูแคลนและรู้ทัน คุณหญิงใจหายวาบรีบกลบเกลื่อน
       “คุณตำรวจพามันไปโรงพักเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
       คุณหญิงมะลิพลันคว้ากระเป๋านิดจากมือนายสิบมาที่เดินออกมา
       “เอามานี่”
       คุณหญิงมะลิทุ่มกระเป๋าลงตรงหน้านิด กระเป๋าแตกปริออก เสื้อผ้า หนังสือเรียน รูปฝีมือสรรค์ กระเป๋าสตางค์ กล่องแหวนกลิ้งออกมา
       “เอาสมบัตินี่ไปไว้ในตะรางกับแกด้วย ไป๊”
       นิดเก็บของกลับลงกระเป๋ากัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือดน้ำตาหยดลง นิดปาดมันออกทันที ความเจ็บแค้นมีมากกว่าความเสียใจ
ภายในรถ นิดนั่งในรถตอนหลังขนาบข้างด้วยตำรวจทั้งสอง เสงี่ยมขับรถของบ้านธรรมนูญภักดีออกไป นิดชะเง้อมองหาแก้ว นายตำรวจบอก
        “ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ดอก แกนี่นะ หน้าตาออกดี ไม่น่ามือไวใจเร็วเลย”
        นิดนั่งเงียบ รถแล่นออกจากประตูรั้วไป คนสวนวิ่งตามไปเปิดและปิดประตู ที่เทอเรซคุณหญิงมะลิยิ้มพยักกับลัดดาแล้วหมุนตัวเข้าบ้านไป ประสงค์มองตาม
      
        แก้วตัวสั่นยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่มองตามรถออกไป ถวิลและชื่นก้าวมามองดูแก้วที่หนวดลบ ผมยาวหลุดจากหมวก ถวิลและชื่นดึงแก้วมาในมุมที่ลับตากว่าเดิม
        “ป้า ทำยังไงดี นิดโดนใส่ร้าย”
        “เอ็งไม่ต้องมาบอกหรอก ข้ารู้”
        “ฝีมือใครป้า คุณหญิงหรือ” ถวิลว่า
        “ข้าว่า อีนังลัดดาด้วย”
        “ตำรวจจับนิดไปไหนน่ะป้า” แก้วถาม
        “คงจับไปที่โรงพักบางรักไม่ไกลนี่ล่ะ” ชื่นบอก
        “แล้วฉันจะช่วยนิดได้ยังไงล่ะ”
        “ข้าน่ะ อับจนหนทาง “
        “เสียดาย ถ้าท่านเจ้าคุณอยู่ท่านต้องช่วยนิดได้” ถวิลว่า
        “ท่านอยู่ถึงเมืองจันท์ ถ้ารอท่านกลับ คงไม่ทันการณ์แน่” ชื่นบอก
        “ฉันจะไปตามท่านเจ้าคุณของป้ามาช่วยนิดเอง”
        แก้วพูดอย่างมุ่งมั่น แต่หน้าซีดเผือด ถวิลและชื่นมองหน้ากันด้วยรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
      
        ห้องขังภายในโรงพักดูเวิ้งว้าง เยียบเย็น นิดนั่งพิงผนังปูน เงาลูกกรงทาบทับลงมาบนตัว นิดขมขื่น เจ็บแค้นประเดประดังอยู่ในอก
      
        ภายในห้องสรรค์วางพู่กันลงบนโต๊ะแล้วส่ายหัวอย่างหงุดหงิดแล้วหันไปบ่นกับบุญมา
        “ฉันอยากได้รูปที่พิเศษจริงๆ สำหรับแสดงในห้องภาพของฉันที่กำลังจะเปิดใหม่ .. ภาพที่พิเศษจริงๆ ซักภาพ”
        “ภาพเทวีแห่งแรงดลใจของแกไงล่ะ”
        “แกหมายถึงใคร”
        “จะใคร ก็ผู้หญิงที่แกหมั้นหมายอยู่นี่ไง คุณสุวลี”
        “ฉันเคยวาดรูปสุมาแล้วแต่มันก็ไม่ใช่ภาพที่ดีที่สุด”
        บุญมาตบบ่าสรรค์
        “ถ้าคุณเธอได้ยินเข้าคงไม่ยอมเป็นแน่ ไม่มีอารมณ์ก็อย่าไปฝืนวาดเลยน่า ออกไปเต้นรำกันดีกว่า นายเสวกรออยู่นะ”
        “ไม่ล่ะ แกไปเถอะฉันอยากอยู่คนเดียว”
        “เออ งั้นฉันไปล่ะ”
        บุญมาเดินออกไปทิ้งสรรค์เอาไว้กับการวาดภาพอยู่ในห้องส่วนตัว
      
        บริเวณน้ำพุริมถนน แก้วเดินกระปลกกระเปลี้ยด้วยเรื่องทั้งหมดที่เจอมาและในเรื่องวันนี้ทำให้ ร่างกายอ่อนแอ แก้วถอดหมวกเอาน้ำลูบหน้า ลูบผมให้ลีบ แล้วใส่หมวกปิดไว้เดินต่อไป อาการไข้ทวีความรุนแรงขึ้น
        แก้วเดินมาตามถนนดวงตาพร่าพราย
        บุญมาเลี้ยวรถออกจากบ้านโพธิธาราลงสู่ถนน แก้วมายืนอยู่ข้างบาทวิถีมองไปเห็นบ้านโพธิธาราอยู่ไม่ไกล แก้วยิ้ม แต่ก็อ่อนแรงเต็มทน
        บุญมาผิวปากหวืออยู่ในรถ เคาะมือกับพวงมาลัยทำจังหวะ แก้วก้าวพรวดลงถนน แสงไฟจ้าทาบลงบนตัว แก้วหันควับมามองอย่างตกใจ บุญมาตาเหลือก กระทืบเบรกสุดแรงเกิด
        แก้วตกใจสุดขีด รถบุญมาพุ่งมาถึงตัว แสงไฟจ้าเต็มที่ แล้วบุญมาก็เบรกรถได้ทันท่วงที
        “ฉิบหายแล้ว”
        บุญมาลงจากรถเดินเข้าไปดูเห็นแก้วในคราบผู้ชายนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นใจหายวาบ
        “คุณ...คุณ...เป็นยังไงบ้าง”
        บุญมามองดูไม่เห็นร่องรอยใดๆ ว่าถูกชนจึงพลิกดูหน้าแก้วหมวกหลุดผมลีบเปียกน้ำ
        “เฮ้ย ไอ้เด็กเปรตนี่หว่า”
      
        รถบุญมาแล่นตะบึงผ่านประตูรั้วบ้านชูวงศ์เข้ามาจอดเอี๊ยด บุญมาลงมาแล้ววิ่งหน้าตาตื่นเรียกคนสวน
        “นายมี นายมี นายมีโว้ย”
        นายมีไม่เป็นอันปิดประตูรั้วรีบวิ่งมา
        นายมีกับบุญมา ช่วยกันหามหัวหามเท้าแก้วอย่างเก้ๆ กังๆมาในบ้าน นมพวงกับสาวใช้ที่ชื่อศรีตกใจ
        “คุณบุญมา นี่อะไรกันคะ”
        บุญมามองดูรอบๆห้องแล้วไม่รู้จะวางตรงไหนดี จึงตัดสินใจพาขึ้นชั้นบน
        “โธ่ นมอย่าเพิ่งถาม ... เอาขึ้นไปข้างบนเลยดีกว่า”
        ภายในห้องนอนของบุญมาใหญ่โตเต็มไปด้วยชั้นหนังสือภาษาอังกฤษทั้งนิยาย และหนังสือประวัติศาสตร์และศิลปะมากมาย
        มีหนังสือวางอยู่ตามพื้นตามมุมต่างๆ ในห้องไม่มีระเบียบนัก แต่ที่ไม่รกมากเพราะมีคนรับใช้ช่วยดูแลให้ แก้วนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง บุญมายืนเกาหัวดูสภาพ นายมีออกไปทันทีหลังจากที่วางแก้วเรียบร้อยแล้ว นมพวงเข้ามาในห้อง ส่วนศรียังรีๆรอๆอยู่หน้าประตู
        “คุณบุญมาเอาเด็กนี่มาจากไหนคะ”
        “ไม่ได้มาจากไหน ฉันขับรถชนมัน”
        “ว้าย ตายแล้ว ทำไมไม่เอาไปโรงหมอคะ”
        “โธ่ รถฉันยังไม่ทันโดนตัวมันเลยมันก็ล้มลงไปแล้ว เอ หรือมันจะแกล้งโดดให้รถชนแล้วเรียกร้องเอาเงิน”
        นมพวงไม่สนใจนั่งลงมองดูหน้ามอมกับผมที่เริ่มแห้งของแก้วแล้วเอามืออังหน้าผากและคอ
        “ตัวร้อนจี๋เลยเป็นไข้แน่ค่ะ เด็กคงไม่สบายอยู่ พอจะโดนรถชนก็เลยเป็นลม หัวฟาดไป นี่ไงคะ หัวโนเป็นลูกมะกรูดเลย”
        บุญมาเอานิ้วเกาคาง
        “นมแน่ใจนะว่ามันไม่ได้ลูกไม้ ไอ้เด็กเวรนี่ร้ายนัก”
        “วุ้ย ตามคุณหมอประสบมาดูก่อนเถอะค่ะ ไม่รู้จะพามาทำไม”
        “เผื่อมันตาย ฉันจะได้จำกัดศพได้ง่ายๆไง”
      
        บุญมาพูดเล่น นมพวงจะเข้ามาแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตแก้ว
        “ถอดเสื้อผ้า แล้วเช็ดตัวให้ไข้ลดก่อนดีกว่าค่ะ”
        นมพวงชะงักแล้วบอก
        “แหม เด็กนี่มันก็รุ่นแล้ว อิฉันเป็นผู้หญิงคงไม่เหมาะ คุณนั่นแหละถอดเสื้อผ้าให้มันหน่อย”
        “ฉันน่ะนะ”
        “ค่ะ อิฉัน จะไปโทรตามคุณหมอ”
        นมพวงหันมาพูดกับศรี
        “นี่แก ไปเอาน้ำใส่อ่างมา”
        นมพวงกับสาวใช้เดินออกไป บุญมาสีหน้าบึ้งตึงเข้าไปแกะกระดุมสื้อแก้วออก แล้วจับตัวพลิกคว่ำอย่างไม่ปราณีปราศรัย ดึงเสื้อเชิ้ตออกไป แล้วแปลกใจที่เห็นว่ามีผ้าพันรอบตัวแน่นอยู่ บุญมางง แต่ไม่ทันคิด
        “พันผ้าไว้ทำไมวะ หรือเป็นโรคปวดหลัง”
        บุญมาเห็นชายนึงของผ้าลุ่ยอจึงดึงออก ร่างแก้วที่คว่ำอยู่ก็พลิกหงายแล้วคว่ำใหม่ ผ้าผืนยาวทั้งผืนติดมือบุญมามา บุญมามองดูก็ยังไม่คิดอะไร จับแก้วพลิกหงายมา แล้วตาเบิกโพลง
        “เฮ้ย เว้ย โว้ย”
        บุญมาตกใจสุดขีด ผวาถอยพรวดไปถึงตู้ไซด์บอร์ด ของล้มโครมคราม
      
        บุญมาหน้าเหรอโผล่ออกมาจากห้อง นพวงกลับขึ้นมาหลังจากโทรศัพท์ สาวใช้ถืออ่างน้ำมาพอดี
        “คุณหมอกำลังมาค่ะ เอ๊ะ ทำไมคุณทำหน้าตาเหมือนเห็นผี”
        “ไม่ใช่ผีหรอก เห็นอย่างอื่น .. นมกับศรีมาถอดเสื้อให้มันที”
        “มันเป็นเด็กผู้ชาย นมกับศรีทำไม่ได้หรอกค่ะ หน้าเกลียด”
        “ไม่น่าเกลียดหรอก เพราะตอนนี้ ... มันไม่ใช่เด็กผู้ชายแล้ว”
        นมพวงกับสาวใช้ร้องอุทานรีบเข้าห้องไป บุญมาดูตามรอยแง้มประตู นมพวงกระแทกประตูปิดปังใส่หน้าทันที
 เช้าวันใหม่ มารศรีแต่งกายงดงามเดินมาจากทางด้านหลัง ที่โต๊ะอาหารพระชาญชลาศัยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ แต่งกายเหมือนเตรียมจะไปทำงาน สรรค์แต่งตัวอยู่กับบ้านกำลังกินอาหารเช้า แม่ผิน บัว และสมพงษ์คอยรับใช้ ผินปรายตามองแล้วแขวะ
       “ตื่นซะสายตะวันโด่งกว่านวยนาดวาดกรมาได้”
       บัวรีบรับมุขอย่างรู้ทัน
       “หมายถึงหนูใช่ไหมคะ”
       “ย่ะ หรือว่าใครอื่นจะรับก็ตามใจ”
       มารศรีนั่งลงที่โต๊ะ สรรค์มองอย่างไม่สนิทใจนัก
       “ขอประทานโทษนะคะที่มาสาย”
       บัวเข้ามารินกาแฟจากกาให้ มารศรีพยักหน้าขอบใจ แล้วหยิบกากาแฟมา
       “คุณพระเติมกาแฟอีกไหมคะ”
       “ก็ดีเหมือนกัน”
       มารศรีเติมกาแฟและเติมน้ำตาลให้
       “คุณสรรค์ล่ะคะ”
       “ไม่ล่ะ ขอบใจ”
       พระชาญชลาศัยวางหนังสือพิมพ์ลง
       “วันนี้มีข่าวอะไรบ้างคะ”
       “ไม่เห็นมีอะไรก็มีแต่ข่าวตั้งรัฐบาลใหม่ เรื่องฟอร์มทีมรัฐมนตรี อ้อ...”
       หลวงชาญชลาศัยหันมาพูดกับสรรค์
       “เขาว่ากันว่าพ่อตาแกคงจะได้ตำแหน่งเดิม”
       “แค่ว่าที่ครับ ว่าที่พ่อตา”
       “แล้วไม่มีข่าวอื่นหรือคะ”
       “ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็มีข่าวเมียตีหัวผัว อ้อ มีข่าวสาวใช้บ้านพระยาธรรมนูญขโมยเครื่องเพชรเลยถูกจับได้”
       มารศรีสังหรณ์ใจวูบคว้าหนังสือพิมพ์มาดู สรรค์ออกความเห็น
       “คงจะเป็นเครื่องเพชรของคุณน้ามะลิ”
       มารศรีอ่านปราดๆ แล้วนิ่งไปสีหน้าขรึมลง คุณพระไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่คุยกับสรรค์ไปเรื่อยๆ
       “ข่าวว่าเป็นสาวใช้คนใหม่ เพิ่งรับมาทำงานได้ไม่กี่เดือนก็ออกลายเสียแล้ว”
       ผินได้โอกาส
       “ใช่เจ้าค่ะ นังพวกนี้มันชอบทำหน้าซื่อให้คนตายใจ ไม่ระวังให้ดีมันยกย้ายถ่ายเทจนเหลือแต่ตัวแน่เจ้าค่ะ”
       มารศรีเป็นห่วงนิดและเจ็บใจแทน ตาวาวขึ้นมามองแม่ผินพลางอย่างเอาเรื่อง
       มารศรีเสียงแข็ง
       “คราวนี้หมายถึงบัว หรือหมายถึงใคร”
       “อุ๊ย ฉันก็พูดถึงคนทั่วๆ ไป ใครไม่ใช่ก็อย่ามารับ”
       “เอ้า พอๆ ขอฉันทำงานอย่างปลอดโปร่งโล่งใจซักวันเถอะน่ะ”
       มารศรีส่งหนังสือพิมพ็ให้สรรค์
       “ลองดูสิคะ คุณสรรค์อาจจะเคยเห็น เคยรู้จักมาบ้างก็ได้”
       สรรค์ไม่รับหนังสือพิมพ์บอก
       “ ไม่หรอก ฉันไม่ได้ไปบ้านพระยาธรรมนูญมาหลายเดือนแล้ว...นี่ไม่รู้ว่าสุวลีรู้ข่าวนี้หรือยัง”
       มารศรีวางหนังสือพิมพ์ลง ยิ้มเหยียดหยามน้ำเสียงเยาะเย้ย
       “มีหรือคะ จะไม่รู้ .. ดิฉันว่า เรื่องนี้ คุณสุวลีคงรู้ก่อนที่มันจะเป็นข่าวเสียอีก”
       สรรค์มองหน้ามารศรีอย่างแปลกใจในน้ำเสียง แต่ไม่มีใครรู้ความนัยของมารศรี
      
       แสงยามเช้าส่องเข้ามาในห้องนอนของบุญมา แก้วยังนอนห่มผ้าอยู่ หน้าตาสดใสขึ้นกว่าเมื่อคืน แก้วค่อยๆลืมตาแล้วยิ้มละไมเพราะคิดว่ากำลังฝันหวาน แก้วยันตัวลุกขึ้นเห็นแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แก้วเรียกเสียงเบาหวิว
       “พี่เนื่อง”
       ร่างนั้นชะงักหันมาเห็นเป็นเงามืด แก้วยิ้ม ร่างนั้นค่อยๆก้าวมาที่เตียงจนแก้วเห็นว่าเป็นบุญมา
       “เฮ้ย”
       บุญมายืนกอดอกมองดูแก้วอย่างประเมินท่าที แก้วผงะและเพิ่งแน่ใจว่า ไม่ใช่ความฝัน แต่เมื่อครั้นมองบุญมาและมองไปรอบๆห้องแล้วมองตัวเองจึงพบว่าตนใส่เสื้อและ กางเกงนอนของผู้ชาย แก้วสับสนอลหม่าน ตะครุบอกตัวเอง
       “แก แกทำอะไรฉัน”
       “ก็ทำอย่างที่ลูกผู้ชายเขาทำกัน”
       บุญมาจงใจพูดให้เข้าใจผิดเล่น แก้วตวาดแว้ด เอามือแตะๆอกและเนื้อตัวว่าบุบสลายหรือไม่
       “แปลว่าอะไร”
       “แปลว่าลูกผู้ชายพอเจอคนเป็นลม เขาก็พามาดูแลหาหมอมารักษานะซี”
       แก้วนั่งคิดนึดหนึ่ง
       “ไม่จริง ฉันไม่ได้เป็นลม มีไอ้บ้าขับรถชนฉัน .. ต้องแกแน่ๆเลย”
       “ไม่ใช้โว้ย ไม่ได้ชนแต่เธอล้มไปหัวฟาดพื้นเอง”
       แก้วคลำหัวโนตัวเอง
       “แล้ว แล้วใครจับฉันแก้ผ้า”
       “ก็...ก็มีอยู่สองสามคน”
       “แก...แล้วแกเห็นหมดแล้วใช่ไหม”
       “เห็นบ้างแต่ไม่หมด”
       แก้วลุกขึ้นเต้นผางๆ ชี้หน้า บุญมาสำราญใจ
       “แก...ฉันจะให้ตำรวจมาจับแก...ว่าแกขับรถชนฉัน”
       “ฉันก็จะแจ้งความเรื่องเธอ เตะผ่า...เอ้ย ทำร้ายร่างกายฉัน”
       “ฉันจะแจ้งความเรื่องแกจับฉันแก้ผ้า”
       “ฉันจะแจ้งความเรื่องเธอคือไอ้โจรขโมยหมวก”
       “ฉันจะแจ้งความเรื่องแก...แกต้องลวนลามฉันแน่เลย”
       “ฉันก็จะแจ้งความเรื่องเธอปล้นชิงกระเป๋าเงินฉันไป...หลักฐานอยู่นี่จับได้คาหนังคาเขา”
       บุญมาโบกกระเป๋าเงินให้ดู แก้วตกใจ
       “เอามานี่”
       “นี่มันกระเป๋าฉัน”
       “ใช่ แต่ของ-ของฉันอยู่ในนั้น ของสำคัญด้วย ฉันจดเอาไว้”
       แก้วลนลาน บุญมาหยิบเศษกระดาษมีลายมือแก้วขึ้นมาจากกระเป๋า
       “ไอ้นี่ใช่ไหม”
       บุญมาอ่าน
       “หลวงพินิจอรรถการ หัวหน้าศาลจังหวัดจันทบุรี”
       “เอามานี่”
       แก้วจะปล้ำแย่งกระดาษ แต่บุญมาวิ่งหนี
       “ไม่ให้ เธอบอกฉันมาก่อน จริงๆ แล้วเธอเป็นใคร แล้วกำลังจะไปไหน แล้วไอ้กระดาษแผ่นนี้มันแปลว่าอะไร”
       แก้วทำตาปริบๆคิดหาทางว่าบอกยังไงดี
      
       ภายในห้องขังมีหญิงขี้เมานางหนึ่งนอนหลับพับอยู่กับพื้น นิดนั่งเหม่อครุ่นคิดอยู่ท่าทางไม่ได้นอนมาทั้งคืน นายสิบตำรวจเอากระบองเคาะดังกังวาน นิดตื่นจากภวังค์
       “นางนิด เชี่ยวสินธุ”
       นิดมองอย่างงงๆ
       “มีคนมาเยี่ยม... เชิญขอรับคุณนาย”
       มารศรีก้าวเข้ามา นิดมองดูแล้วผวามาหา มารศรีมองดูสภาพแล้วยื่นมือมากุมมือนิด นิดจับมือดีใจ
       “คุณมารศรี คุณมาได้ยังไงคะ”
       ตำรวจออกไปแล้ว เหลือทั้งสองคุยกันเพียงสองคน
       “ฉันผิดเอง ฉันรู้เรื่องนี้มาตั้งวันสองวันแล้ว แต่ก็มัวรีรอ ถ้าฉันส่งข่าวให้เธอแต่เนิ่นๆ เธอก็จะไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
       นิดยิ้ม ดวงตาวาววับด้วยความเจ็บใจ
       “ถ้าคุณไม่บอกหนูก็คงคิดแค่ว่า คุณหญิงวางแผนกำจัดหนูเพราะหนูไปรู้ความลับของคุณหญิงเข้า”
       “ความลับอะไรกัน”
       นิดลังเลนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจพูดเบาๆ ใกล้ๆ มารศรี
       “เรื่องคุณหญิงคบผู้ชายค่ะ”
       “อุ๊ยตาย มีเรื่องนี้ด้วยหรือ”
      
       นิดเสียใจ
       “แต่ที่แท้ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝืมือของคุณสุวลี ความเมตตาปรานีทั้งหลายของคุณหญิงเป็นแค่หลุมพรางให้หนูตายใจเท่านั้น”
       “ความจริงเรื่องเล่นละครตีสองหน้าน่ะ ฉันก็ไม่แพ้ใครหรอกนะ แต่พอมาอยู่ในแวดวงผู้ดีฉันถึงได้รู้ว่า พวกผู้ดีน่ะเล่นละครได้เก่งกาจว่าฉันหลายเท่า”
       “โดยเฉพาะคุณสุวลี ... อย่างที่คุณเคยว่าใช่ไหมคะ ว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเราเห็น”
       “ฉันจะช่วยประกันตัวเธอออกมาก่อนแล้วเราค่อยคิดอ่านเรื่องแต่งทนายมาสู้คดี”
       “ไม่ต้องหรอก หนูรบกวนคุณนายมามากแล้ว “
       “ไม่ได้นะ นี่เดี๋ยวเขาก็จะส่งตัวเธอไปลหุโทษแล้ว .. ฉันต้องหาคนมาช่วยเธอ”
       นิดซึ้งใจ
       “อย่าเลยค่ะคุณมารศรี ถ้าคุณพระชาญรู้ ท่านคงโกรธคุณแน่ๆ หนูไม่อยากให้คุณลำบากเพราะหนู”
       มารศรีอึ้งไป นิดปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
       “ไม่ต้องห่วงหนูค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูจะสู้กับมันและเอาตัวรอดให้ได้ค่ะ”
       “มันต้องอย่างนี้สิ แม่หนูนิดของฉัน”
       มารศรียิ้มชื่นชมในความเข้มแข็งของนิด นิดยิ้มรับแล้วมองเลยไป แววตามีรอยเยาะหยันกับชีวิต
      
       ภายในห้องนอน สุวลีแต่งชุดอยู่บ้านอย่างกรุยกรายดูราวชุดราตรี รองเท้าแตะส้นสูงปักเลื่อม นั่งวางท่าบนเก้าอี้ คุณหญิงมะลิอยู่ตรงข้าม แหวนเพชรลูกใหญ่ในมือทอแสงวูบวาบ คุณเฟื่องดูแลจัดของเล็กๆ น้อยๆ อยู่ด้านหลัง
       “ตอนนี้เขาส่งมันไปอยู่ลหุโทษแล้ว”
       “ค่ะ แล้วต่อไปจะยังไงคะ”
       “อีกอาทิตย์นึง มันก็ต้องขึ้นศาล นี่น้าซักซ้อมกับนังลัดดาแล้ว รับรองว่ามันไม่รอดแน่”
       สุวลีมีแววตาสมใจ
       “ค่ะ”
       “นี่น้าคุยกับทางตำรวจแล้ว เขาพบว่ามันปากแข็งปฏิเสธไม่ยอมรับสารภาพ มันต้องติดคุกเป็นปีแน่ๆ .. นังคนนี้เห็นท่าทางเซื่องๆ ติ๋มๆ แต่บทจะสู้ มันก็สู้ยิบตาเหมือนกัน”
       สุวลีตาแข็งขึ้นคิดไปถึงครั้งสุดท้ายที่เจอนิด
       “แต่หนูก็จะขอให้คุณสัญญาเหมือนกัน ว่าคุณจะดีกับพี่เสียม รักพี่เสียมให้มากเหมือนที่พี่เสียมรักคุณ คุณทำได้ใช่ไหมคะ แต่ถ้าวันใดคุณทำไม่ได้ หนูจะทวงสัญญาของหนูกลับคืน”
      
       สุวลีเชิดหน้ายิ้มนิดๆ ด้วยแววตาชั่วร้าย
       “กว่ามันจะออกจากคุก ตอนนั้นสุก็คงแต่งงานกับสรรค์แล้ว เด็กนั่นก็จะเป็นแค่นังขี้คุกไม่มีสิทธิ์จะมาตอแยสรรค์อีกต่อไป”  
source: manager.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น