วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครสาวน้อย ตอนที่ ๑๓

ห้องโถงบ้านพระยาธรรมนูญภักดีดูเก่าแก่ มีบรรยากาศของความคงแก่เรียน เคร่งขรึม ไม่หรูหราฟูฟ่า แต่ของตกแต่งทุกอย่างก็ดูปราณีตสง่างาม
       บนโต๊ะกินข้าว พระยาธรรมนูญกินอาหารเช้าเสร็จแล้วกำลังพลิกอ่านหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวข่าว “เยอรมันบุกออสเตรีย ฤาชนวนสงครามโลก” ส่วนคุณหญิงมะลิและช่อผกายังกินอาหารอยู่ คุณหญิงมะลิแต่งกายงดงามเกินวัย เสื้อคว้านโชว์อกอวบ ช่อผกาแต่งเครื่องแบบนิสิตจุฬาฯ ซิ่นกรอมเท้าสีน้ำเงิน เสื้อขาว
       นิดนั่งกับพื้นรอรับใช้อยู่ ข้าง ๆ นิดคือ ลัดดาต้นห้องของมะลินั่งเชิดหน้าอยู่ ลัดดายังสาวแต่ดูร้ายอย่างเห็นได้ชัด
       “คนรับใช้บ้านเราก็แทบจะเดินชนกันตายแล้ว คุณแม่จะจ้างแม่คนใหม่นี่มาอีกทำไมคะ”
       นิดหลบตามองพื้น ลัดดาพยักเพยิดอย่างเห็นด้วย คุณหญิงมะลิยิ้มละไม
       “แม่นิดกำลังลำบากลูก มีเรื่องร้อนกายร้อนใจ แม่สงสารก็เลยอยากช่วย”
       “อุ๊ยตาย ช่อเพิ่งทราบว่า คุณแม่เป็นคนใจบุญสุนทานขนาดนี้”
       ช่อผกาจิกกัดแม่ไม่จริงจังนัก มะลิมองค้อนลูก แววร้ายปรากฎขึ้นวูบหนึ่ง
       “ความจริงบ่าวบนเรือนนี้ก็มีลัดดาอยู่แล้ว แล้วแม่คนนี้จะทำอะไรละคะ”
       ลัดดามองค้อนนิดตาคว่ำบอก
       “จริงเจ้าค่ะ”
       “นังลัดดานี่ก็ให้จัดการธุระปะปังของแม่ บางทีก็ต้องไปไหนมาไหนกับแม่ด้วย ส่วนแม่นิดก็ให้ดูแลเจ้าคุณพ่อไป”
       “อุ๊ยตาย ช่อลืมไปว่าคุณแม่ต้องไปชุมนุมญาติมิตรอยู่บ่อย ๆ”
       “แหม นานทีปีหนหรอก”
       พระยาธรรมนูญปิดพับหนังสือพิมพ์วางลงบนโต๊ะ
       “แม่นิดไปหยิบหนังสือสารานุกรมที่ฉันอ่านค้างไว้มาที”
       “เจ้าค่ะ อยู่บนชั้นหรือเจ้าคะ”
       “อือ ใช่เล่ม 10 นะแม่นิด”
       นิดคลานออกไป
       “ยังไงคะ เจ้าคุณพี่ถูกใจไหมคะแม่นิดคนนี้”
       “ก็เรียกง่ายใช้คล่องไม่เหมือนอีบางคน”
       พระยาธรรมนูญไม่ระบุ แต่ลัดดาสะดุ้งและพยายามคิดว่าไม่ใช่ตน
       “นางบางคนใช้อะไรนิดอะไรหน่อยก็หน้างอคอคอด”
       ลัดดาหน้าหงิกไปทันที พระยาธรรมนูญเหลือบมอง ลัดดารู้ตัวรีบยิ้ม นิดเข้ามาแล้วคุกคลานมาส่งสารานุกรมภาษาอังกฤษให้ พระยาธรรมนูญรับมา
      
       “ถูกเล่มหรือเปล่า อือ ใช่ เก่งมากแม่นิด”
       นิดยิ้มหน้าชื่น ช่อผกาเหลือบมอง
       “ต๊าย เอนไซโคลพิเดียหรือคะ...นี่ แกรู้ภาษาฝรั่งด้วยหรือ”
       “ไม่รู้เจ้าค่ะ”
       “แล้วแกหยิบมาถูกได้ยังไง”
       “ดิฉันจำได้ว่าท่านกำลังอ่านหนังสือชุดนี้อยู่เจ้าค่ะ”
       ช่อผกาพลิกดูสันหนังสือ
       “ต๊าย ตัวเลขก็เป็นเลขโรมันแล้วแกรู้ได้ยังไงว่าเล่มไหนเล่มสิบ”
       “ดิฉันดูเทียบกับตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาเจ้าค่ะ”
       ช่อผกาอึ้งแล้วมองค้อน พระยาธรรมนูญหัวเราะ
       “เห็นไหม คนฉลาดก็มีไหวพริบแบบนี้ ไม่เหมือนอีบางคนให้ไปหยิบหนังสือบอกมัน ที่ปกเป็นหนังสีดำมัน ๆ เวรกรรมมันดันหยิบเกือกหนังมาให้”
       ลัดดาอับอายขายขี้หน้า พระยาธรรมนูญมองนิดอย่างเมตตา มะลิมองอย่างเอ็นดูแต่แววตาผิดปรกติ ช่อผกามีแววหมั่นใส้ นิดก้มหน้ายิ้มนิด ๆ ลัดดาเหลือบดูก็โกรธตาวาว
      
       บริเวณเรือนแถวไม้ยาวเหยียดเป็นที่อยู่สำหรับสาวใช้สาวโสด พวกผู้ชายและที่มีผัวแล้วจะแยกไปอยู่อีกเรือนหนึ่งทางโรงรถ ที่หน้าเรือนไม้มีเรือนครัวใหญ่ หน้าเรือนครัวจะเป็นชานกว้างเป็นแหล่งชุมนุมคนรับใช้ของบ้าน
       นางชื่นแม่ครัว วัย ๕๐ ปี ท่าทางใจดีนั่งล้อมวงกินข้าวกับลัดดา เสงี่ยมคนขับรถวัย ๓๐ ปีสามีของลัดดาท่าทางเจ้าชู้ กับถวิลสาวใช้วัย ๓๐ ปีซึ่งเป็นคนซักรีด
       “รู้ไหมป้าชื่น คุณหญิงให้เงินเดือนมันตั้งห้าสิบบาท ต้ายมาทำงานปุ๊บ เงินเดือนก็ข้ามหัวฉันไปแล้ว” ลัดดาว่า
       “แต่เอ็งน่ะเป็นต้นห้องคุณหญิง ได้เบี้ยบ้ายรายทางอยู่ตลอดไม่ใช่หรือ นังลัดดา” ชื่นบอก
       “อุ๊ย แหม มันจะกี่อัฐฬส (อ่านว่า อัด - รด) กัน”
       “แต่เอ็งกับไอ้เหงี่ยมสองคนผัวเมีย เงืนเดือนรวมกันก็เป็นร้อยเป็นชั่ง น้อยซะเมื่อไร”
       “มันคงถึงหรอกป้า มีเงินมันก็เอาไปกรอกขวดเหล้าหมด” ลัดดาว่า
       “ก็ยังดีกว่าเอ็ง เดี๋ยวซื้อผ้า เดี๋ยวซื้อสร้อย เดี๋ยวซื้อแป้ง ไม่เห็นมันจะสวยขึ้นมาเท่าไร” เงี่ยมบอก
       “ไอ้ผัวบ้า”
       “ใครอยากทำงานบนเรือนก็ทำไปเถอะ แต่ฉันแค่ซักรีดอยู่ข้างล่างน่ะสบายใจกว่า” ถวิลบอก
       “ทำไมยะนังหวิน” ลัดดาถาม
       “ท่านเจ้าคุณน่ะยกไว้เถอะท่านใจดี แต่คุณหญิงกับคุณช่อผกาน่ะซี เดี๋ยวอย่างนั้น เดี๋ยวอย่างนี้ เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลงฉันหัวใจจะวายตาย ว้าย”
       มีคนเดินมาพอดี กลุ่มคนใช้ที่นินทาเจ้านายพากันสะดุ้งผวากัน หันไปดูชัดๆก็เห็นว่าเป็นนิด
       “ดีนะที่เป็นแม่นิด แกนะแกปากไม่มีหูรูด นังหวิน” ชื่นบอก
       นิดรู้ว่าบรรดาคนรับใช้กำลังนินทาเจ้านายอยู่ ป้าชื่นตักข้าวใส่จานให้นิด
       “เอ้า แม่นิดมากินข้าวลูก”
       “จ๊ะ ป้าชื่น”
       เสงี่ยมขยับที่ให้นิดนั่งใกล้ ๆ มองนิดตาหวานตามประสาคนเจ้าชู้ นิดนั่งลงเสงี่ยมตักกับข้าวให้
       “เอ้า ลองแกงไก่นี่ดูซีจ๊ะ”
       “ขอบใจจ๊ะ”
       ลัดดามองผัวตาเขียว
       “นี่ไอ้เหงี่ยมไม่ต้องกุลีกุจอขนาดนั้นก็ได้ ฉันเป็นเมียมาตักให้ฉันบ้าง”
       “ก็เอ็งอิ่มแล้วไม่ใช่หรือจะให้ข้าตักอะไร”
       “เอ๊ะ ก็อิ่มแล้วทั้งผัวทั้งเมียไม่ใช่หรือ ไปเตรียมรถเตรียมราให้คุณหญิงไป เอ็งด้วยนังลัดดา เอ็งต้องตามคุณหญิงไปญาติมิตรไม่ใช่หรือ” ชื่นบอก
       เสงี่ยมยิ้มกับนิดก่อนจะลุกไปทำหน้าที่ ลัดดามองค้อนนิดแล้วเดินกระทืบเท้าจากไป ถวิลยิ้มกับนิด
       “แม่นิดมาก็ดีนะ แต่ก่อนมันหึงฉัน พอแม่นิดมามันก็เปลี่ยนไปหึงแม่นิดแทน” ถวิลว่า
       “ยังกะผัวมันรูปงามซะเต็มประดา เอ้า กินเถอะหนู อย่าไปใส่ใจ อีสองผัวเมียนี่เลย” ชื่นบอก
       นิดฝืนยิ้มพยายามกลืนข้าวให้ลงคอ
      
       ภายในห้องรับแขกบ้านเนาวรัตน์เวลากลางวัน สุวลีนั่งอยู่บนโซฟา คุณเฟื่องอยู่ทางด้านหลัง พระชาญชลาศัยกับบุญมานั่งบนโซฟายาว เสวกนั่งอยู่ใกล้กับสุวลี
       “เราไปหลงเชื่อไอ้นักสืบนั่นเลยไปมะงุมมะงาหลาอยู่ปักษ์ใต้เสียสองอาทิตย์ เสียเวลาจริง ๆ” เสวกว่า
       “แล้วนี่เจ้าสรรค์เป็นอย่างไรบ้างครับ คุณอา” บุญมาถาม
       “หมอบอกว่าปลอดภัยดีทุกอย่าง แต่ความทรงจำช่วงความจำเสื่อมนั้นหายไปหมด”
       “ยังไงนะครับ”
       “สรรค์ฟื้นขึ้นมา คิดว่าเพิ่งผ่านวันหมั้นไปไม่กี่วัน นี่มันยังเข้าใจว่าหมอผ่าตัดมันเพื่อรักษาแผลที่โดนตีหัวตอนโดนปล้น”
       บุญมากับเสวกงงเล็กน้อย
       “แล้วทำไมถึงไม่บอกความจริงมันละครับ”
       “เจ้าสรรค์มันไม่ใช่คนขวัญอ่อน มันน่าจะรับความจริงได้” เสวกว่า
       “เพราะว่าเรื่องที่สีชังนั่น สรรค์ไม่ควรจะรู้น่ะซีคะ”
       “ทำไมหรือครับ ที่สีชังมีอะไร” บุญมาถาม
       “นั่นซีคุณน้อง เกิดอะไรขึ้นที่สีชัง”
       สุวลีมองหน้าพระชาญชลาศัยที่พยักหน้ารับ สุวลีพูดช้า ๆ อย่างไม่มีพิรุธใด ๆ แม้แต่น้อย
       “ตอนที่สรรค์ไปถึงสีชัง สรรค์เกือบจมน้ำตายแต่มีคนช่วยไว้”
       เสวก บุญมานิ่งฟังอยู่ พระชาญชลาศัยมีแววคล้ายละอายบนสีหน้า
       “ใครหรือครับ”
       “คนที่ช่วยสรรค์ไว้เป็นพวกโจรกลุ่มหนึ่งบนเกาะนั้น พวกมันเอาสรรค์เป็นพวก พาสรรค์ไปร่วมปล้นก่อคดีอยู่หลายครั้ง”
       “ตายละวา” บุญมาอุทาน
       “คงไม่ถึงกับไปฆ่าใครเข้านะคุณน้อง”
       คุณเฟื่องยิ้มนิด ๆ สุวลีถอนหายใจ
       “สุก็หวังว่าอย่างงั้นค่ะ คุณพี่กับคุณบุญมาคงจะเห็นด้วยว่าเราจะให้สรรค์ รู้เรื่องสีชังไม่ได้เด็ดขาด”
       เสวกพยักหน้า
       “ถ้าอย่างงั้น...แล้วเราจะบอกสรรค์ว่ากระไรครับ” 
 ภายในห้องคนไข้ สรรค์นั่งเอนพิงพนักเตียง สุวลีนั่งบนเตียงคนไข้กุมมือสรรค์ไว้ พระชาญและคุณเฟื่องนั่งอยู่บนโซฟา เสวกเเละบุญมาอยู่ที่ปลายเตียง สุวลีเล่าเรื่องเท็จบอกสรรค์ถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
      
       เทอเรชบ้านเนาวรัตน์ในเวลากลางคืน สรรค์เลือดไหลจากศีรษะมาอาบเสื้อเดินเซซังมาบนเทอเรชและล้มลง สุวลีในชุดเสื้อคลุมนอนยาวงดงามผวามาประคองไว้
       “หลังจากคุณถูกปล้นชิงรถ คุณเดินเซซังเลือดท่วมตัวจนมาเจอสุ”
       สรรค์นั่งอึ้งขมวดคิ้วพยายามนึก สุวลีน้ำตาเอ่อ
       “เมื่อคุณฟื้นขึ้น คุณก็จำทุกอย่างไม่ได้ คุณหมอบอกว่าคุณความจำเสื่อมชั่วคราวให้พาคุณไปพักฟื้นในที่ ๆ ไม่มีใครรบกวน”
      
       ภายในบ้านสวนของคุณหญิงบัวผันมีเรือนไทยหลายหลังซึ่งอยู่ที่ริมแม่ น้ำเจ้าพระยา ที่ศาลาริมน้ำ สรรค์นั่งพิงเสาเหม่อลอย สุวลีคอยดูแล ป้อนอาหารอยู่ใกล้ ๆ
       “สุกับคุณอาจึงพาคุณไปที่บ้านสวนของคุณแม่สุ”
       สรรค์มองสุวลีอย่างซาบซึ้งพลางบีบมือ สุวลียิ้มให้
       “คุณหมอแนะนำให้คุณออกกำลังกาย คุณก็เลยทำสวน ขุดดิน จนเนื้อตัวดำเกรียม มือไม้แตกไปหมด”
      
       ที่สวนของบ้านสวน สรรค์ถือจอบขุดดินอยู่ท่ามกลางแดดจ้า เนื้อตัวดำมันเลื่อมไปด้วยเหงื่อ
       สรรค์แบทั้ง 2 ข้างขึ้นดูแล้วคล้อยตาม สุวลีเอามือสรรค์มากุมไว้
       ศาลาท่าน้ำบ้านสวน สุวลีสีหน้าเป็นทุกข์เอายาลูบใส่ทามือสรรค์ที่แตกเป็นแผลอย่างทะนุถนอม สรรค์ยังมีอาการเหม่อลอย สุวลีมองอย่างแสนรัก น้ำตาเอ่อ
       สรรค์กุมมือสุวลีไว้
      
       “รู้ไหมคะสรรค์ ว่ามันทรมานเพียงใดที่ต้องดูแลคุณที่จำสุไม่ได้เลย .. แม้แต่น้อย”
       “สุ ผมขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้สุต้องลำบากต้องทุกข์ใจขนาดนั้น”
       “เพื่อคุณ สุทำได้ทุกอย่างค่ะ”
       ตาสุวลีเป็นประกาย สรรค์เอามือสุวลีขึ้นมาจูบ พระชาญชลาศัยลุกขึ้นมองเมินไปทางอื่นอย่างละอายใจ คุณเฟื่องยิ้มพยักหน้ากับสุวลี เสวกยิ้มมีอาการราวเชื่อคำเท็จนั้นไปด้วย แต่บุญมากลับมองสุวลีแปลกไปจากที่เคยเห็นสุวลีเป็นดังเจ้าหญิง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว บุญมากระซิบกับเสวก
       “คุณน้องของนายนี่แต่งนิยายเก่งกว่าฉันอีกว่ะ”
       สุวลียิ้มหยาดเยิ้มมองสรรค์อย่างสุดรัก สรรค์มองตอบอย่างจงรักภักดี
      
       บริเวณเรือนไม้ค่อนข้างแคบภายในบ้านพระยาธรรมนูญ ด้านหนึ่งมีหน้าต่างบานใหญ่บานเดียว ในห้องแทบไม่มีเครื่องเรือนนอกจากฟูกและมุ้ง อีกด้านมีโต๊ะตัวเล็กกับตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ กระเป๋าเดินทางยังคงกองอยู่ นิดเอาเสื้อผ้าทั้งหมดเรียงใส่ตู้ แล้วหยิบนิตยสารหน้าปกสุวลีมาดูแวบหนึ่งแล้วใส่ไว้ก้นตู้ นิดเอาแหวนของสรรค์มาดูแล้วน้ำตาก็พลันคลอขึ้นมาอีก
       นิดเอารูปสเกตช์ของสรรค์ขึ้นมา ภาพตนเอง ภาพเนื่อง และภาพของแม่ แล้วหยิบเอากระดาษมาวางลงบนโต๊ะเล็ก แล้วเริ่มลงมือเขียนจดหมายด้วยดินสอ
       “กราบเท้าแม่ที่รักและเคารพของนิด”
       นิดลังเลแล้วจรดดินสอเขียนต่อไป
       “พอนิดกับพี่เสียมมาถึงกรุงเทพ หมอก็ให้พี่เสียมผ่าตัดทันที หลังผ่าตัด พี่เสียม ..”
       นิดลังเลอีกครั้งน้ำตาเอ่อล้นหยดลงมาตามแก้ม แล้วเขียนต่อ
       “หายดีเป็นปรกติ พี่เสียมจำได้ว่าตัวเองคือใคร และจำเรื่องราวที่สีชัง จำแม่ จำพี่เนื่อง จำพี่เชิด จำแก้ว”
       นิดกัดริมฝีปาก น้ำตาหยดซึมบนกระดาษ
       “และจำนิดได้เป็นอย่างดี”
      
       ที่แท่นหินใต้ต้นน้อยหน่า เนื่องถือจดหมายนิดอ่านออกเสียง นางนิดและแก้วอยู่ตรงหน้า
      
       “พี่เสียมยังต้องพักฟื้นอีกหลายวัน ถึงจะกลับมาอยู่กับนิดที่บ้านถนนข้าวสารได้ พระชาญ และทุกคนที่นี่ดูแลนิดเป็นอย่างดี แม่กับพี่เนื่องไม่ต้องห่วงนิดนะจ๊ะ นิดหวังว่าแม่กับพี่เนื่องคงสบายดี ฝากบอกแก้วด้วยว่านิดคิดถึง”
       แก้วมองค้อนเนื่อง
       “พี่เนื่อง นิดฝากพี่เนื่องให้ดูแม่ดี ๆ ด้วย รักและคิดถึง...นิด”
       นางนิ่มซับน้ำตา
       “เฮ้ย โล่งอก”
       “เห็นไหมละแม่ นิดกับไอ้เสียมสบายดีทุกอย่างที่แม่ฝันร้ายสังหง สังหรณ์อะไรน่ะ ไม่เห็นจะจริงเลย”
       นางนิ่มมองค้อนลูกชาย
       “เออ เอาไว้แม่ฝันร้ายเรื่องเอ็งเมื่อไร แม่จะไม่ห่วงเลยสักนิดนึง”
       แก้วดึงจดหมายมาดู
       “รู้ได้ยังไงว่านังนิดสบายดีมันอาจจะปดเราก็ได้”
       “เอ็งพูดบ้าอะไรนังแก้ว”
       “ก็ถ้ามันไปตกระกำลำบาก นังนิดมันไม่ยอมบอกเราหรอก มันต้องทำหน้าชื่นเก็บทุกข์ไว้คนเดียว”
       นางนิ่มได้ฟังก็เกิดปริวิตกขึ้นมาอีก
       “เอ็งว่าอย่างงั้นหรือ นังเเก้ว”
       “ก็...” แก้วอ้ำอึ้ง
       “นี่เอ็งเลิกพูดได้เเล้ว เอ็งจะพูดให้แม่ข้าอกแตกตายเหรอ ไหนเอ็งไปเอามาจากไหนว่านิดมันโกหก”
       แก้วเชิดใส่เนื่อง
       “ก็มันเขียนถึงฉันกระจิ๊ดเดียว ถ้ามันมีความสุขจริงมันก็ต้องเขียนถึงฉันมากกว่านี้ซี”
       “อ้อ เวร ตกลงเป็นว่าเอ็งอิจฉาข้าที่นิดเขียนถึงข้ามากกว่า”
       “เชอะ ใครจะไปอิจฉาพี่เนื่อง ฉันกลับล่ะ ฮึ”
       แก้วเดินฉับ ๆ ไป เนื่องมองดูนางนิ่ม
       “อย่าไปฟังนังแก้วมันแม่ นิดสบายดี เชื่อหัวไอ้เนื่องเหอะ”
       นางนิ่มฝืนยิ้ม
      
       ที่บ้านของแก้ว นางใบนอนอยู่บนฟูกบางไอโขลกแล้วขยับลุกขึ้นมาไอต่อเนื่องแล้วคว้าปั้นน้ำชา มาจะเทลงถ้วย แต่พบว่าน้ำในปั้นน้ำกาว่างเปล่าจึงคว้าปั้นลุกขึ้นไปเพื่อเติมน้ำร้อน แต่เมื่อเดินมาและชะงักเพราะเห็นตาฟูกำลังเอาหน้าแนบฝาบ้าน ในมือถือผ้าผืนหนึ่ง
       “ไอ้ฟู เอ็งทำอะไร” นางใบถาม
      
       ตาฟูสะดุ้งเฮือกขยับตัวออกมามีพิรุธ
       “นี่ นี่เอ็งเจาะรูไว้แอบดูนังแก้วหรือ แก้วลูก แก้ว”
       “เอ็งอย่ามาพูดหมา ๆ แอบดูอะไร อีแก้วมันอยู่ไหน”
       นางใบก้าวมาเปิดประตูห้องแก้วแล้วโล่งอกนิดหนึ่งที่แก้วไม่อยู่ แต่ก็หันมาอย่างโกรธจัด
       “วัน ๆ มันก็ไปแหมะอยู่กับไอ้เนื่อง กลัวใครไม่รู้ว่ามันอยากได้ไอ้เนื่องเป็นผัว” ตาฟูบอก
       “มึงไม่ต้องมาพูดเฉไฉ นี่มึงเจาะรูไว้เตรียมแอบดูแก้วมัน นั่น นั่น เสื้อในนังแก้ว เอ็งเอามาทำไม มึงเป็นพ่อมันนะ” นางใบว่า
       “กูไม่ได้อยากเป็นพ่อมัน กูอยากเป็นผัวมันต่างหาก”
       นางใบกุมอกชี้นิ้วด่า ตาฟูไม่แยแส
       “ไอ้ชาติชั่ว ไอ้ชิงนรกมาเกิด กูไม่มีวันให้มึงเข้าใกล้ลูกกู”
       “มึงจะทำยังไงได้ มึงนอนแบ็บทั้งปีทั้งชาติแบบนี้ ต่อให้กูปล้ำอีแก้วต่อหน้ามึง มึงก็ได้แต่ทำตาปริบ ๆ”
       “ไอ้ระยำ”
       นางใบเดินไปเอาปั้นน้ำชาฟาดหัวตาฟูเต็มแรง ตาฟูไม่ทันหลบจนหัวทิ่ม เลือดไหลปรี่มาอาบหน้า แล้วเซซังลุกขึ้น
       “อีสารเลว มึงทำกู”
       นางใบคว้าไม้พายเข้าฟาดตาฟูโดนซ้ายปายขวา ตาฟูยิ่งเจ็บยิ่งแค้น นางใบฟาดจนหมดเเรง ทันใดตาฟูก็กระชากพาย นางใบถลาไปเบื้องหน้า ตาฟูเอาพายฟาดนางใบเซถลามากลางชาน
       “เก่งนักหรือมึง อีโกโรโกโรค”
       ตาฟูเดินเข้ามา นางใบทรงตัวแล้วตบสวน ตบซ้ำ ตาฟูขบกรามตบกลับสุดแรง นางใบเซถลาตกบันได
       แก้วก้าวเข้ามาพอดี นางใบตกโครมลงมา ศีรษะกระแทกพื้นต่อหน้า
       “แม่”
       แก้วถลาไปประคองนางใบที่เลือดไหลรินไม่ขาดสาย แก้วระล่ำระลักน้ำตาไหลพราก นางใบมองดูแก้วอย่างแสนห่วง มือขวาคว้าจับแก้มลูกสาวไว้ แก้วจับมือแม่กดแนบแก้ม นางใบคอพับ ขาดใจตายในสภาพที่ตายังลืมค้าง แก้วตกใจ มือนางใบลดลงจากหน้าแก้วทิ้งลง แก้วร้องลั่น
       “แม่”
       แก้วร้องกรี๊ดประคองร่างแม่มากอดไว้ แหงนมองขึ้นไป ตาฟูหน้าซีดแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
       “ข้าไม่เกี่ยวนะ แม่เอ็งไข้ขึ้นเพ้อจะไปลงทะเล ข้ายุดไว้ก็ตีหัวข้า แล้วก็เซตกกะไดลงไปตาย”
       แก้วไม่เชื่อ แต่ยังพูดอะไรไม่ออก
 เวลาเย็นย่ำ ท้องฟ้าสีแดงอมส้ม แก้ว เนื่อง นางนิ่มและชาวบ้าน 7-8 คนและหลวงตายืนมองกองฟอนที่ไฟลุกโชติช่วง ควันไฟลอยสูงสู่ฟ้าที่ป่าช้า
      
       มารศรีแต่งตัวงดงามกำลังเดินลงบันไดมาอย่างช้า ๆ ที่โซฟานั่งเล่น พระชาญชลาศัยกำลังพลิกอ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนแม่ผินยืนอยู่ใกล้ ๆ
       “คุณพระเจ้าคะ คุณสรรค์เกือบจะกลับมาบ้านเเล้วนะเจ้าคะ”
       “หมอลิขิตบอกว่าให้อยู่โรงพยาบาลก่อนสัก 2 สัปดาห์ แล้วทำไมหรือแม่ผิน”
       แม่ผินมองค้อนไปทางเพดานห้อง
       “คุณพระจำที่คุณสรรค์ประกาศไว้ก่อนไปเกิดเรื่องเกิดราวไม่ได้หรือคะ”
       “ยังไง”
       มารศรีย่นหัวคิ้ว ชะงักฝีเท้าหยุดฟังที่เชิงบันได
       “คุณสรรค์ว่าถ้าคุณพระยังให้แม่หยาดฟ้าหยาดสวรรค์อยู่ในบ้าน คุณสรรค์จะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้อีก”
       “ตอนนี้เจ้าสรรค์มันก็อ่อนลงมากแล้ว มันไม่มาเอาชนะคะคานกับฉันดอก”
       “จะว่าได้หรือคะ คุณพระเพิ่งได้คุณสรรค์กลับมา ไม่เกรงจะเสียคุณสรรค์ไปอีกหรือคะ”
       แม่ผินสวมบทยุยงเต็มที่ แต่พระชาญเองกลับมีแววตัดสินใจไว้เเล้ว
       “ไม่ต้องพูดอะไรแล้วแม่ผิน ฉันเองคิดตรองเรื่องนี้เอาไว้เเล้ว”
       มารศรีเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ
      
       ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านธรรมนูญภักดี ท่านพระยาธรรมนูญแต่งตัวลำลองแบบจะออกนอกบ้าน มีไม้เท้าหัวเลี่ยมนากงดงาม วางอยู่ข้างตัว รวมทั้งหมวกสาน นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
       นิดถือปั้นน้ำชาถ้วยเล็กมาคุกเข่าลง รินชาลงถ้วย พระยาธรรมนูญพยักหน้าขอบใจ นิดลังเล
       “มีอะไร”
       “ดิฉันอยากขออนุญาตท่านออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ”
       พระยาธรรมนูญขยับตัวพับหนังสือพิมพ์วางลง
       “มีธุระปะปังอะไรหรือ”
       “ดิฉันมีญาติป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลเจ้าค่ะ อยากไปถามอาการเขาว่าดีขึ้นหรือยัง”
       พระยาธรรมนูญมอง
       “ดิฉันจะไปไม่นาน จะกลับมาให้เร็วที่สุดเจ้าค่ะ”
       “เอาอย่างนี้ ปรกติวันอาทิตย์ เจ้าลูกชายคนโตฉันจะมารับฉันไปข้างนอกกว่าจะกลับก็ค่ำ นี่เดี๋ยวมันก็มาเเล้ว งั้นวันอาทิตย์ก็ให้เป็นวันหยุดของเธอก็แล้วกัน”
       นิดตาสว่างวาบยกมือไหว้
      
       ถนนร่มรื่นค่อนข้างร้างมีรถผ่านมา ๒ - ๓ คัน รถสามล้อคันหนึ่งเเล่นมา ภายในรถ นิดนั่งชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น รถมาชะลอลงตรงหน้าโรงพยาบาล
       “จอดที่นี่ก็ได้จ๊ะ”
       คนขับสามล้อถีบหยุดลง นิดส่งเงินให้แล้วเดินเข้าไปอย่างระวัง
      
       นิดก้าวเข้าไปตามถนนโรงพยาบาลมองดูอาคารแล้วเบิกตากว้าง
       ที่อาคารเห็นรถพระชาญชลาศัย สุวลี บุญมา จอดอยู่ ไม้คนขับรถยืนรออยู่ บริเวณประตูเหนือบันได พระชาญชลาศัย บุญมา เสวกยิ้มแย้มเดินออกมา
       นิดเข้าหลบหลังพุ่มไม้ประดับมองเห็นสรรค์เดินตามออกมา นิดกัดริมฝีปาก มองเขม็ง
       สรรค์ก้าวเดินเหินแข็งแรง ผมบนศีรษะเริ่มยาว หน้าตาสดใส
       นิดยกมือปิดปาก ยิ้ม น้ำตาคลอขึ้นด้วยความยินดี
       สุวลีแต่งตัวงดงามก้าวมาเคียงข้างสรรค์แล้วแกะแขน คุณเฟื่อง หมอลิขิต พยาบาลตามมา ความยินดีของนิดจางลงเล็กน้อย ความเจ็บแปลบแล่นเข้ามาในใจ
       สุวลียิ้มแล้วประคองพาสรรค์ลงบันไดมายังรถ มีการพูดจาร่ำลากัน พระชาญชลาศัยและสรรค์ขึ้นรถ บุญมาขึ้นรถของตัวอง ส่วนสุวลี เฟื่อง เสวกขึ้นรถและเป็นคนขับ รถบุญมาแล่นออกไปก่อน ตามด้วยรถสุวลี
       นิดถอนใจ มองดูสุวลีที่นั่งหน้าเชิดดูงดงามราวนางพญา
       รถพระชาญชลาศัยแล่นผ่าน นิดมองดู สรรค์นั่งตัวตรงมองไปเบื้องหน้า นิดยิ้ม รถทั้งสามคันแล่นจากไป นิดก้าวจากหลังพุ่มไม้มองตาม ความขมขื่นที่มีนั้นน้อยกว่าความยินดีที่เห็นสรรค์หายดี
      
       ภายในห้องรับแขกของโถงบ้านโพธิธารา แม่ผินโผผวาเข้ากอดสรรค์น้ำตาร่วงพรู พระชาญชลาศัยยืนดูอยู่ข้างหลัง บัวเเละสมพงษ์คุกเข่าอยู่ที่พื้น
       “โธ่เอ๋ย ทูนหัวของผิน ดูรึทั้งผอมทั้งดำ”
       “ผอมอะไรกัน ผมแข็งแรงจะตาย ดูซีกล้ามเป็นมัด”
       สรรค์ทำท่าเบ่งกล้าม กล้ามขึ้นเป็นลูก บัวปิดปากหัวเราะ แม่ผินมองค้อนคุณหนู
       “ฮึ ยังมาทำเป็นอวด คุณจะขึ้นห้องหรือยังคะ”
       “ขึ้นซี คิดถึงห้องเต็มที”
       “ทูนหัวของแม่ผิน ผินคิดถึงเหลือเกิน”
       แม่ผินแทบจะอุ้มสรรค์ไปที่บันได พระชาญชลาศัยมองตามอย่างเซ็ง ๆ
       “ทำยังกะเจ้าสวรรค์เป็นเด็กห้าขวบ”
       บัวกับสมพงษ์ซุบซิบนินทาคุณแม่บ้าน
       “เอ เมื่อ 2 วันก่อนก็เพิ่งไปเยี่ยมคุณสรรค์ที่โรงหมอไม่ใช่หรือ ทำไมพูดเหมือนเพิ่งเจอหน้า” สมพงษ์ว่า
       “แกก็พูดเหมือนไม่รู้จัก คุณแม่บ้าน” บัวบอก
       เสียงแม่ผินแว๊ดมา
       “เจ้าพงษ์ แม่บัวตามมาซียะ”
      
       ห้องนอนสรรค์ดูโล่งและเหงา สรรค์อยู่คนเดียวในห้อง เดินดูเอานิ้วไล่ตามชั้นหนังสือการเกษตร กสิกรรม แล้วเดินไปดูพวกอุปกรณ์เขียนภาพ หยิบพู่กันขึ้นมาดูแล้ววางลง เดินไปที่เตียงมองดูรูปตนเองกับสุวลี สรรค์ยิ้มนิด ๆ แต่ในใจกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างติดข้องอยู่
       สรรค์ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างซึ่งทางด้านหลังบ้าน มองไปยังบริเวณสวนครัวเก่าแล้วขมวดคิ้ว
       บริเวณสวนครัวมีเรือนไม้หลังคาปั้นหยาขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กสีสันดูใหม่ เอี่ยม มีการทำรั้วต้นไม้กั้นปิดโรงเรือนคนรับใช้ไว้ และปลูกต้นไม้ดอกงดงาม พระชาญชลาศัยโผล่เข้ามาพอดี สรรค์หันมา
       “คุณพ่อครับ สวนครัวผมหายไปไหนแล้วนั่นเรือนอะไร”
       “พ่อปลูกเรือนใหม่ให้มารศรี เลยต้องขอปันสวนแกไปหน่อยนึง”
       สรรค์นิ่งฟังมีแววยอมรับ พระชาญชลาศัยพูดด้วยน้ำเสียงกระทบนิด ๆ
       “เขาจะได้มีสัดส่วนของตัวเอง แกเองก็ไม่อยากเจอหน้าเขานักไม่ใช่หรือ”
       สรรค์นึกถึงบทบาทความร้ายของมารศรีที่เหมือนเกิดขึ้นเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน
       “นี่ผมเหมือนเกิดใหม่ อะไร ๆ มันดูเปลี่ยนไปหมด”
       “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกลูกทุกอย่างก็เหมือนเดิมนั่นแหละ นอนพักซะก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยไปกินของว่าง”
       “ครับพ่อ”
       พระชาญชลาศัยตบไหล่ลูกแล้วเดินออกจากห้องและปิดประตูลง สรรค์เดินไปที่เตียง ดึงผ้าคลุมเตียงออก แล้วเห็นผ้าบางผืนหนึ่งตกอยู่ สรรค์หยิบมาดู
       ภาพอดีต
       ลมแรงพัดมา ผ้าคลุมผมนิดสะบัดไหวราวหมอกควันวนอวลอยู่รอบใบหน้า จนเห็นหน้าไม่ชัด
       สรรค์งุนงงอะไรบางอย่างทำให้เอาผ้านั้นมาเเตะจมูก
      
       สรรค์ถือผ้าคลุมผมของนิดติดมือมาและเดินเข้ามาในสวนมองดูสวนครัวที่เหลืออยู่ราว ๑ ใน ๓
       “ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ คุณสรรค์”
       สรรค์หันไปเห็นมารศรีแต่งตัวงดงามยืนอยู่ ราตรี จงกลยืนอยู่ห่างออกไป สรรค์สีหน้าเย็นชานิด ๆ ไม่ถึงขั้นสมัยเมื่อ ๗ เดือนก่อน
       “ขอบใจ”
       “คุณดูเปลี่ยนไปนะคะ”
       “แต่เธอดูสุขสบายดี”
       “ก็เพราะความกรุณาของคุณพระกับคุณสรรค์นั่นแหละค่ะ”
       สรรค์ทึ่ง มารศรีมอง
       “นั่นผ้าอะไรหรือคะ”
       “ไม่ทราบ ฉันเจออยู่ในห้องฉัน”
       “ขอดิฉันดูซีคะ”
       สรรค์ส่งผ้าให้ พระชาญชลาศัยกับสมพงษ์เดินมา พระชาญชลาศัยแปลกใจที่สรรค์ดูอ่อนลง
       “ของเธอหรือเปล่า”
       “ไม่ใช่หรอกค่ะ สงสัยจะของแม่นิด”
       สรรค์งง พระชาญชลาศัยสะดุ้งเฮือก มองส่งสายตามายังมารศรี
       “นิด ใครคือนิด”
       “ไม่ใช่ใครหรอกลูก”
       “หมายความว่าอะไรครับ”
       พระชาญอึกอัก มารศรียิ้มพริ้มพราย
       “หมายความว่า แม่นิดไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณพระนะซีคะ แต่แม่นิดน่ะเหมือนน้องสาวดิฉัน เมื่อไม่กี่วันก่อนแม่นิดมาเยี่ยมดิฉัน”
       “แล้วทำไมถึงมีผ้าของแม่นิดอะไรนี่อยู่ในห้องฉัน”
       “แม่นิดคงช่วยทำความสะอาดห้องคุณมังคะ เลยทำตกไว้”
       พระชาญชลาศัยอึกอัก มองมารศรีตาเขียว
       “อ้อ”
       “นี่แกลงมาทำไมลูก”
       “ผมว่าจะไปดูรถผมซักหน่อยน่ะครับ”
       “อ้อ พ่อเพิ่งให้เจ้าไม้มันเอามาลองเครื่อง เมื่อวานนี้เองไปดูซี”
       พระชาญชลาศัยโอบไหล่สรรค์เดินไป มารศรีถือผ้าในมือแล้วมองตาม จงกลเข้ามากระซิบถาม
       “คุณให้อิฉันเอาผ้านี่ไปทิ้งในห้องคุณสรรค์ทำไมคะ”
       “เผื่อมันจะกระตุ้นความจำอะไรคุณหนูของแกได้บ้าง”
       มารศรีคิดหมายมาดในใจ จงกลงง
ขอขอบคุณจาก manager.co.th 
  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น