เนติมาเดินเข้าไปหาตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองคนที่กำลังแง้มประตูคุยกับคนที่อยู่ด้านนอก
“มีอะไรรึเปล่าคะ”
ตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองนายหันมารายงานพร้อมเปิดประตูรั้วทันที
“เออ..ท่านนายกฯมาครับ” ตำรวจคนแรกบอก
ประตูรั้วเปิดออก ศิวัชอยู่ในชุดสูทยืนอยู่ด้านนอก ศิวัชมองเนติมาด้วยความเป็นห่วง ขณะที่เนติมามองศิวัชด้วยความแปลกใจ
“พี่ศิวัช...”
เนติมากับศิวัชยืนคุยกันอยู่โดยมีการ์ดของศิวัชยืนอยู่ห่างๆเพื่อรักษาความปลอดภัย โดยมีรถขบวนของศิวัชจอดอยู่ด้วย
“พี่เป็นห่วง อยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าเนติ์ปลอดภัย ความจริงเมื่อกลางวันพี่ควรจะอยู่กับเนติ์”
“พี่ศิวัชติดงานนี่คะ อีกอย่าง...”
ศิวัชพูดแทรกทันที
“โชคดีที่คุณระบิลช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นพี่คง...คุณระบิลอยู่ไหนเหรอเนติ์ พี่อยากขอบคุณเขา”
เนติมาสีหน้าสลดลงก่อนพูดอย่างอดที่จะตัดพ้อระบิลไม่ได้
“พี่ศิวัชก็รู้นี่คะว่าเขาลาออกไปแล้ว เรื่องที่เขามาช่วยวันนี้คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”
ศิวัชมองเนติมาอย่างสังเกต ขณะที่เนติมาถามด้วยความสงสัย
“พี่ศิวัชงานเยอะเหรอคะถึงมาดึกจัง”
“เออ...บังเอิญพี่ต้องไป...”
เนติมารู้ได้ในทันที
“ไปงานเลี้ยงกับคุณตี้”
“ขอโทษนะจ๊ะเนติ์ บังเอิญคุณพ่อ...”
“เนติ์เข้าใจค่ะ”
เนติมาพูดตัดบทออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ศิวัชชะงักมองเนติมาอย่างรู้สึกผิด
“เนติ์...”
“เชื่อสิคะ เนติ์เข้าใจจริงๆ”
เนติมาพยายามพูดกลบเกลื่อนทั้งที่เต็มไปด้วยความน้อยใจที่ศิวัชให้ ความสำคัญกับปฏิพรมากกว่าตนมากขึ้นทุกที เนติมากับศิวัชมองหน้ากันนิ่งโดยเนติมาเป็นฝ่ายหลบตาเพราะเริ่มมีระบิลเข้า มาอยู่ในหัวใจ ศิวัชเห็นอาการแล้วก็เริ่มหวั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เนติมากับศิวัชยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่หน้าประตูรั้ว
เจือจันทร์ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความสงสัย
“สองคนนั่นกำลังมีปัญหากัน”
กันต์ที่กำลังอ่านหนังสือประมวลกฎหมายอยู่ใกล้ๆก็เลื่อนรถเข็นเข้ามาอยู่ข้างเจือจันทร์ถามด้วยความสงสัย
“คุณรู้ได้ยังไง”
“คนรักกัน คุยกัน เจอหน้ากัน เขาไม่ทำหน้าหมางเมินอย่างนั้นหรอกค่ะ”
กันต์มองตามเจือจันทร์ไปที่เนติมากับศิวัชอย่างสังเกตก่อนจะถอนใจออกมา
“เมื่อถึงเวลาหนูเนติ์ก็จะหาทางออกได้”
“กว่าจะถึงเวลานั้นจะอกแตกตายกันหมดน่ะสิคะคุณ”
“ความรักไม่เคยทำให้ใครตายหรอกคุณ คนที่ตายเพราะผิดหวังในรัก ล้วนทำร้ายตัวเองทั้งนั้นและคนอย่างหนูเนติ์ มีสมองพอที่จะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างนั้น”
กันต์พูดอย่างใจเย็นก่อนจะเข็นรถเข็นกลับเข้าไปด้านใน เจือจันทร์หันกลับไปมองเนติมาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
ในเวลาต่อมา ศิวัชเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เพราะกังวลเรื่องเนติมาเป็นอย่างมาก ภายในโถงคฤหาสถ์ของธำรง
“เรื่องผู้หญิงอีกล่ะสิ”
ศิวัชหันไปเห็นธำรงเดินออกมาจากทางหนึ่งและส่งสายตามองอย่างรู้ทัน
“เนติ์เขาไม่เหมือนเดิมครับ”
“แกเอาอะไรมาวัด รึเขาบอกแก”
“สายตาที่เนติ์มองผมไม่เหมือนเดิม ผมควรทำยังไงดีครับพ่อ” ศิวัชพูดพลางถอนหายใจ
“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร”
“คุณพ่อหมายความว่าไงครับ”
“จุดที่แกยืนอยู่ในสังคมตอนนี้จะหาผู้หญิงที่ดี พรั่งพร้อมอีกสิบคนร้อยคนก็ได้”
“คุณพ่อก็รู้นี่ครับ ว่าผมไม่มีวันเปลี่ยนใจจากเนติ์ ผมรักเนติ์ครับ”
“ทั้งๆที่แกก็บอกอยู่เมื่อกี้ว่าหนูเนติ์ไม่เหมือนเดิมงั้นเหรอ”
ธำรงพูดเพื่อต้องการให้ลูกชายได้คิด
“เรื่องความรัก อย่าตามใจหัวใจตัวเองนักนะเพราะหัวใจมันไม่มีสมอง”
ธำรงเอื้อมมือไปจิ้มที่หน้าอกด้านซ้ายของศิวัช พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เดินตามเส้นที่พ่อขีดไว้รับรองว่าแกจะไม่พบกับคำว่าผิดหวัง”
ธำรงอมยิ้มอย่างผู้มากประสบการณ์ก่อนเดินออกไป ศิวัชนิ่งคิดตามที่ธำรงพูด
ภายในบ้านพงษ์เลิศในเวลาเดียวกัน พงษ์เลิศหันขวับมามองอิทธิหาญด้วยความโมโหอย่างมาก
“ในที่สุดแกก็พลาดอีกจนได้แล้วรู้มั้ยว่าพลาดครั้งนี้มันหมายถึงอะไร”
อิทธิหาญเบือนหน้าหนีด้วยความเซ็ง ขณะที่พงษ์เลิศขยับเข้ามาพูดใกล้ๆ
“มันหมายถึงแกอาจพาให้เราทุกคนจนตรอก”
“ไหนว่าคนอย่างพ่อไม่เคยกลัวใครไง หรือพ่อกลัวติดคุก”
พงษ์เลิศฉุนขาดตรงเข้าไปกระชากคอเสื้ออิทธิหาญเข้าไปติดผนัง
“ถ้าให้ฉันมีลมหายใจอยู่ในกรงขัง ฉันยอมไม่มีลมหายใจเลยดีกว่า”
อิทธิหาญเอื้อมมือไปดึงมือพงษ์เลิศออกอย่างเซ็งๆ
“แล้วพ่อจะเอายังไง”
“เอาชนะพวกมันเอาอำนาจของเราคืนมา ฉันไม่สนใจว่าจะต้องแลกอีกกี่ชีวิต”
พงษ์เลิศพูดด้วยความเลือดเย็น แววตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
“ก็เท่านั้นแหละพ่อ ฮ่าๆ”
อิทธิหาญหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจพลันสีหน้าก็ฉายความโหดเหี้ยมออกมาไม่แพ้
ผู้เป็นพ่อ
เช้าวันใหม่ ผู้กำกับวิเชษฐ์เพิ่งตื่นนอนและเดินออกเปิดประตูบ้านด้วยสภาพงัวเงีย แต่ต้องตกใจที่เห็นเนติมายืนอยู่ปากประตู
“คุณเนติ์ ! คุณเนติ์เข้ามาได้ยังไงครับเนี่ย”
“ลูกน้องผู้กำกับไม่กล้าห้ามฉันหรอกค่ะ”
เนติมาพูดพลางมองเลยผ่านผู้กำกับวิเชษฐ์เข้าไปในบ้าน
“ขอฉันเข้าไปคุยกับคุณระบิลหน่อยนะคะ”
“แต่...”
“ฉันจำมอเตอร์ไซค์คันนั้นได้นะคะ”
เนติมาชี้ให้ผู้กำกับวิเชษฐ์ดูรถมอเตอร์ไซค์คันที่ระบิลขี่ไปช่วย เนติมาจอดอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน เนติมาจะเดินผ่านผู้กำกับวิเชษฐ์เข้าไปในบ้านทันที
“เออ..เดี๋ยวครับคุณเนติ์ เดี๋ยว งานงอกแล้วไง”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ถอนใจก่อนจะรีบตามเนติมาเข้าไปด้านในทันที
เนติมาเดินเลี้ยวเข้ามาในห้องครัวด้วยความร้อนใจ
“คุณระบิล !”
เนติมามองไปรอบๆห้องที่เรียบง่ายและมีขนาดไม่กว้างขวางนัก แต่ไม่พบระบิลอยู่ในนั้น
“คุณเนติ์ครับ...”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พยายามจะอธิบาย แต่เนติมาวิ่งย้อนออกไปด้านนอกทันที
“อ้าว..เดี๋ยวสิครับคุณเนติ์..คุณเนติ์ เฮ้ย ! อย่าขึ้นไปนะครับ เฮ้อ...”
เนติมาวิ่งขึ้นบันไดมาจากชั้นล่างด้วยความรวดเร็ว
“นายอยู่ไหน ออกมาพูดกันให้รู้เรื่องเลยนะ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์วิ่งตามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
“คุณเนติ์ ระบิลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะครับ”
เนติมาตรงเข้าไปเปิดประตูที่ห้องๆหนึ่งแต่ไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย ผู้กำกับวิเชษฐ์ตามขึ้นมาทันและพยายามจะอธิบาย แต่เนติมากลับตรงดิ่งไปยังห้องอีกห้องหนึ่งทันที
“คุณเนติ์เชื่อผมเถอะ...”
“ฉันรู้ว่านายอยู่ที่นี่ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
อีกห้องหนึ่งที่เนติมาปรี่เข้าไปก็ว่างเปล่า เนติมาถอนใจออกมาอย่างเซ็งๆ ก่อนหันขวับไปยังห้องนอนผู้กำกับวิเชษฐ์ทันที
“เออ..นั่นห้องนอนผมเองครับ คุณเนติ์ อย่า !”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มเจื่อนอย่างใจไม่สู้ดีนัก ผู้กำกับวิเชษฐ์ร้องด้วยความตกใจเมื่อเนติมาเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เนติมามองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าผิดหวัง สภาพห้องถูกเก็บอย่างเรียบร้อยไม่มีอะไรน่าเป็นพิรุธ
ผู้กำกับวิเชษฐ์มองรอบๆห้องตัวเองด้วยความแปลกใจ ก่อนตั้งสติแล้วอธิบายให้เนติมาฟัง
“ผมบอกคุณเนติ์แล้วว่าระบิลไม่ได้อยู่ที่นี่ รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นของผมเองครับ ผมเพิ่งซื้อมาแล้ววันนั้นระบิลเขายืมไปใช้ แล้วก็บังเอิญไปเจอคุณเนติ์กำลัง...”
“ก็แสดงว่าคุณระบิลกับผู้กำกับก็ยังติดต่อกันอยู่ ตอนนี้คุณระบิลเขาอยู่ไหนเหรอคะ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ชะงักตอบอะไรไม่ถูก
“ผมไม่ทราบจริงๆครับ ปกติระบิลเขาไปไหนมาไหนเขาไม่เคยบอกให้ใครรู้หรอกครับ”
เนติมาสลดลงอย่างเห็นได้ชัดพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
ในเวลาต่อมา ผู้กำกับวิเชษฐ์ยืนส่งเนติมาอยู่หน้าบ้าน เนติมานั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถด้วยสีหน้าเศร้า มีบอดี้การ์ดร่างใหญ่ที่สวมแจ็คเก็ตดูภูมิฐานเป็นทางการ ประกบดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด และมีมอเตอร์ไซค์คุ้มกันอีกหนึ่งคันวิ่งออกจากบ้านไป ผู้กำกับวิเชษฐ์มองตามรถของเนติมาไปก่อนถอนใจอย่างโล่งอก
ผู้กำกับวิเชษฐ์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนพลางเรียกเสียงดัง
“ระบิล !”
ระบิลสะพายเป้เสื้อผ้าเดินเข้ามาจากระเบียงด้วยความไม่สบายใจนัก
“โชคดีที่ผมไหวตัวทัน”
“แล้วฉันต้องโกหกคุณเนติ์อีกกี่ครั้งวะ”
ระบิลถอนใจออกมาด้วยความสับสน
“พี่เชษฐ์อยากให้ผมไปให้ไกลคุณเนติ์มากกว่านี้ใช่มั้ยครับ”
“การที่คุณเนติ์มาตามหาแกถึงที่นี่ แกยังไม่เข้าใจไม่เข้าใจอีกเหรอว่า คุณเนติ์รู้สึกกับแกยังไง”
ระบิลเข้าใจความหมายที่ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดทุกอย่าง ระบิลคิดอย่างตัดสินใจ
ภายในคอนโดฯ กระเป๋าใส่เสื้อผ้าสองใบที่วางอยู่ ยศวีร์เปิดประตูห้องออกมาพูดกับอนงค์และคำเที่ยงที่นั่งรออยู่ที่โซฟา
“เก็บของเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะอ้อ”
“เรียบร้อยจ้ะพี่ดล แต่...”
อนงค์พูดพลางพยักเพยิดให้ยศวีร์ดูเนติมาที่นั่งซึมอยู่ใกล้ๆ สายตามองโทรศัพท์มือถือที่มีลิสต์ชื่อระบิลอยู่อย่างลังเล ยศวีร์เดินเข้าไปลงนั่งข้างๆ มองด้วยความสงสัย
“พี่เนติ์”
เนติมาสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วถาม
“หา..พร้อมแล้วเหรอดล”
“พร้อมครับพี่เนติ์”
เนติมาพยายามยิ้มกลบเกลื่อนแต่ก็ไม่สามารถปิดบังความเศร้าได้มิด ยศวีร์ อนงค์และคำเที่ยงมองอย่างเป็นห่วง
ภายในห้องนั่งเล่น ขวัญชนกเดินนำเนติมา ยศวีร์ อนงค์และคำเที่ยงเข้ามาพลางพูดคุยด้วยรอยยิ้ม
“น้องอ้อนอนกับพี่เนติ์ ส่วนดลกับคุณลุงขวัญกับคุณแม่จัดห้องด้านบนไว้ให้แล้วนะคะ”
“รบกวนทางนี้แย่เลย ความจริงผมกับลูกๆกลับไปอยู่ที่สิงห์บุรีก็น่าจะปลอดภัยอยู่นะครับ” คำเที่ยงพูดด้วยความเกรงใจ ขณะที่กันต์กับเจือจันทร์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆยิ้มอย่างมีน้ำใจ
“อยู่ด้วยกันที่นี่เถอะครับจะได้ดูแลความปลอดภัยได้ง่ายขึ้น”
“เอาไว้ทุกอย่างเรียบร้อย ค่อยกลับไปดีกว่านะคะ”
“ความจริงก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะพ่อ พี่ดลกับพี่เนติ์จะได้อยู่ด้วยกันซะที”
อนงค์พูดอย่างอารมณ์ดีพลางมองไปที่ยศวีร์
“จริงด้วยนะครับพี่เนติ์”
ยศวีร์ยิ้มแล้วหันไปพูดกับเนติมาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเนติมายืนเหม่อมองไปที่ห้องหนังสือเพราะความคิดถึงระบิล
ภายในสวนหย่อมในเวลาต่อมา ยศวีร์เดินเข้ามานั่งข้างๆ มองพี่สาวอย่างเข้าใจ
“คิดถึงคุณระบิลเหรอครับ”
“ดล...”
เนติมาชะงักนิดหนึ่ง
“แววตาของพี่เนติ์มันบอกอย่างนั้นนี่ครับ”
“พี่ผิดมากใช่มั้ยดล”
“ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกไว้ว่า หัวใจเป็นกล้ามเนื้อก้อนเล็กๆ ที่แข็งแรงกว่าพลังช้างสาร แล้วอย่าหาเหตุผลกับหัวใจเพราะเราจะไม่มีวันได้คำตอบเลย”
เนติมาครุ่นคิดตามที่น้องชายพูด แล้วต้องถอนใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
“คงจริงเนอะ เพราะทุกวันนี้ พี่เองก็ยังไม่รู้ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แล้วพี่เนติ์ยังรักคุณศิวัชอยู่รึเปล่าครับ”
ยศวีร์คิดอยู่นิดหนึ่ง แล้วตัดสินใจถามอย่างตรงไปตรงมา เนติมาชะงักนิดหนี่งก่อนตอบ
“ดล..พี่กับพี่ศิวัชตกลงจะแต่งงานกันแล้วนะ”
“การแต่งงาน ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่ายังรักกันเสมอไปนี่ครับพี่เนติ์”
ยศวีร์ความอยากรู้ความรู้สึกของพี่สาว เนติมาชะงักพูดอะไรออกมาไม่ถูก
“ผมว่ารักเพราะรัก กับรักเพราะคุ้นเคย มันต่างกันนะครับพี่เนติ์”
เนติมาชะงักหันมามองยศวีร์นิดหนึ่ง
ปานเปิดประตูเข้ามาในบ้านจิ๊กพร้อมกับถุงข้าวของเครื่องใช้และอาหารเต็มสองมือ แต่ต้องตกใจเมื่อเห็นระบิลนั่งอยู่กับจิ๊ก
“จิ๊ก พี่...ระบิล !”
ระบิลลุกขึ้นพลางจ้องปานไม่วางตา ปานรีบวางถุงที่ถือมาแล้วชักปืนขึ้นเล็งไปที่ระบิลทันที ขณะที่ระบิลยังคงจ้องปานนิ่ง
“เอ็งมาที่นี่ทำไม !” ปานถาม
“พี่ปานอย่า ! พี่บอกแล้วไง ว่าห้ามมีเรื่อง”
“ไม่ต้องห่วงพี่จิ๊ก ผมแค่อยากคุยกับพี่ปาน”
“ฉันไม่มีอะไรต้องคุยกับแก”
ปานพูดอย่างหงุดหงิดพร้อมกับเก็บปืน ขณะที่ระบิลเข้าไปพูดกับปานด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมไม่ได้เป็นบอดี้การ์ดให้คุณเนติ์แล้ว”
source: manager.co.th
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น