วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

อ่านละคร หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 12

 ขณะที่เนติมาร้องไห้ด้วยความเสียใจก็มีแสงไฟจากหน้ารถสาดเข้ามา เนติมาชะงักมองไปรู้สึกเหมือนมีรถมาจอดหน้าบ้าน เนติมาปาดน้ำตามองไปที่ประตูรั้ว เห็นตำรวจนอกเครื่องแบบเดินเข้าไปคุยกับคนที่อยู่ด้านนอก เนติมาชักสีหน้าด้วยความสงสัย
       
       เนติมาเดินเข้าไปหาตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองคนที่กำลังแง้มประตูคุยกับคนที่อยู่ด้านนอก
       “มีอะไรรึเปล่าคะ”
       ตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองนายหันมารายงานพร้อมเปิดประตูรั้วทันที
       “เออ..ท่านนายกฯมาครับ” ตำรวจคนแรกบอก
       ประตูรั้วเปิดออก ศิวัชอยู่ในชุดสูทยืนอยู่ด้านนอก ศิวัชมองเนติมาด้วยความเป็นห่วง ขณะที่เนติมามองศิวัชด้วยความแปลกใจ
       “พี่ศิวัช...”
       เนติมากับศิวัชยืนคุยกันอยู่โดยมีการ์ดของศิวัชยืนอยู่ห่างๆเพื่อรักษาความปลอดภัย โดยมีรถขบวนของศิวัชจอดอยู่ด้วย
       “พี่เป็นห่วง อยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าเนติ์ปลอดภัย ความจริงเมื่อกลางวันพี่ควรจะอยู่กับเนติ์”
       “พี่ศิวัชติดงานนี่คะ อีกอย่าง...”
       ศิวัชพูดแทรกทันที
       “โชคดีที่คุณระบิลช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นพี่คง...คุณระบิลอยู่ไหนเหรอเนติ์ พี่อยากขอบคุณเขา”
       เนติมาสีหน้าสลดลงก่อนพูดอย่างอดที่จะตัดพ้อระบิลไม่ได้
       “พี่ศิวัชก็รู้นี่คะว่าเขาลาออกไปแล้ว เรื่องที่เขามาช่วยวันนี้คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”
       ศิวัชมองเนติมาอย่างสังเกต ขณะที่เนติมาถามด้วยความสงสัย
       “พี่ศิวัชงานเยอะเหรอคะถึงมาดึกจัง”
       “เออ...บังเอิญพี่ต้องไป...”
       เนติมารู้ได้ในทันที
       “ไปงานเลี้ยงกับคุณตี้”
       “ขอโทษนะจ๊ะเนติ์ บังเอิญคุณพ่อ...”
       “เนติ์เข้าใจค่ะ”
       เนติมาพูดตัดบทออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ศิวัชชะงักมองเนติมาอย่างรู้สึกผิด
       “เนติ์...”
       “เชื่อสิคะ เนติ์เข้าใจจริงๆ”
       เนติมาพยายามพูดกลบเกลื่อนทั้งที่เต็มไปด้วยความน้อยใจที่ศิวัชให้ ความสำคัญกับปฏิพรมากกว่าตนมากขึ้นทุกที เนติมากับศิวัชมองหน้ากันนิ่งโดยเนติมาเป็นฝ่ายหลบตาเพราะเริ่มมีระบิลเข้า มาอยู่ในหัวใจ ศิวัชเห็นอาการแล้วก็เริ่มหวั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
       เนติมากับศิวัชยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่หน้าประตูรั้ว
       เจือจันทร์ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความสงสัย
       “สองคนนั่นกำลังมีปัญหากัน”
       กันต์ที่กำลังอ่านหนังสือประมวลกฎหมายอยู่ใกล้ๆก็เลื่อนรถเข็นเข้ามาอยู่ข้างเจือจันทร์ถามด้วยความสงสัย
       “คุณรู้ได้ยังไง”
       “คนรักกัน คุยกัน เจอหน้ากัน เขาไม่ทำหน้าหมางเมินอย่างนั้นหรอกค่ะ”
       กันต์มองตามเจือจันทร์ไปที่เนติมากับศิวัชอย่างสังเกตก่อนจะถอนใจออกมา
       “เมื่อถึงเวลาหนูเนติ์ก็จะหาทางออกได้”
       “กว่าจะถึงเวลานั้นจะอกแตกตายกันหมดน่ะสิคะคุณ”
       “ความรักไม่เคยทำให้ใครตายหรอกคุณ คนที่ตายเพราะผิดหวังในรัก ล้วนทำร้ายตัวเองทั้งนั้นและคนอย่างหนูเนติ์ มีสมองพอที่จะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างนั้น”
     
       กันต์พูดอย่างใจเย็นก่อนจะเข็นรถเข็นกลับเข้าไปด้านใน เจือจันทร์หันกลับไปมองเนติมาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
 ในเวลาต่อมา ศิวัชเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เพราะกังวลเรื่องเนติมาเป็นอย่างมาก ภายในโถงคฤหาสถ์ของธำรง
        
       “เรื่องผู้หญิงอีกล่ะสิ”
       ศิวัชหันไปเห็นธำรงเดินออกมาจากทางหนึ่งและส่งสายตามองอย่างรู้ทัน
       “เนติ์เขาไม่เหมือนเดิมครับ”
       “แกเอาอะไรมาวัด รึเขาบอกแก”
       “สายตาที่เนติ์มองผมไม่เหมือนเดิม ผมควรทำยังไงดีครับพ่อ” ศิวัชพูดพลางถอนหายใจ
       “ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร”
       “คุณพ่อหมายความว่าไงครับ”
       “จุดที่แกยืนอยู่ในสังคมตอนนี้จะหาผู้หญิงที่ดี พรั่งพร้อมอีกสิบคนร้อยคนก็ได้”
       “คุณพ่อก็รู้นี่ครับ ว่าผมไม่มีวันเปลี่ยนใจจากเนติ์ ผมรักเนติ์ครับ”
       “ทั้งๆที่แกก็บอกอยู่เมื่อกี้ว่าหนูเนติ์ไม่เหมือนเดิมงั้นเหรอ”
       ธำรงพูดเพื่อต้องการให้ลูกชายได้คิด
       “เรื่องความรัก อย่าตามใจหัวใจตัวเองนักนะเพราะหัวใจมันไม่มีสมอง”
       ธำรงเอื้อมมือไปจิ้มที่หน้าอกด้านซ้ายของศิวัช พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
       “เดินตามเส้นที่พ่อขีดไว้รับรองว่าแกจะไม่พบกับคำว่าผิดหวัง”
       ธำรงอมยิ้มอย่างผู้มากประสบการณ์ก่อนเดินออกไป ศิวัชนิ่งคิดตามที่ธำรงพูด
     
       ภายในบ้านพงษ์เลิศในเวลาเดียวกัน พงษ์เลิศหันขวับมามองอิทธิหาญด้วยความโมโหอย่างมาก
       “ในที่สุดแกก็พลาดอีกจนได้แล้วรู้มั้ยว่าพลาดครั้งนี้มันหมายถึงอะไร”
       อิทธิหาญเบือนหน้าหนีด้วยความเซ็ง ขณะที่พงษ์เลิศขยับเข้ามาพูดใกล้ๆ
       “มันหมายถึงแกอาจพาให้เราทุกคนจนตรอก”
       “ไหนว่าคนอย่างพ่อไม่เคยกลัวใครไง หรือพ่อกลัวติดคุก”
       พงษ์เลิศฉุนขาดตรงเข้าไปกระชากคอเสื้ออิทธิหาญเข้าไปติดผนัง
       “ถ้าให้ฉันมีลมหายใจอยู่ในกรงขัง ฉันยอมไม่มีลมหายใจเลยดีกว่า”
       อิทธิหาญเอื้อมมือไปดึงมือพงษ์เลิศออกอย่างเซ็งๆ
       “แล้วพ่อจะเอายังไง”
       “เอาชนะพวกมันเอาอำนาจของเราคืนมา ฉันไม่สนใจว่าจะต้องแลกอีกกี่ชีวิต”
       พงษ์เลิศพูดด้วยความเลือดเย็น แววตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
       “ก็เท่านั้นแหละพ่อ ฮ่าๆ”
       อิทธิหาญหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจพลันสีหน้าก็ฉายความโหดเหี้ยมออกมาไม่แพ้
       ผู้เป็นพ่อ
     
       เช้าวันใหม่ ผู้กำกับวิเชษฐ์เพิ่งตื่นนอนและเดินออกเปิดประตูบ้านด้วยสภาพงัวเงีย แต่ต้องตกใจที่เห็นเนติมายืนอยู่ปากประตู
       “คุณเนติ์ ! คุณเนติ์เข้ามาได้ยังไงครับเนี่ย”
       “ลูกน้องผู้กำกับไม่กล้าห้ามฉันหรอกค่ะ”
       เนติมาพูดพลางมองเลยผ่านผู้กำกับวิเชษฐ์เข้าไปในบ้าน
       “ขอฉันเข้าไปคุยกับคุณระบิลหน่อยนะคะ”
       “แต่...”
       “ฉันจำมอเตอร์ไซค์คันนั้นได้นะคะ”
       เนติมาชี้ให้ผู้กำกับวิเชษฐ์ดูรถมอเตอร์ไซค์คันที่ระบิลขี่ไปช่วย เนติมาจอดอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน เนติมาจะเดินผ่านผู้กำกับวิเชษฐ์เข้าไปในบ้านทันที
       “เออ..เดี๋ยวครับคุณเนติ์ เดี๋ยว งานงอกแล้วไง”
       ผู้กำกับวิเชษฐ์ถอนใจก่อนจะรีบตามเนติมาเข้าไปด้านในทันที
       เนติมาเดินเลี้ยวเข้ามาในห้องครัวด้วยความร้อนใจ
       “คุณระบิล !”
     
       เนติมามองไปรอบๆห้องที่เรียบง่ายและมีขนาดไม่กว้างขวางนัก แต่ไม่พบระบิลอยู่ในนั้น
 
       “คุณเนติ์ครับ...”
        
       ผู้กำกับวิเชษฐ์พยายามจะอธิบาย แต่เนติมาวิ่งย้อนออกไปด้านนอกทันที
       “อ้าว..เดี๋ยวสิครับคุณเนติ์..คุณเนติ์ เฮ้ย ! อย่าขึ้นไปนะครับ เฮ้อ...”
       เนติมาวิ่งขึ้นบันไดมาจากชั้นล่างด้วยความรวดเร็ว
       “นายอยู่ไหน ออกมาพูดกันให้รู้เรื่องเลยนะ”
       ผู้กำกับวิเชษฐ์วิ่งตามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
       “คุณเนติ์ ระบิลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะครับ”
       เนติมาตรงเข้าไปเปิดประตูที่ห้องๆหนึ่งแต่ไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย ผู้กำกับวิเชษฐ์ตามขึ้นมาทันและพยายามจะอธิบาย แต่เนติมากลับตรงดิ่งไปยังห้องอีกห้องหนึ่งทันที
       “คุณเนติ์เชื่อผมเถอะ...”
       “ฉันรู้ว่านายอยู่ที่นี่ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
       อีกห้องหนึ่งที่เนติมาปรี่เข้าไปก็ว่างเปล่า เนติมาถอนใจออกมาอย่างเซ็งๆ ก่อนหันขวับไปยังห้องนอนผู้กำกับวิเชษฐ์ทันที
       “เออ..นั่นห้องนอนผมเองครับ คุณเนติ์ อย่า !”
       ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มเจื่อนอย่างใจไม่สู้ดีนัก ผู้กำกับวิเชษฐ์ร้องด้วยความตกใจเมื่อเนติมาเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
       เนติมามองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าผิดหวัง สภาพห้องถูกเก็บอย่างเรียบร้อยไม่มีอะไรน่าเป็นพิรุธ
       ผู้กำกับวิเชษฐ์มองรอบๆห้องตัวเองด้วยความแปลกใจ ก่อนตั้งสติแล้วอธิบายให้เนติมาฟัง
       “ผมบอกคุณเนติ์แล้วว่าระบิลไม่ได้อยู่ที่นี่ รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นของผมเองครับ ผมเพิ่งซื้อมาแล้ววันนั้นระบิลเขายืมไปใช้ แล้วก็บังเอิญไปเจอคุณเนติ์กำลัง...”
       “ก็แสดงว่าคุณระบิลกับผู้กำกับก็ยังติดต่อกันอยู่ ตอนนี้คุณระบิลเขาอยู่ไหนเหรอคะ”
       ผู้กำกับวิเชษฐ์ชะงักตอบอะไรไม่ถูก
       “ผมไม่ทราบจริงๆครับ ปกติระบิลเขาไปไหนมาไหนเขาไม่เคยบอกให้ใครรู้หรอกครับ”
       เนติมาสลดลงอย่างเห็นได้ชัดพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
     
       ในเวลาต่อมา ผู้กำกับวิเชษฐ์ยืนส่งเนติมาอยู่หน้าบ้าน เนติมานั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถด้วยสีหน้าเศร้า มีบอดี้การ์ดร่างใหญ่ที่สวมแจ็คเก็ตดูภูมิฐานเป็นทางการ ประกบดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด และมีมอเตอร์ไซค์คุ้มกันอีกหนึ่งคันวิ่งออกจากบ้านไป ผู้กำกับวิเชษฐ์มองตามรถของเนติมาไปก่อนถอนใจอย่างโล่งอก
     
       ผู้กำกับวิเชษฐ์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนพลางเรียกเสียงดัง
       “ระบิล !”
       ระบิลสะพายเป้เสื้อผ้าเดินเข้ามาจากระเบียงด้วยความไม่สบายใจนัก
       “โชคดีที่ผมไหวตัวทัน”
       “แล้วฉันต้องโกหกคุณเนติ์อีกกี่ครั้งวะ”
       ระบิลถอนใจออกมาด้วยความสับสน
       “พี่เชษฐ์อยากให้ผมไปให้ไกลคุณเนติ์มากกว่านี้ใช่มั้ยครับ”
       “การที่คุณเนติ์มาตามหาแกถึงที่นี่ แกยังไม่เข้าใจไม่เข้าใจอีกเหรอว่า คุณเนติ์รู้สึกกับแกยังไง”
     
       ระบิลเข้าใจความหมายที่ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดทุกอย่าง ระบิลคิดอย่างตัดสินใจ 
 ภายในคอนโดฯ กระเป๋าใส่เสื้อผ้าสองใบที่วางอยู่ ยศวีร์เปิดประตูห้องออกมาพูดกับอนงค์และคำเที่ยงที่นั่งรออยู่ที่โซฟา
        
       “เก็บของเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะอ้อ”
       “เรียบร้อยจ้ะพี่ดล แต่...”
       อนงค์พูดพลางพยักเพยิดให้ยศวีร์ดูเนติมาที่นั่งซึมอยู่ใกล้ๆ สายตามองโทรศัพท์มือถือที่มีลิสต์ชื่อระบิลอยู่อย่างลังเล ยศวีร์เดินเข้าไปลงนั่งข้างๆ มองด้วยความสงสัย
       “พี่เนติ์”
       เนติมาสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วถาม
       “หา..พร้อมแล้วเหรอดล”
       “พร้อมครับพี่เนติ์”
       เนติมาพยายามยิ้มกลบเกลื่อนแต่ก็ไม่สามารถปิดบังความเศร้าได้มิด ยศวีร์ อนงค์และคำเที่ยงมองอย่างเป็นห่วง
     
       ภายในห้องนั่งเล่น ขวัญชนกเดินนำเนติมา ยศวีร์ อนงค์และคำเที่ยงเข้ามาพลางพูดคุยด้วยรอยยิ้ม
       “น้องอ้อนอนกับพี่เนติ์ ส่วนดลกับคุณลุงขวัญกับคุณแม่จัดห้องด้านบนไว้ให้แล้วนะคะ”
       “รบกวนทางนี้แย่เลย ความจริงผมกับลูกๆกลับไปอยู่ที่สิงห์บุรีก็น่าจะปลอดภัยอยู่นะครับ” คำเที่ยงพูดด้วยความเกรงใจ ขณะที่กันต์กับเจือจันทร์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆยิ้มอย่างมีน้ำใจ
       “อยู่ด้วยกันที่นี่เถอะครับจะได้ดูแลความปลอดภัยได้ง่ายขึ้น”
       “เอาไว้ทุกอย่างเรียบร้อย ค่อยกลับไปดีกว่านะคะ”
       “ความจริงก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะพ่อ พี่ดลกับพี่เนติ์จะได้อยู่ด้วยกันซะที”
       อนงค์พูดอย่างอารมณ์ดีพลางมองไปที่ยศวีร์
       “จริงด้วยนะครับพี่เนติ์”
       ยศวีร์ยิ้มแล้วหันไปพูดกับเนติมาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเนติมายืนเหม่อมองไปที่ห้องหนังสือเพราะความคิดถึงระบิล
     
       ภายในสวนหย่อมในเวลาต่อมา ยศวีร์เดินเข้ามานั่งข้างๆ มองพี่สาวอย่างเข้าใจ
       “คิดถึงคุณระบิลเหรอครับ”
       “ดล...”
       เนติมาชะงักนิดหนึ่ง
       “แววตาของพี่เนติ์มันบอกอย่างนั้นนี่ครับ”
       “พี่ผิดมากใช่มั้ยดล”
       “ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกไว้ว่า หัวใจเป็นกล้ามเนื้อก้อนเล็กๆ ที่แข็งแรงกว่าพลังช้างสาร แล้วอย่าหาเหตุผลกับหัวใจเพราะเราจะไม่มีวันได้คำตอบเลย”
       เนติมาครุ่นคิดตามที่น้องชายพูด แล้วต้องถอนใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
       “คงจริงเนอะ เพราะทุกวันนี้ พี่เองก็ยังไม่รู้ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
       “แล้วพี่เนติ์ยังรักคุณศิวัชอยู่รึเปล่าครับ”
       ยศวีร์คิดอยู่นิดหนึ่ง แล้วตัดสินใจถามอย่างตรงไปตรงมา เนติมาชะงักนิดหนี่งก่อนตอบ
       “ดล..พี่กับพี่ศิวัชตกลงจะแต่งงานกันแล้วนะ”
       “การแต่งงาน ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่ายังรักกันเสมอไปนี่ครับพี่เนติ์”
       ยศวีร์ความอยากรู้ความรู้สึกของพี่สาว เนติมาชะงักพูดอะไรออกมาไม่ถูก
       “ผมว่ารักเพราะรัก กับรักเพราะคุ้นเคย มันต่างกันนะครับพี่เนติ์”
       เนติมาชะงักหันมามองยศวีร์นิดหนึ่ง
     
       ปานเปิดประตูเข้ามาในบ้านจิ๊กพร้อมกับถุงข้าวของเครื่องใช้และอาหารเต็มสองมือ แต่ต้องตกใจเมื่อเห็นระบิลนั่งอยู่กับจิ๊ก
       “จิ๊ก พี่...ระบิล !”
       ระบิลลุกขึ้นพลางจ้องปานไม่วางตา ปานรีบวางถุงที่ถือมาแล้วชักปืนขึ้นเล็งไปที่ระบิลทันที ขณะที่ระบิลยังคงจ้องปานนิ่ง
       “เอ็งมาที่นี่ทำไม !” ปานถาม
       “พี่ปานอย่า ! พี่บอกแล้วไง ว่าห้ามมีเรื่อง”
       “ไม่ต้องห่วงพี่จิ๊ก ผมแค่อยากคุยกับพี่ปาน”
       “ฉันไม่มีอะไรต้องคุยกับแก”
       ปานพูดอย่างหงุดหงิดพร้อมกับเก็บปืน ขณะที่ระบิลเข้าไปพูดกับปานด้วยน้ำเสียงจริงจัง
       “ผมไม่ได้เป็นบอดี้การ์ดให้คุณเนติ์แล้ว”
source: manager.co.th  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น