วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 3

คืนเดียวกันนั้น ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งสรวงนั่งหน้าเครียด ในขณะที่สุขฤทัยจีบปากจีบคอพูด ให้สรวงหาทางจัดการกับภาพิศ
      
       “สรวงจะนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้วนะคะ”
       “หมายความว่ายังไง?”
       “เราก็รีบแต่งงานกันสิคะ...แล้วก็รีบมีลูก ชิงมีก่อนนังภาพิศไปเลย คุณปู่จะได้รักหลาน หลงหลาน ยกสมบัติให้หลานแค่คนเดียว” สุขฤทัยเพ้อ
       โดยไม่รู้ว่าที่โต๊ะด้านหลัง นิคกับมะยมนั่งทานข้าวกันอยู่ ถึงกับชะงัก ส่วนอีกฝั่งโต๊ะติดกัน เป็นกาวินทร์นั่งหันหลังให้โต๊ะสรวงอยู่ ยินสรวงเอ่ยขึ้นว่า
       “เพ้อเจ้อ”
       มะยมกะนิคแอบกลั้นหัวเราะ กาวินทร์เองก็ยิ้มเยาะ
       สุขฤทัยเหวอ แต่ยังแถต่อ “เพ้อเจ้อตรงไหน? คนแต่งงานกัน ก็ต้องมีลูก มีทายาทเป็นเรื่องธรรมดา”
       สรวงพูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ “แต่ผมไม่คิดจะแต่งงานกับคุณ”
       สุขฤทัยหน้าคว่ำ “สรวง”
       “ที่ผ่านมา” สรวงเน้นคำต่อมา “เราเป็นแค่เพื่อนกันนะฤทัย ผมไม่อยากให้คุณคิดอะไรอย่างนี้
       หวังว่าคุณคงเข้าใจ” ลุกขึ้นเดินหนีไป
       สุขฤทัยหน้าซีด มะยมกับนิคยังกลั้นหัวเราะกันอยู่ แต่กาวินทร์หัวเราะดังลั่น สุขฤทัยหันขวับไปมอง และจำได้
       “แก”
       กาวินทร์ยียวน แนะนำตัวเอง “ผมชื่อแก้ว”
       “บอกทำไม? ฉันไม่ได้อยากรู้จัก” สุขฤทัยแว๊ด
       “แต่ผมอยากให้คุณรู้จักไว้....เพราะยังไงเราต้องได้เกี่ยวพันกันแน่นอน” กาวินทร์บอก มองจ้องหน้า
       สุขฤทัยเยาะเย้ย “แสดงว่ายังไม่เข็ด”
       กาวินทร์หัวเราะเยาะ “หมาลอบกัด กระจอก มาอีกครั้งสิจะได้เตะปากหมา”
       สุขฤทัยโกรธจันตัวสั่น “ไอ้บ้า...ฉันไปทำอะไรให้แก...อย่ามาตามหาเรื่องฉันนะ”
       “ผมไม่ได้ตามหาเรื่อง แค่อยากแนะนำตัว ผม...พี่ชายของกาว กรรณรี...พี่ชายนักข่าวที่คุณด่าไงล่ะ อย่ามีเรื่องกับน้องผม” เปิดกระเป๋าตังค์หยิบเงินมาวาง แล้วเดินออกไป
       สุขฤทัยหน้าเหวอไปเลย นิคกับมะยมเอาเงินวางบนโต๊ะ เดินผ่านเมียงมองขำๆ สุขฤทัยแว๊ดใส่
       “มองทำไม? อยากมีเรื่องกับฉันเหรอ?”
       “ไม่อยากมี แค่อยากถาม ไหวป่ะ?” นิคทำท่าล้อเลียนไปด้วย กิริยาเหมือนที่สุขฤทัยทำใส่นิค
       กับมะยมที่ออฟฟิศ แล้วนิคก็เดินออกไป
       “คืนเดียวมีผู้ชายเดินหนีตั้งสามคน” มะยมยั่วล้ออีกคน “ไหวป่ะคะ คุณฤทัย” วิ่งตามนิคไป
       สุขฤทัยได้แต่ร้องกรี๊ดๆ
      
       นิคเดินนำมะยมมาที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ สองคนหัวเราะ นิคเปรยขึ้น
       “โลกกลมชะมัดเลย”
       “เค้าถึงบอกไง ว่าอย่าเกลียดอะไร เพราะเกลียดอย่างไหน จะได้อย่างนั้น...” มะยมบอก
       “งั้น...ฉันไม่เกลียดเค้าแล้วดีกว่า” นิคว่า
       “ฉันก็ไม่เกลียด....เพราะฉันกลัวเจอเค้าอีก...”
       “โอ้! ถ้าเจออีก ไม่ไหวแน่ๆ เลยแก”
       สองคนหัวเราะกันสนุก ก่อนที่นิคจะขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ มะยมกระโดดซ้อนท้ายหมับ
       นิคว่าขำๆ “มอเตอร์ไซค์นังเจ้ ขี่ดีชะมัด เดี๋ยวยึดมันซะเลย”
      
       ภายในห้องนอน สรวงนอนไม่หลับ เอาแต่ตำหนิตัวเองเรื่องล่วงเกินกรรณนรี
       “ไม่เป็นลูกผู้ชายเลยสรวงเอ๊ย...ต่อให้ฉันจะโกรธเกลียดแม่เธอแค่ไหน? ฉันก็ไม่ควรระบายอารมณ์ใส่เธอ”
       สรวงกังวลจนนอนไม่หลับทั้งคืน
      
       เช้าตรู่ สรวงขับรถมาจอดที่หน้าปากซอยบ้านกรรณนรีก่อนเดินเข้าไป
       ภายในบ้านยามนั้น เกริกกอดกรรณนรีที่มีหน้าหมองเศร้า ขณะเดินออกมา บอกอย่างอ่อนโยน
       “ดูแลตัวเองด้วยนะลูก ช่วงนี้กาวหมองๆไปเยอะเลย”
       “พ่อก็เหมือนกันนะคะ...กาวรักพ่อค่ะ” กรรณนรีกอดและหอมพ่อ
       เกริกก็กอดและหอมลูกสาว สรวงยืนมองภาพความอบอุ่น สายตาสรวงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเดินกลับออกไป
      
       กรรณนรีเดินมาถึงที่หน้าปากซอยบ้าน หญิงสาวจะเดินต่อ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นสรวงยืนอยู่ พอกรรณนรีเลี่ยงไปอีกทาง สรวงขยับขวางทุกที่
       “อย่าคิดว่าจะใช้ไม้เดิมได้นะ”
       “ไม้ไหน” สรวงเน้นคำ “ตบ” ยิ้มยั่ว “จูบ”
       กรรณนรีทั้งโกรธทั้งอายแต่ทำเสียงเข้มใส่ “พิศวาสฉันล่ะสิ”
       สรวงตอบหน้าตาเฉย แกล้งเล่น “คงงั้นมั้ง”
       กรรณนรีตกใจ คาดไม่ถึง “คุณ”
       สรวงอมยิ้ม พูดยั่ว “แน่ะ! ดีใจ จนเนื้อเต้น” พร้อมกับทำท่าเอามือชี้ตามแขนกรรณนรี
       “อย่ามาทำหมาหยอกไก่กับฉันนะ ฉันมันไก่เดือยแข็ง เดี๋ยวมีเจ็บ”
       “ก็อยากจะรู้เหมือนกัน....ว่าจะเจ็บขนาดไหน?” เดินเข้ามาให้อย่างไม่กลัว
       “คุณ” กรรณนรีตกใจถอยหลังกรูด
       ระหว่างนั้นภรตขับรถมาจอด ก้าวลงมาทันที เดินมาคั่นกลาง “มีอะไรกาว”
       กรรณนรีไม่ตอบ ภรตจ้องหน้าสรวงแทน ท่าทางเอาเรื่อง “มีปัญหาอะไร...คุยกับผมได้”
       สรวงมองไปยังกรรณนรี “แน่ใจเหรอ? จะให้ผมคุยเรื่องของ...เรา”
       “อย่านะ” กรรณนรีร้องลั่น
       ทำเอาภรตตกใจ “กาว”
       กรรณนรีตัดรำคาญคว้ามือภรตไว้ “ไม่ต้องสนใจคนบ้าหรอกค่ะพี่ภรต ไปกันดีกว่า”
       กรรณนรีจูงมือภรตตรงไปที่รถ สรวงมองตามอย่างไม่พอใจ
      
       ภรตขับรถอยู่ มีกรรณนรีนั่งข้างๆ แต่กรรณนรี จ้องกระจกมองหลังตลอดว่าสรวงจะตามมาหรือเปล่า
       ภรตมองตามสายตากรรณนรี “กาวมีเรื่องอะไรกับเค้าเหรอ?”
       “เปล่าค่ะ”
       “แล้วทำไม...เค้าถึงได้กล้าพูดกับกาวว่า...เรื่องของเรา”
       กรรณนรีนิ่งไปไม่รู้จะตอบยังไง ได้แต่ถอนหายใจ ภรตถามย้ำ
       “ตกลงเค้าเป็นใคร บอกพี่ได้มั้ย”
       “เค้าชื่อสรวง อริยะวรรต ลูกชายของพลตรีอารักษ์ ค่ะ”
       ภรตตกใจรีบจอดรถทันที หันไปถาม “เค้ามาทำไม”
       “เค้าคิดว่ากาว สมคบกับแม่ ไปปอกลอกสมบัติเค้า”
       “ในเมื่อกาวไม่ได้ทำ ไม่เห็นต้องแคร์” ภรตบอกเชิงปลอบ
       “กาวก็ไม่ได้แคร์ค่ะ” กรรณนรีบอก
       “แต่สายตากาวบอกว่าแคร์” ภรตทักท้วง
       กรรณนรีซ่อนน้ำตา “กาวถูกตราหน้าตลอด ว่าลูกเมียเก็บ ลูกเมียน้อย กาวเป็นคนเลวร้าย ถึงจะบอกว่าไม่แคร์...แต่กาวเจ็บค่ะ”
      
       ภรตทอดสายตามองกรรณนรีด้วยความเห็นใจ
  กรรณนรีเดินเข้ามาในออฟฟิศ มะยมหันมาเห็นก็ถามขึ้นทันที
      
       “กาว...พี่จ๋าฝากถาม เรื่องสัมภาษณ์คุณสรวง”
       “ฉันสัมภาษณ์เค้าไม่ได้”
       นิคงง “อะไร โทร. คุยกันขนาดนี้ เค้าไม่ให้สัมเหรอ” นิคใช้สัมฯ แทนคำว่าสัมภาษณ์ ภาษานักข่าว
       “ฉันนี่แหละ ไม่อยากไป” กรรณนรีบอกอีก
       “ทำไมล่ะกาว เดี๋ยวพี่จ๋าก็โกรธหรอก” มะยมท้วง
       “ฉันเกลียดเค้า ฉันไม่อยากเห็นหน้าเค้า ต่อให้ฉันขอคุยกับเค้าดีๆ เค้าก็คงไม่คุยกับฉันอยู่ดี” กรรณนรีเดินเลี่ยงไป ด้านในเลยทันที
       นิคเกาหัวแกรกๆ “คราวก่อนก็คุณภาพิศ มันเรื่องอะไรวะ กาวถึงสัมภาษณ์คนในครอบครัวนี้ไม่ได้ ปกติ กาวกัดไม่ปล่อยนี่หว่า”
       “นั่นน่ะสิ...เอางี้...เดี๋ยวฉันจะขอสัมภาษณ์คุณสรวงเอง ก่อนพี่จ๋าจะมา” มะยมบอก
      
       ที่นพ คุยงานอยู่กับสรวง เห็นภาพแปลนงานวางอยู่ตรงหน้า
       “ปีนี้ไม่แน่ใจว่าน้ำจะท่วมหรือเปล่า ผมเลยออกแบบ สู้น้ำไว้เลย เผื่ออนาคตด้วย
       “ดี เรื่องผนังกั้นน้ำ เดี๋ยวเราคุยกับวิศวกรอีกที”
       เลขาเดินเข้ามา “คุณสรวงคะ..นักข่าวจาก สตาร์ อินเทรนด์ มาขบพบค่ะ”
       สรวงหน้าตึง เหตุการณ์ตอนกรรณนรีไปกับภรตแวบเข้ามา สรวงโกรธขึ้นมาทันทีทันควัน
       “บอกว่าฉันไม่ว่าง”
       นพท้วงเบาๆ “เฮ้ย! มีเรื่องอะไรไปคุยกันดีกว่า...นายเป็นผู้ชาย หลบหน้าพี่ว่าไม่ดี”
       สรวงเสียงเข้มพาล “ไม่ได้หลบ แต่ผมไม่อยากเจอ”
       “โอเคๆ เดี๋ยวพี่ออกไปเอง”
       นพเดินออกไปกับเลขา สรวงเงยหน้ามองด้วยความอยากรู้
      
       มะยม...ยืนหันหลังอยู่ นพเดินยิ้มอย่างเป็นมิตรเข้าไปหา พลางเอ่ยทักเสียงสุภาพ
       “สวัสดีครับคุณกรรณรี”
       มะยมหันไปมอง เบื้องแรกที่เห็นคือรอยยิ้มของนพ พอนพเห็นว่าไม่ใช่กรรณนรี ก็หน้าเจื่อน
       มะยมยิ้ม “ไม่ใช่กาวค่ะ ฉันชื่อมะยม”
      
       ในร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้ออฟฟิศ นพกับมะยมนั่งคุยกันตรงโต๊ะที่มุมหนึ่ง นพเอ่ยขึ้น
       “ปกติ...สรวงก็เป็นคนน่ารักนะครับ แต่กับคุณกาวผมไม่รู้เหมือนกัน ทำไมสรวงถึงเหมือนตั้งแง่ตลอดเวลา”
       “ยังไงรบกวนคุณนพด้วยนะคะ...เพราะถ้ากาวสัมภาษณ์คุณสรวงไม่ได้” พูด
       เวอร์ๆ ให้น่าสงสารเข้าไว้ “กาวถูกไล่ออกแน่ๆ เลยค่ะ”
       นพยิ้มใจดี “ยินดีครับ”
       “งั้นฉันไม่รบกวนแล้วค่ะ ขอบคุณคุณนพมากนะคะ” มะยมจะเดินไปจ่ายเงิน
       “คุณผู้ชายจ่ายแล้วครับ” พนักงานบอกมะยม
       มะยมหันมามองนพ นพยิ้มเยื้อนมาให้อย่างอบอุ่น และเป็นมิตร
       “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณมะยม”
       “เช่นกันค่ะคุณนพ” ยิ้ม เดินถอยหลังออกไป เป็นจังหวะเดียวกับมีลูกค้าเปิดประตูเข้ามา ชนมะยมจังๆ มะยมร้อง “โอ๊ย”
       “เจ็บมั้ยครับ”
       “ไม่ค่ะ...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
       มะยมหน้าเสีย อายเล็กๆ รีบเดินออกไป นพมองตามยิ้มขำอย่างเอ็นดู
      
       สรวงนั่งทำงานอยู่ พลางมองดูนาฬิกา เห็นว่าเย็นมากแล้ว
       “ทำไมพี่นพ คุยกับยัยนั่นนานจัง”
       สรวงเดินออกมาหน้าห้องทำงาน ถามหานพกับเลขา
       “พี่นพล่ะ ยังไม่กลับมาอีกเหรอ?”
       “คุณนพบอกว่า ไม่กลับเข้ามาแล้วค่ะ” หันไปทำงานต่อ
       สรวงหน้าหงิก บ่นเบาๆ “ไม่กลับเข้ามาแล้ว กรรณรีต้องพาพี่นพไปไหนต่อแน่ๆ ไวไฟเหมือนแม่ไม่มีผิด” ไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว “ฉันไม่ให้เธอทำลายครอบครัวพี่นพ เหมือนที่แม่เธอทำลายครอบครัวฉันแน่ กรรณรี”
      
       กรรณนรีนั่งทำงาน ปิดต้นบับอยู่ที่โต๊ะในออฟฟิศ พลางหาวหวอดๆ นิคมองมาพลางเอ่ยขึ้น
       “กาว..ง่วงก็กลับไปนอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกลับมาทำต่อก็ได้”
       “ไม่ได้ พรุ่งนี้ถ้าไม่ส่งงาน ถูกพี่จ๋าด่าแน่”
       นิคยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ “ฉันแอบได้ยินมาว่า พรุ่งนี้พี่จ๋ามีประชุมข้างนอก กว่าจะเข้าก็บ่ายโน่นแกกลับไปนอนก่อนเถอะ เช้าค่อยมา”
       “ก็ดีเหมือนกัน” กรรณนรีเผลอหลุดปาก “ไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว”
       “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? ช่วงนี้ฉันเห็นแกเครียดๆ ไปนะ” นิคถามอย่างเป็นห่วง
       กรรณนรียิ้มเศร้า “ไม่มีอะไร”
       “โอเค..ตอนนี้แกอาจจะไม่อยากพูด อยากบอกอะไร...ไว้ตอนไหน แกพร้อม...” กอดไหล่กรรณนรีแบบเพื่อน “นึกถึงฉันเป็นคนแรกแล้วกัน”
       “ขอบใจมากนิค ขอบใจจริงๆ”
       ระหว่างนั้นมะยมเดินเข้ามา เห็นนิคกอดกรรณนรี ก่อนที่กรรณนรีจะจับมือนิคออก แล้วเดิน
       ออกไป มะยมหน้าเศร้า อย่างไม่เข้าใจตัวเอง ก่อนพูดเบาๆ เชิงปลอบใจ
       “นิคกับกาว ก็แค่เพื่อนกันน่า...มะยม”
      
       กลางดึกคืนนั้น ขณะที่กรรณนรีเดินหาวหวอดๆ และกำลังจะเข้าบ้าน จู่ๆ สรวงเดินออกมาจากมุมมืด ทักยียวน
       “กลับมาซะดึกเลยนะ”
       “แล้วมันเรื่องอะไรของคุณ”
       “ใช่...ไม่ใช่เรื่องของฉัน...แต่ฉันจำเป็นต้อง เผือก” สรวงจงใจใช้ ‘เผือก’ แทน ‘เสือก’ ที่กำลังฮิต “เพราะเธอกำลังทำลายครอบครัวคนอื่น”
       กรรณนรีงง “ฉันทำลายครอบครัวใคร?”
       สรวงกระชากกรรณนรีเข้ามาหา “ก็คนที่เธอไปกับเค้าไง...รู้ไว้ด้วย พี่นพมีลูกมีเมียแล้วนอกซะจากเธอตั้งใจเป็นเมียน้อยเค้า เพราะเธอได้นิสัยแม่เธอ”
       กรรณนรีบันดาลโทสะตบเข้าที่หน้าเสียงดังเผียะ สรวงมองจ้องหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว
       “ฉันไม่ให้เธอทำลายครอบครัวคนอื่นเป็นอันขาด กรรณรี
       สรวงกระชากกรรณนรีเข้ามาจูบอีก จักจั่นเดินออกมาจากซอยเห็นสะดุ้งโหยง ป้าขาเม้าท์ขยี้ตามองอีก เห็นสรวงจูบกรรณนรีคาตา
       “บร๊ะเจ้า” ป้าจั๊กจั่นอุทาน
      
       กรรณนรีตบหน้าสรวงอย่างแรงพร้อมกับร้องไห้ออกมา จากนั้นก็วิ่งหนีเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว สรวงมองตามไม่รู้ตัวเลยว่าหึงกรรณนรีเข้าให้แล้ว
คืนนั้น พอกรรณนรีเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน ก็ทุ่มตัวลงบนเตียงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความคับแค้นใจ หญิงสาวกำมือแน่นทุบๆๆ ลงที่เตียงระบดระบายอารมณ์
      
       “ฉันเกลียดคุณ คุณสรวงเกลียดๆๆ” ทุบแล้วทุบอีก “ชาตินี้อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย”
       กรรณนรีทุบๆๆ มือที่กำทุบค้างไว้ นึกถึงวินาทีที่ถูกสรวงจูบขึ้นมาอีก กรรณนรีค่อยๆ เอามือ
       มาแตะที่ริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะเช็ดออกแรงๆ อย่างรังเกียจ ก่อนจะหยุด ใบหน้าสรวงลอยมา
       “คนบ้า! เมื่อไหร่จะไปให้พ้นจากหน้าฉันซักที”
       กรรณนรีเอามือแตะริมฝีปากค้างอยู่อย่างนั้น
      
       ทางด้านสรวงนั่งเอามือกุมขมับอยู่บนเตียงนอนในห้อง สีหน้าเครียดจัด เสียงของกรรณนรีดังก้อง
       “ฉันเกลียดคุณๆๆๆๆ”
       สรวงพ่นลมหายใจยาว เอามือลูบหน้าตัวเองท่าทีเครียดไม่หาย ตำหนิตัวเอง
       “ทำไมไม่เป็นสุภาพบุรุษอย่างนี้วะสรวง” สรวงเอามือออก ครุ่นคิด “โทร.ไปขอโทษดีกว่า”
       สรวงหยิบมือถือมา ทำท่าจะกด แล้วค้างเอาไว้ ถามใจตัวเอง
       “แล้วจะโทร.ไปบอกว่าอะไรล่ะ ขอโทษ..ไม่ได้ตั้งใจ...” สรวงครุ่นคิด “ไม่ใช่...เราตั้งใจ
       นี่หว่า” นึกแล้วนึกอีก “แต่ถ้าโทร.ไปบอก ขอโทษ..ผมตั้งใจ โอ” สรวงเอามือลูบผมอย่างสับสนและหนักใจ “คงถูกเค้าด่าว่าหื่น โทร.ไปยังไงก็ถูกด่าอยู่ดี เอาไงดีสรวง?” เครียดหนักกว่าเดิม “แล้วต่อไปจะสู้หน้าเค้าได้ยังไงเนี่ย”
       สีหน้าสรวงเครียดเคร่งสุดแสนจะหนักใจ
      
       คืนเดียวกันนั้น ประตูบ้านป้าตั๊กแตนถูกทุบปังๆๆๆๆ
       ป้าจักจั่นเรียกด้วย น้ำเสียงตื่นเต้น “ป้าตั๊กแตนๆ”
       ป้าตั๊กแตนเปิดประตูในอาการงัวเงียออกมา “อะไร...มาเคาะประตูอะไรดึกดื่นป่านนี้?”
       “มีเรื่องเด็ด” ป้าจักจั่นยิ้มกริ่มบอก
       ป้าตั๊กแตนตาเหลือก “มีเลขเด็ด”
       ป้าจักจั่นหน้ามุ่ย “เรื่องเด็ด”
       “บ๊ะ! ไอ้ฉันก็นึกว่ามีเลขเด็ด”
       ป้าจักจั่นยิ้ม พูดเป็นนัย “ป้าตั๊กแตนฟังเรื่องนี้ แล้วจะไปตีเป็นเลขเด็ดก็ได้”
       ป้าจักจั่นยกสองมือไขว้กัน เอานิ้วชี้สองนิ้วมาเกี่ยวกัน
       “อะไรวะฉันแปลไม่ออก? เกี่ยว เป็นเลขแปด” ป้าตั๊กแตนเริ่มตีเลข
       จักจั่นเซ็ง “เฮ้อ! เล่าเลยดีกว่า ไอ้หนุ่มหน้ามลคนหล่อ ที่มาบ้านพ่อเกริกเมื่อวันนั้นจูบกาว”
       ป้าตั๊กแตนตาเหลือก “หา!ไอ้หนุ่มหน้ามล คนหล่อ จูบกาว” ทำท่าคิด “จูบกาวก็ต้องเจ็ดก้าว” พร้อมกับเอามือเกี่ยวกันเหมือนป้าจักจั่นล้อๆ “สองคนนัวเนีย ก็ต้อง...”
       “สองเจ็ดก้าว” สองป้าประสานเสียงหัวเราะดังสนั่น
       ป้าตั๊กแตนพูดอย่างมาดหมาย “เต็งโต๊ด ขึ้นลง ไม่มีพลาด 5555”
      
       เวลาเดียวกันกรรณนรีเดินออกมาที่หน้าบ้าน ยังอยู่ในอาการเศร้าเสียใจ
       สรวงเองก็ออกมาเดินที่สนามหน้าบ้านอาการเดียวกัน
       กรรณนรียกมือแตะริมฝีปากตัวเองแผ่วเบา ขณะที่สรวงก็เผลอเอามือจับริมฝีปากตัวเองเหมือนกัน
       กรรณนรีเดินอยู่ จู่ๆ ใบหน้าสรวงลอยอยู่ตรงหน้า กรรณนรีตกใจ
       “อะไรเนี่ย?” กรรณนรีมองหนีไปที่อื่น หรือที่ไหน ก็ยังเห็นหน้าสรวงยิ้มอยู่เหมือนเดิม กรรณนรีอ่อนใจ
       เช่นเดียวกับสรวง เดินๆ อยู่ ใบหน้ากรรณนรีก็ลอยมา สรวงหลบไปทางอื่นก็ยังเห็นใบหน้าบึ้งตึงของกรรณนรีมองมาอย่างโกรธขึ้ง
       “เธอคงจะโกรธฉันมากกรรณรี” สรวงรำพึง
       กรรณนรีพึมพำ “ฉันจะไปคิดถึงคุณทำไม? คุณสรวง”
       สองคนสุดแสนจะกลัดกลุ้มไม่ต่างกันเลย
      
       ส่วนทางด้านภาพิศนั่งรออย่างกระวนกระวาย สีหน้าเครียดเคร่งอย่างเห็นได้ชัด
       “ทำไมป่านนี้ท่านยังไม่มาอีก?”
       นึกถึงเสียงสุขฤทัยที่ปลอมเป็นเด็กสาวโทร.มาป่วน ภาพิศชักสีหน้า
       “อย่าบอกนะว่าท่านอยู่กับเด็กคนนั้น” ภาพิศโกรธ ทำท่าจะอาละวาด แต่ข่มอารมณ์ได้ เตือนตัวเอง “ อย่าใช้อารมณ์ภาพิศ” พลางสูดลมหายใจแล้วโทร.ออก ทว่าปลายสายปิดเครื่องติดต่อไม่ได้ “ท่านปิดโทรศัพท์ หมายความว่ายังไง”
       ภาพิศใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกไม่ค่อยดี
      
       เช้าวันต่อมา ที่รีสอร์ตแห่งนั้น อารักษ์เดินไปเรื่อยๆ ท่าทางครุ่นคิด นึกถึงเรื่องที่รับปากภาพิศจะจัดการกับคุณหญิงสุดา ไม่ให้มีเรื่องเกิดกับภาพิศอีก พร้อมๆ กับเหตุการณ์ที่ถูกสุดาด่า
       อารักษ์ถอนใจพึมพำเบาๆ
       “ผมไม่เคยคิดเลิกกับคุณหญิง แต่เมื่อเรื่องมันบานปลายมาถึงตอนนี้...มันคงต้องจบเสียที”
       อารักษ์ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
      
       สุดานั่งอยู่ในห้อง กำโทรศัพท์มือถือแน่น หน้าตาไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน เสียงสมหญิงมารดาสุขฤทัยดังก้อง
       “คุณหญิงต้องใจเย็นๆ ค่ะ ความในอย่าให้ออก ความนอกอย่าเอาเข้า ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อน นังภาพิศมันทำได้ คุณหญิงก็ต้องทำได้สิคะ”
       “ขอบคุณคุณสมหญิงมากค่ะที่ให้สติ” สุดาลดสายตาลง แต่ดูออกว่าดวงตาคู่นั้นเหนื่อยล้ามากๆ
      
       เช้าเดียวกันนั้นพลตรีอารักษ์เดินเข้ามาในบ้าน เหมือนคนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว สุดาเดินออกมาพอดี สองคนมองหน้ากัน สุดาพยายามข่มความเสียใจถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
       “ทานอะไรมาหรือยังคะ”
       อารักษ์นิ่ง สุดาไม่เคยเป็นคนแบบนี้ สุดาฝืนยิ้ม
       “ถ้ายัง...งั้นฉันจะให้เด็กจัดให้” เรียกสาวใช้ “พรรณี”
       อารักษ์ร้องห้าม “ไม่ต้อง....ผมมาเก็บของเดี๋ยวเดียว”
       สุดากับอารักษ์มองหน้ากัน สุดามีสีหน้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาไหลริน ถามเสียงเครือสั่น
      
       “เราจะเลิกกันจริงๆหรือคะ”
 จังหวะนั้น สรวงเดินลงบันไดมาจากด้านบน เห็นเหตุการณ์ ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ใจคอไม่ดีนัก เมื่อเห็นผู้เป็นมารดาร่ำไห้ออกมาอย่างแสนเสียใจ
      
       “อย่าไปจากฉัน อย่าไปจากลูกได้มั้ยคะ? ฉันขอโทษ...ที่ผ่านมา ฉันทำตัวไม่ดี ฉันไม่เคยใส่ใจ ฉันไม่เคยให้เกียรติคุณ...แต่ฉันขอโอกาส ฉันขอโอกาสในการทำตัวใหม่....ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ มีคุณจริงๆค่ะ” สุดาเดินเข้าไปกอดอารักษ์
       อารักษ์ลำบากใจ เหมือนจะดันสุดาออก “คุณหญิง”
       ทว่าสุดากอดอารักษ์ไว้แน่น
       “อย่าไปจากฉันเลยนะคะ....คุณจะเอายังไงก็ได้...” แววตาแสนชอกช้ำขมขื่น และไม่ยอม! “คุณจะมีภาพิศก็ได้” สุดากัดฟันพูด”คุณจะมีผู้หญิงเป็นสิบเป็นร้อยคนก็ได้ ฉันขอร้อง อย่าไปจากฉันก็พอ”
       เจอไม้นี้อารักษ์ก็ใจอ่อน “อย่าร้องไห้...โอเคๆ ผมจะไม่ไปจากคุณ....เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก”
       “ขอบคุณค่ะขอบคุณ”
       อารักษ์เอามือแตะหลังของสุดาเบาๆ สรวงมองภาพตรงหน้าอย่างโล่งใจ จังหวะนั้นแววตาสุดาวาวโรจน์แบบไม่ยอม
      
       สุดาเปิดประตูเข้ามาในห้อง ท่าทีผู้แพ้เมื่อครู่ ไม่เหลือเค้าสักนิด ดวงตาของสุดากร้าว ขณะจับกรอบรูปของอารักษ์ขึ้นมาดู
       “คุณคงไม่รู้หรอกคุณอารักษ์ ฉันเจ็บจนใจฉันตายไปแล้ว ที่เหลือมันเป็นเกม ซึ่งฉันจะแพ้นังภาพิศไม่ได้”
       สุดากระแทกรูปอารักษ์ลงกับโต๊ะ ดวงตาเจ็บช้ำ ไม่เหลืออีกแล้วความรัก
      
       ภาพิศแต่งตัวอยู่หน้ากระจก สีหน้าแววตาหมองหม่น แต่ภาพิศลงเครื่องสำอางเอาไว้
       “อย่าให้ใครรู้ ว่าเรามีปัญหา” ภาพิศแต่งหน้าพร้อมกับเตือนตัวเอง ระหว่างนั้นเสียงมือถือดัง ขึ้น ภาพิศดูชื่อรีบกดรับ ยิ้มอย่างดีใจ “คุณพี่จะทานอะไรดีคะ ภาจะได้จัดไว้ให้”
       อารักษ์อยู่ที่คฤหาสน์บอกต่อ “เปล่า...พี่ไม่ได้เข้าไป”
       ภาพิศหน้าเจื่อน พยายามคุมอารมณ์ “แล้วคุณพี่โทร.มา มีอะไรหรือคะ จะให้ภาไปเจอที่ไหน”
       “เปล่า...พี่โทร.มาบอกว่า ช่วงนี้อาจจะไม่ได้เข้าไปหาภา ถ้าภาอยากไปเที่ยวที่ไหน บอกมา เดี๋ยวพี่จัดการให้”
       มือของภาพิศกำโทรศัพท์แน่น ดวงตาเป็นประกายหน้าเข้มเคร่ง รีบปรับสีหน้าน้ำเสียง
       “ไม่เป็นไรค่ะ... ช่วงนี้ภาเองก็ยุ่งเหมือนกัน คุณพี่ทำธุระตามสบายเถอะนะคะ ไม่ต้องห่วง....ภามีคุณแฉล้มเป็นเพื่อนค่ะ”
       ปากยิ้มใบหน้าแย้มบาน แต่แววตาของภาพิศวาวโรจน์
       ขณะที่ด้านหลังนายพลอารักษ์ สุดายิ้มพอใจ
      
       ไม่นานนัก ภาพิศเดินตรวจดูเพชรในร้านด้วยท่วงท่าปกติ สบายๆ แฉล้มซะอีกที่หน้ามุ่ย
       “โถๆๆๆ ท่านมาไม้นี้แล้วคุณจะทำยังไงคะ?”
       “ไม่ทำยังไงค่ะ” ภาพิศบอก
       “คุณไม่รู้สึกอะไรเหรอ?”
       ภาพิศยิ้มเครียด “รู้สึก แต่ทำไมต้องแสดงออก” มองหน้าแฉล้มขณะพูดประโยคต่อมา “จริงๆคุณน่าจะรู้ดีมากกว่าฉันนะคะ ถ้าเราอยู่เฉยๆ เค้าจะกระวนกระวาย วิ่งมาหาเราเองยิ่งเราตาม เค้าก็ยิ่งหนี”
       “เหมือนที่คุณหญิงสุดา ทำกับท่าน” แฉล้มฉอเลาะ
       “ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงให้ผู้หญิงทำตัวมีอำนาจเหนือกว่าหรอกค่ะ ถึงฉันจะไม่พอใจ ฉันก็ต้องข่มเอาไว้ ในเมื่อเสน่ห์ของผู้หญิงคือความอ่อนแอน่าสงสาร”
       “อย่างที่คุณกำลังทำอยู่” แฉล้มยิ้มกริ่ม “คุณเหนือชั้นกว่าบ้านใหญ่อีกตามเคย
       ระหว่างนั้นสุดาเดินผ่านหน้าร้านเพชรกับสุขฤทัย หยุดยืนแล้วหันมายิ้มเหยียดๆ ภาพิศมองตอบพลางยิ้มเย้ย
       “บ้านใหญ่ก็เป็นได้แค่หมาวิ่งไล่งับเงาตัวเองเท่านั้นล่ะค่ะ วิ่งเท่าไรก็ตามไม่ทัน”
      
       ที่ห้างสรรพสินค้าเวลานั้น สุดาเดินมากับสุขฤทัย ท่าทางของสุดาดีขึ้น สุขฤทัยจีบปากประจบ
       “ถูกแล้วล่ะค่ะที่คุณหญิงแม่ เดินหมากอย่างนี้ อย่างน้อย ก็ได้รู้เอาเข้าจริงคุณพ่อท่านก็ยังรักคุณหญิงแม่อยู่”
       สุดายิ้ม “มารยาเนี่ย นานๆทำก็สนุกดีเหมือนกัน”
       “ไม่ใช่แค่สนุกค่ะ ชนะด้วย กว่านังภาพิศมันจะรู้ตัว มันก็กลายเป็นคนที่ถูกทิ้งไปแล้ว มันจะได้รู้ซะบ้าง ว่ามันไม่ได้มารยาเป็นคนเดียว”
       สุขฤทัยยิ้มย่อง
      
       สรวงนั่งทำงานอยู่ในห้อง แต่ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย จนต้องลุกขึ้นมาเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง
       “ปัญหาของคุณพ่อคุณแม่ออกจะหนักหน่วง ท่านยังผ่านมันไปได้ แล้วเรื่องเราเล็กน้อยจะตาย จะป๊อดไปทำไมสรวง” มองมือถือ “แต่เธอก็น่ากลัวเหมือนกัน...ฉันจะทำยังไงกับเธอดี กรรณนรี” สรวงได้แต่ครุ่นคิด ก่อนจะนึกพาล “แต่มันก็เป็นความผิดของเธอแหละ เธออยากไปยุ่งกับคนมีครอบครัวทำไม?”
      
       ส่วนกรรณนรีเดินเข้ามาในออฟฟิศ ท่าทางโรยๆ มะยมถามตามประสา
       “เมื่อคืนทำไรมา หน้าตาเหมือนกับไม่ได้หลับได้นอน”
       นิคแซว “แอบไปเดทกับผู้ชายมาล่ะซี้”
       กรรณนรีหน้าร้อนผ่าว “พูดบ้าๆ ทำงานย่ะ”
       นิคยั่วไปงั้นๆ “ทำงานแล้วทำไมปากแดง แก้มแดง”
       มะยมผสมโรงมองจ้องอย่างจับผิด “ดูปากบวมจริงๆด้วย”
       นิคพลอยพยักเพยิด “เออใช่! บวมจริงๆ นังเจ๊ ไปฉีดฟิลเลอร์มาแหงๆ”
       มะยมมองจ้องอีก “หมอที่ไหนทำให้เนี่ย ปากบนดูบวมกว่าปากล่าง แกต้องไปให้หมอเติมให้ใหม่นะกาว ปากแกจะได้อวบอิ่มเท่ากัน”
       กรรณนรีเจอรุมจนเสียเซ้ลฟ์ จับปากตัวเอง “บ้า!ฉันไม่ได้ทำอะไรย่ะ ก็บอกแล้วทำงานๆๆ”
       จ๋าเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี “ดี! ทำงาน ไหนเอางานมาดูซิ” แบมือทวงต้นฉบับ
       กรรณนรีหน้าจ๋อย “ยังไม่เสร็จค่ะ”
       “หมู่นี้กาวเป็นยังงี้ทุกที ไรเนี่ย? รีบเขียนให้เสร็จเร็วๆ พี่อยากอ่านแล้ว” พูดจบจ๋าก็เดินออกไป
       “จะเขียนได้ยังไง? ยังไม่ได้สัมภาษณ์ซักคำ มีแต่...” เผลอจับปากตัวเอง
       นิคยื่นหน้าเข้ามามองเหล่ “คุณสรวงทำอะไรแก”
       กรรณนรีเหวอ...ปฏิเสธเสียงสูง “เปล๊า...”
       “คุณสรวงยังไม่ให้แกสัมภาษณ์อีกเหรอ” มะยมถาม ขณะที่กรรณนรีนั่งนิ่ง อาการเครียดๆ “ โอเค...เดี๋ยวฉันตามต่อให้เอง” เดินไปที่โต๊ะพูดพึมพำ “คุณนพ”
      
source: manager.co.th  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น