วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

อ่านละครสื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 6

หาญ กล้า สมุน วิ่งเข้ามา ตุ้บๆๆๆ มาหยุดหอบแฮ่กๆๆในสำนักหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดมีอีกาเกาะมือ กำลังให้อาหารกาป้อนทีละคำ กาจิกกินอย่างเอร็ดอร่อย
      
       “พวกแกหนีใครมา...หรือว่ามีใครเห็นตอนพวกแกวางเพลิง...หา”
       “ปละ...เปล่าๆๆๆครับ มือชั้นนี้ จะมีใครเห็นได้”
       “แต่เผาไปๆ ใจมันก็อดหายไม่ได้ครับ ตลาดหญิงจำเริญ มันคืออู่ข้าวอู่น้ำของพวกเรา...ไม่ใช่เหรอครับ”
       “ก็แค่เผาเป็นส่วนๆ จิ๊บๆ คนเดือดร้อนไม่ถึงร้อยหรอกน่ะ เดี๋ยวพวกมันก็ดับทัน แถมพวกตลาดมันมีประกันด้วย มันก็จะได้ตังค์ชดเชยเยียวยากันไป”
       หมอผีสมคิดส่งกาเข้ากรง
       “แล้วอาจารย์จะเผาหา...เอ๊ย...เผาให้มันเกิดอะไรขึ้นมาครับ”
       “ไอ้โง่! เรื่องนี้จะทำให้นังเจ๊หญิงร้อนใจไง หมู่นี้ดูพวกมันชักจะชิลด์ๆ กันเกินไปแล้ว...เกิดเคราะห์หามยามร้ายขึ้นมากระทันหันแบบนี้ เดี๋ยวมันก็จะรีบมาเช็คดวง...ทีนี้ละ...ฉันจะปั่นหัวมันให้มันไปขโมยพระที่ ห้อยคอผัวกับลูกของมันออกให้หมด แล้วให้ผีไปเล่นมันให้หนัก คราวนี้แหละ มันจะหันมาซื้อเครื่องรางของเรา...แหม...อุตส่าห์ปั้นมากะมือตั้งหลายอัน ขายแค่อันละล้าน...เพิ่งขายออกไป 3 อันเอง...เซ็งเป็ดว่ะ”
       “แหม...อาจารย์นี่ฉลาดล้ำเลิศ ขี่ตั๊กแตนจับช้างชัดๆๆ ฮ่ะๆๆ”
       ทั้งหมดหัวเราะกัน
       ที่ตลาดหญิงจำเริญรถดับเพลิงกำลังดับเพลิงอยู่ เริ่มจะควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว ไตรรัตน์กอดคอณัฐเดชยืนกระซิบร้อนใจมากๆ
       “เฮ้ยๆฟังก่อนซีวะ ฉันสาบานได้ ว่าฉันไม่ได้ทำอะไรยัยนั่น แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้แต่พอยัยนั่นตื่นขึ้นมาก็ตามฆ่าฉัน หาว่าฉันไปกระทำชำเราเจ้าหล่อน”
       “ก็แล้วแกทำหรือเปล่าวะ เป็นลูกผู้ชาย ทำอะไรก็ต้องยอมรับซีวะ”
       “เอ๊ะไอ้นี่...อีกคนนึงแระ...ก็บอกว่าไม่ได้ทำๆ แค่มองเฉยๆ”
       “ไอ้ไตร”
       “อึ๋ย! แค่มองแว๊บๆ ไม่ได้จงใจ หุ่นยังกับไม้กระดานแบบนั้น ฉันไม่สนใจหรอก แกเป็นพี่ของเพื่อนเค้า แกช่วยเคลียร์ให้หน่อยสิ”
       แล้วไตรรัตน์ก็ต้องช็อคเมื่อได้ยินเสียงเจ๊หญิงทักขึ้น
       “อ้าวหนูรสมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยะ?”
       ไตรรัตน์กับณัฐเดชหันไปดู...เห็นเจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญเดินเข้าไปหากลุ่มสุคนธรสที่เผอิญเดินมาเจอกันเข้า
       สีหน้าสุคนธรสก็ไม่สู้ดี แต่พยายามฝืนยิ้มยกมือไหว้
       “เอ่อ...สวัสดีค่ะ ครอบครัวเจ๊กับเสี่ยเป็นอะไรรึปล่าวคะ?”
       “ขอบใจจ้ะที่เป็นห่วง พวกเจ๊ไม่เป็นอะไรหรอก แค่ตลาดเสียหายแล้วก็ขวัญหนีดีฝ่อ”
       “แล้วหนูล่ะ เมื่อคืนไปกินข้าวกับอาตี๋ของเสี่ย เป็นไงบ้าง เล่าให้เสี่ยฟังหน่อยสิหึๆๆ”
       “เมื่อคืนเหรอคะ...เมื่อคืน...”
       สุคนธรสมีอาการควันออกหูทันที ไตรรัตน์เห็นอย่างนั้น กลัวสุคนธรสจะฟ้องพ่อแม่เลยรีบเดินปรี่เข้าไป
       “หยุดๆๆๆ...หยุดพูดเดี๋ยวนี้ สุคนธรส” ไตรรัตน์เข้ามาปิดปากสุคนธรส “ไม่จริงครับ...พ่อ แม่...ไม่จริง ผมสาบานได้”
       “อะไรไม่จริงวะ ไอ้ตี๋”
       “นั่นแน่ะๆๆ อะไรกัน งุบงิบๆ ซุบซิบกันสองคน”
       สุคนธรสดึงมือไตรรัตน์ออก
       “นี่คิดจะเอาตัวรอดเหรอ อย่าหวังเลย นายตายแน่ ไอ้มารสังคม มานี่เลย”
       สุคนธรสกระชากคอเสื้อพาไตรรัตน์เดินไป
       “เฮ้ย...เบาๆ”
       ทำเอาเจ๊หญิง เสี่ยจำเริญและชาวบ้านที่เห็นตกอกตกใจสนใจว่ามีเรื่องอะไรกัน
       “ตายแล้ว...2 คนนั่น ทำไมรุนแรงกันอย่างนั้นล่ะ?”
       “เหมือนเสื้อผ้าขาดๆ ด้วยนะ”
       พวกกรรัมภา เนตรสิตางศุ์ ก๊องได้แต่มองหน้ากันอ้ำอึ้ง แต่กรรณาไม่เงียบ
       “ก็ลูกชายของเจ๊น่ะสิ ทำมิดีมิร้าย...”
       “ยัยกรร...ให้สองคนนั่นเคลียร์กันเองดีกว่าน่า”
       ณัฐเดชตามมาเบรกไว้ทัน กรรณาหยุดพูดอย่างขัดใจ
      
       สุคนธรสดึงคอเสื้อพาไตรรัตน์เดินมา
       “จะลากผมไปในกองไฟเลยไหม”
       “อย่างนายต้องพาไปนรกอย่างเดียว ไอ้โจรล่าพรหมจรรย์”
       ไตรรัตน์กระชากมือสุคนธรสออกจากคอเสื้อ
       “โว้ย! ช่างสรรหาคำมาด่าจริงๆ ผมไม่ได้ทำอะไรคุณนะ คุณเข้าใจผิด ผมเล่าให้ไอ้ณัฐฟังหมดแล้ว”
       “หา...กินในที่ลับ แล้วไขในที่แจ้งเหรอ...ไอ้เลวเฮ้ย”
       สุคนธรสโกรธลืมตัวปล่อยหมัดเข้าเต็มตาไตรรัตน์ จนลมคว่ำลงไปกับพื้น สุคนธรสลงไปคร่อมร่างไตรรัตน์มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อไตรรัตน์ อีกข้างกำหมัดเงื้อพร้อมจะต่อย
       “นี่นายคงจะไปคุยโขมงให้พี่ณัฐฟังว่าได้ฉันเป็นเมียแล้วสิ ฉันจะฆ่านาย...ฉันจะฆ่านาย”
       สุคนธรสโวยลั่นพร้อมสาวหมัดใส่ไตรรัตน์ไม่ยั้ง ขณะที่ไตรรัตน์ก็ยกแขนป้องตัวเอง
       “เฮ้ย...ยัยนี่บ้าเลือดไปแล้ว...ผมเจ็บนะ...หยุด...ผมบอกให้หยุด”
       ไตรรัตน์พูดพลางใช้สองมือจับแขนทั้งสองข้างของสุคนธรสไว้
       “ไม่หยุด...ผมปล้ำคุณตรงนี้จริงๆ ซะดีมั้ย”
       ไตรรัตน์ใช้พลังกำลังที่เหนือกว่าพลิกขึ้นคร่อม
       “อ๊าย...ไอ้บ้ากาม...เมื่อคืนยังไม่พออีกเหรอ”
       ณัฐเดชรีบวิ่งเข้ามาห้าม
       “หยุด...พอที...ไอ้ไตร...ยัยรส พี่บอกให้หยุด!”
       ทั้งสองเอะอะโวยวายกัดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่กลางตลาด เสียงผู้คนฮือฮา เปลี่ยนมาสนใจทั้งคู่แทนไฟที่กำลังไหม้
       “ว้ายคุณพระช่วย...”
       “ไม่ไหวแล้ว...อาตี๋ของเรานี่มันน่าอายจริงๆ แบบนี้พ่อแม่จะเอาหน้าไปไว้ไหนกันล่ะเว้ย”
       ทั้งสองหยุด...เงยหน้าขึ้นมอง เห็นทุกคนรวมทั้งไทยมุงมายืนดูอยู่เต็มก็ตกใจ สุคนธรสช็อคมองไปที่หน้าทุกคน รีบผลักไตรรัตน์ผงะออกจากตัวไป ลุกขึ้นเข้ามาหาพวกเนตรสิตางศุ์
       “นี่...พวกแก...มีใครได้ยินเรื่องที่ฉันคุยกับนายไตรไหม?”
       “เค้ารู้กันทั้งตลาดแล้วย่ะ”
       “ว่าแก...กะนายไตร”
       “เมื่อคืน...ก็ยังไม่พอ”
       “แปลว่าอะไร...อะไรไม่พอเหรอ...”
       “หา!”
       สุคนธรสอ้าปากค้าง
       “ไม่หาล่ะ...บอกให้หยุดไม่หยุดไง...นี่ล่ะผลลัพธ์ของการใช้อารมณ์มากกว่าสมอง”
       สุคนธรสจ๋อยสนิท”””เผี๊ยะ! เสี่ยจำเริญเบิร์ดกะบาลไตรรัตน์
       “โอ๊ย!”
       “ลื้อรังแกผู้หญิงเหรอ ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน”
       เจ๊หญิงฟาดพัดใส่สามีจนสะดุ้ง
       “เธอว่าชั้นเหรอ”
       “ปล่าวๆ ปากมันพาไป”
       “อ๋อ...นี่ลูกไม่กลับบ้านเมื่อคืนเพราะอย่างนี้เหรอ” เจ๊หญิงพูดกับไตรรัตน์
       “โว้ย...โดนทั้งขึ้นทั้งล่องเลย ซวยเพราะยัยนี่แท้ๆ เชียว”
       ไตรรัตน์พึมพำมองไปที่สุคนธรสที่ยืนพึมพำอย่างสยดสยองๆ
       “ฮือ...ชื่อเสียงฉันป่นปี้หมดแล้ว”
      
       สุคนธรสดึงหน้ากากปิดปากขึ้นมาใส่เพื่ออำพรางใบหน้าของตนเอง
 เย็นวันเดียวกันนั้นที่รีสอร์ทติณห์ อาหารเต็มสำรับวางอยู่ตรงหน้า ทว่าญาณินนั่งกอดอกไม่แล ทนายสมชาติสบตาป้าอรวรรณอย่างไม่สบายใจ
      
       “คุณหนูไม่รับข้าวเย็นสักนิดเหรอคะ”
       “ไม่...”
       “คุณญาณิน ไปพักเถอะครับ...ผมจะบอกคุณติณห์ให้...คุยกันพรุ่งนี้ดีกว่า จะได้ใจเย็นๆ กันทั้งสองฝ่าย”
       ติณห์เดินเข้ามา ถือแก้วกาแฟจิบมาด้วย
       “ว่าไง...ญาณิน ผมให้เวลาคุณทบทวนความผิดหลายชั่วโมงแล้วนะ จะสารรูปได้หรือยัง”
       “สารภาพครับ”
       “นั่นแหละ สารภาพ...คุณหาอะไรกันแน่ คิดว่าแกรนด์ปาซ่อนอะไรไว้ เงิน ทอง ลายแทง แผนที่...”
       “ไม่ใช่ๆๆ ชั้นจะไปอยากได้ของพวกนั้นทำไม”
       ติณห์มองทนายสมชาติ ป้าอรวรรณ แล้วกระแอมเบาๆ
       “เชิญคุณป้าออและคุณทนายออกไปก่อนครับ ผมอยากอยู่กะญาณิน...ตามลำพัง”
       ญาณินลุกพรวด
       “ไม่ ชั้นไม่อยู่ ป้าออ...ทนายสมชาติ อย่าไปคะ อย่าไป๊”
       เพ็ญนภาเข้ามาอีกคน
       “อะไรคะ เอะอะอะไรกันอีก ติณห์ ส่งตัวชีให้กำนันพงษ์เถอะ”
       “เฮ้อ ทุกคนครับ ผมขอร้อง ผมต้องการสอบสวนญาณิน...ตามลำพัง ทุกคน ออกไป”
       “คุณไล่เพนนีเหรอ ติณห์”
       “เพนนี คุณกลับไปก่อน”
       “ไม่คะ เพนนีไม่ไป”
       “คุณไม่ไป...ทุกคนไม่ไป...ผมไปเอง...ยู Come on!”
       ติณห์คว้าแขนญาณินดึงเธอออกไป ทำเอาญาณินตกใจเหว๋อ
       “อุ้ย!”
       “ว้ายๆ...จะพาคุณหนูของฉันไปไหนน่ะ”
       “ติณห์”
       ติณห์หันขวับมา
       “ห้ามใครตามมาเด็ดขาด ไม่งั้นเรื่องมี”
       ทุกคนหยุดกึก
       “...มีเรื่องต่างหาก”
       “นั้นแหละ”
       “อึ๋ย”
       ว่าแล้วติณห์ก็ดึงมือญาณินเดินออกไป เพ็ญนภายืนกำมือแทบกรี๊ด
      
       ที่ใต้ต้นไม้ว่างๆ มีเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ ดังก้อง วิญญาณกุมาริกาค่อยๆ ปรากฏขึ้นกำลังกระโดดเชือกเล่นสนุกสนาน โดยที่ปลายเชือกทั้งสองด้านเหวี่ยงไกวเอง ไม่มีใครเหวี่ยงให้ ติณห์จูงมือญาณินผ่านมา ญาณินแทบละลายกับมืออุ่นๆ ที่จับข้อมือเธอออยู่
       “เอ่อ...ฉะ...ฉันเดินเองได้ คุณไม่ต้องลากจูงฉันหรอก ฉันไม่ใช่หมาพุดเดิ้น ปล่อย”
       “หื๊อ? มีเรื่องแว้ว”
       กุมาริกาหยุดกระโดด ยืนมอง เชือกก็หยุดเหวี่ยง ร่วงตกลงกับพื้นทันที
       “ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง Tell me the truth!คุณจะเอาสมุดบัญชีของแกรนด์ปาผมไปทำอะไร?”
       “ฉันก็จะให้โอกาสคุณฟังอีกครั้งเหมือนกัน ฉันอยากหาพยานบุคคลมายืนยันความบริสุทธิ์ของคุณหลวงว่าไม่ได้โกงแผ่นดินจน ฆ่าตัวตายหนีความผิด”
       “พยานที่ไหน...Who? what? Where? When? Why? how?”
       “ฉันเจอชื่อนายสังข์กับนายเกิดในสมุดบัญชี ทนายสมชาติบอกว่าเป็นมือขวากับมือซ้ายของคุณตาคุณตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เราน่าจะเริ่มสืบสาเหตุการตายจากคนสนิทสองคนนี้.....หรือคนที่ยังมีชีวิต อยู่นอกจากตาพุ่ม”
       ขณะที่ญาณินกำลังอธิบาย ทันใดนั้นร่างจางๆ ของหลวงพิชัยภักดีก็ปรากฏขึ้นข้างๆ กุมาริกา
       “ไอ้สังข์...ไอ้เกิด...ทาสที่ซื่อสัตย์ของฉัน ฉันลืมมันไปเสียสนิท”
       กุมาริกาหันมามอง
       “แก่แล้ว ความจำเลอะเลือน มิน่าตัวเองตายยังไง ถึงไม่รู้”
       “แล้วเธอรู้เหรอ ว่าเธอตายยังไง”
       “แฮ่...ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ”
       หลวงพิชัยภักดีจิ้มหัวกุมาริกา
       “หึ ยัยเด็กความจำเสื่อม”
       สิ้นคำหลวงพิชัยภักดี ก็มีอีกาบินผ่านมาบริเวณนั้นหลายตัว หลวงพิชัยภักดีเงยมองเริ่มรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ
       แล้วเสียงโวยวายของติณห์ก็ดังขัดขึ้น
       “นายสังข์ทองนายเกิดอะไรของคุณ คุณมีหน้าที่สร้างรีสอร์ทผมก็ทำไป อย่ามายุ่งเรื่องแกรนปาผม เข้าใจไหม”
       “ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องคุณหรอก แต่คุณหลวงขอร้องฉัน”
       “stop เรื่องพูดกับแกรนด์ปาซะที คุณบ้า...คุณเครซี่...ผมชักจะทนคุณไม่ไหวแล้วนะ เดี๋ยวก็อดใจไม่ไหว”
       ติณห์ทำท่าเดินเข้าหาญาณิน ญาณินใจหายวาบ ก้าวถอยหลัง
       “คะๆๆคุณจะทำอะไรฉัน อย่าเข้ามานะ ช่วยด้วย”
       “คุณจะตะโกนทำไม...เดี๋ยวทุกคนก็เข้าใจผิดว่าผมปล้ำคุณหรอก ผมบอกให้หยุด”
       ติณห์เข้าไปจับตัวญาณิณ มืออุดปาก ญาณินแทบละลาย ออกแรงดันอกติณห์ผงะออก แล้ววิ่งหนีไป
       “คูณจะวิ่งไปไหน...เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องnow! เฮ้...ยู Come back!”
       ติณห์ฉุน รีบวิ่งตามไป ไม่ได้สังเกตว่าบริเวณโดยรอบมีอีกาเกาะเต็มไปหมด
       “ฮิๆๆ เค้าวิ่งไล่จับกันแล้ว หนุกจังเลย ไปคุณตา...เราตามไปวิ่งเล่นกับเค้าเร็ว”
       กุมาริกาจูงมือหลวงพิชัยภักดี ดึงจะพาไป แต่หลวงพิชัยภักดียืนสีหน้าตระหนกตกใจรู้สึกถึงสิ่งผิดปรกติ
       “อย่าเพิ่งนังหนู! เธอได้ยินเสียงนั่นไหม๊?”
       กุมาริกานิ่งฟังเสียงเหมือนกองทัพม้ากำลังควบมาเป็นกองทัพมาแต่ไกล พร้อมบรรยากาศรอบตัวที่สดใสเปลี่ยนเป็นไปมืดทึบลง เกิดลมม้วนตัวพัดแรงไปทั่ว กุมาริกาตกใจ
       “แย่แล้วคุณตา”
       “หนูไปบอกแม่ญาณินให้พาไอ้ติณห์กลับมาเดี๋ยวนี้”
       “ค่ะ”
       
       กุมาริกาหายวับไปทันตา
ที่สำนักหมอผีสมคิดเวลานั้น หมอผีสมคิดกำลังนั่งพนมมือปากท่องคาถาพะงึมพะงำทำพิธีไสยศาสตร์ใหญ่ มีหีบโลหะขนาดเล็กที่ใส่ควายธนูเหล็กวางอยู่บนถาดโลหะตรงหน้า...เปลวเทียน กลุ่มใหญ่หลายสิบเล่มโบกวูบไปมาราวกับในห้องมีวิญญาณร้ายเคลื่อนไหวไปมา
      
       หมอผีสมคิดหยิบโถเงินเทของเหลวสีแดงข้นเหมือนเลือดลงไปบนหีบ เพียงชั่วครู่...ควายธนูภายในถูกเร่งเร้าให้กระหายเลือดมากขึ้น เสียงมันพุ่งชนกล่องโลหะขลุกขลักๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ อยู่ภายใน หมอผีสมคิดลืมตาขึ้น ปากออกคำสั่ง
       “ไปฆ่ามัน ไอ้หน้าบาก”
      
       ญาณินวิ่งหนีติณห์เยาะๆ มาตามป่า หันไปมองข้างหลังไม่เห็นติณห์ตามมา เลยหยุดยืนยกมือทาบหน้าอกหอบพิงต้นไม้
       “คนบ้า... ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แล้วเค้าเป็นผู้หญิง มาถูกเนื้อต้องตัวโดยพละการได้ไง”
       ญาณินยกสองมือจับแก้มที่แดงกล่ำของตัวเอง แล้วอยู่ๆ ก็สะดุ้งเพราะกุมาริกาโผล่มาไม่ทันตั้งตัว
       “ว๊าย...เธออีกแล้วนะกุมาริกา”
       “เจ๊จีจ้า รีบกลับกันดีกว่า หนูรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”
       “มีอะไร”
       “หนูได้ยินเสียงเหมือนพวกผีตายโหง”
       “ติณห์...”
       ทันใดจิตญาณินก็ดำดิ่งลงสู่สมาธิเพราะเสียงของหลวงพิชัยภักดี
       หลวงพิชัยภักดียืนจูงมือกับกุมาริกาอยู่ต่อหน้าจิตของญาณิน
       “ไปตามหลานชั้นมาเร็วแม่ญาณิน...เดรัจฉาน...ฉันได้ยินเสียงมันกำลังมุ่งมาทางนี้”
       “ห่ะ...เดรัจฉาน! หมายถึงตัวอะไรเหรอ?”
       “หนูเองก็ไม่รู้ ได้ยินแต่เสียงมันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว มันมีพลังมหาศาล พี่รีบหนีไปซี”
       “มันจะมาเอาชีวิตเธอ”
       “เฮ้คุณ!”
       เสียงติณห์ดังขึ้นขัดเสียก่อน ติณห์กำลังใช้สองมือจับไหล่ญาณินที่ยืนหลับตาสองมือจับแก้มอยู่
       “เป็นอะไรไป? ทำไมมายืนหลับอยู่นี่...คู้ณณณ เป็นอะไร?”
       ญาณินลืมตาผึงขึ้น
       “ปละ...ปล่าว! ฉันไม่ได้เป็นอะไร เรารีบไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ คุณหลวงมาเตือนฉันว่ากำลังจะมีอันตราย”
       “แกรนด์ปาผมอีกแล้วเหรอ! คุณเอาแต่พูดถึงแกรนด์ปาผมagain and again…and again…and again”
       “นี่คุณ...นี่ไม่ใช่เวลามาเถียงกันนะ รีบไปเร็ว”
       ญาณินดึงมือติณห์ฉุดให้ไป ติณห์ฝืนไม่ยอมไป
       “ผมไม่ไป จนกว่า...”
       ติณห์ชะงักเมื่อสายตามองไปเห็นเงาสีดำลอยวนเวียนอย่างรวดเร็วในป่า ข้างหน้า ที่สำคัญเขามองเห็นดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่งกำลังมองมา สัตว์ชนิดหนึ่งแน่นอน มีเขาโง้งน่ากลัว สีแดงของตาข้างหนึ่งมีรอยเส้นบากกลางผ่าลงมา
       ญาณินเห็นสายตาเขาแล้ว ความกลัวก็หล่นปราดไปทั่วตัว เธอค่อยๆ หันกลับไปมอง
       “อย่าขยับ! ชิ้ววว... มีตัวอะไรไม่รู้ มันกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในป่านั่น”
       “หา!”
       เจ้าสัตว์สี่เท้าเริ่มตะกุยขาหน้าและพ่นลมออกจากจมูกฟืดฟ่าด
       สิ้นเสียงถามของติณห์ ร่างกุมาริกาก็ปรากฏขึ้นข้างหลังญาณิน พร้อมกับส่งเสียงกรี๊ดลั่นโหยหวน วิญญาณหลวงพิชัยภักดีโผล่ขึ้นอีกด้านหนึ่งตะโกนบอกติณห์
       “ไอ้ติณ์หนีเร็ว!”
       “วิ่ง”
       ติณห์เหมือนกับได้ยิน กระตุกข้อมือญาณินพาออกวิ่งไปทันทีพร้อมกับตะโกนลั่น
       “runnnnnn…”
      
       เดรัจฉานตัวนั้นก็พุ่งเขาโง้วทะยานออกมาจากป่าพร้อมๆ กับอีกานับสิบที่บินออกมา สองขาหน้าเล็บแหลมราวปีศาจของมันจิกลงกับพื้น มันมีสองหัว หน้าผากตรงกลางถูกตะปูอาคมตอกสะกดไว้แผลปริบากเป็นทางยาว...มันพ่นลมออกจาก จมูกฟึดฟัด ริมฝีปากมันเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ดวงตามันแดงกล่ำ มีแต่ช่วงตัวครึ่งนึงเป็นเหล็กดำเหมือนเหล็กไหล ช่วงหลังเป็นกลุ่มควันของวิญญาณหางยาวเฟื้อย หลวงพิชัยภักดีเห็นตัวมันชัดๆ ถึงกับอ้าปากค้าง
       “ห่ะ...ควายธนู!”
       ตาแดงกล่ำ ของมันหันมองตามหลังติณห์กับญาณินที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ตะกุยสองขาหน้าแล้วออกวิ่งห้อตามไป กุมาริกากรีดร้องอีกครั้ง
       “วิ่งเร็วเจ๊จีจ้า”
      
       ติณห์จูงมือญาณินพาวิ่งหนีมา ด้านหลังเห็นร่างทะมึนมหึมาของควายธนูวิ่งตะกุยขาหน้าไล่กวดมาอย่างเร็ว ญาณินเหลียวไปมอง
       “อ๊าย...มันตามเรามาแล้ว”
       “วิ่งเร็วขึ้นอีกสิคุณ ควิกลี่”
       “นี่ฉันก็วิ่งเร็วที่สุดแล้วนะ”
       “เร็วขึ้นอีก...เร็วๆ...” ญาณินกัดฟันสปีดขาเต็มที่ แต่แล้วมันก็ไล่มาทันข้างหลัง มันพุ่งเข้าจะขวิดญาณิน “โดด”
       ติณห์ดึงญาณินกระโดดข้ามต้นไม้ล้มที่ขวางทางอยู่ ทั้งคู่กระโดดข้ามลำไม้ใหญ่พร้อมๆ กับที่ความธนูขวิดโดนต้นไม้นั้นอย่างจัง ต้นไม้แตกกระจาย ติณห์กับญาณินลงพื้นล้มกลิ้งไปด้วยกันทั้งคู่ มันขวิดพลาดเป้าญาณินและติณห์ลุกขึ้นวิ่งต่อแบบไม่คิดชีวิตได้ ส่วนตัวมันมีเศษไม้เสียบคาเขาอยู่ข้างหนึ่ง เสียงมันคำรามอย่างโกรธก่อนมันจะสะบัดเศษไม้หลุดออกจากเขา มันยืนพ่นลมออกจากจมูกจะวิ่งตามญาณินไปอีกครั้ง ร่างหลวงพิชัยภักดีโผล่ไปขวางหน้ามันไว้ ทำให้มันชะงัก
       “ใครส่งให้แกมาทำร้ายหลานชั้นกะหนูญาณิน...กลับไปหาไอ้คนชั่วซะ...อย่ามาทำร้ายคนดี”
       ควายธนูไม่ฟัง มันคำราม กระโดดเข้าขวิดหลวงพิชัยภักดีพร้อมกับพ่นไฟนรกออกจากสองรูจมูกมันเข้าเผา ผลาญหลวงิชัยภักดี ทำให้วิญญาณหลวงพิชัยภักดีร้อนราวกับถูกไฟโลกันต์
       “อ๊าก.....”
      
       วิญญาณหลวงพิชัยภักดีต้องหายตัวหลบทางให้มันวิ่งผ่านไป
 วิญญาณหลวงพิชัยภักดีมาโผล่นั่งฟุบอยู่ที่ใต้ต้นไม้ ขณะที่วิญญาณกุมาริกาโผล่มาจับแขนหลวงพิชัยภักดีหมับ
      
       “เป็นอะไรไหมคุณตา?”
       “ไอ้ควายนั่นมันพ่นไฟได้ ราวกับไฟจากนรกโลกันต์ หนูญาณินกับหลานฉันอาจจะไม่รอด”
       “ได้ไง! หนูถูกส่งมาพิทักษ์พี่ญาณิน หนูไม่ยอมให้มันทำอะไรพี่ญาณินหรอก คุณตาไม่ต้องห่วง วันนี้กุมาริกาจะขี่ควายธนูให้ดู อึ๊บ”
       ว่าแล้วกุมาริกาก็กลั้นหายใจ ร่างแตกกระจายระยิบระยับราวกับพลุ ก่อนจะรวมด้วยกันเป็นลูกดอกธนู พุ่งตามควายธนูไป
      
       ติณห์ที่จูงมือญาณินวิ่งหนีกระหืดกระหอบอยู่แค่เอื้อม อยู่ๆ รองเท้าสานของญาณินก็พาเธอลื่นไถลพาร่างติณห์กลิ้งลงเนินไปทั้งคู่
       “อ๊ายยย…”
       “อ๊ากกก…”
       ร่างทั้งสองกลิ้งหลุนๆ ลงเนินมานอนแผ่หลาอยู่ใกล้กัน ติณห์ยันตัวขึ้นดูญาณิน
       “คุณเป็นอะไรไหม?”
       ญาณินยันตัวลุกจะตอบ แต่ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นควายธนูยืนอยู่บนเนินที่ทั้งคู่ตกลงมา
       “มะ...มันมาแล้ว!”
       ติณห์หันไปมอง ตาค้าง
       “มันตัวอะไรน่ะ?”
       สองขาหน้าควายธนูตะบปพื้นพาตัวกระโจนเหินหาว ก้มพุ่งเขาแหลมโง้วเข้าใส่ หมายจะขวิดญาณินให้ขาดเป็นสองท่อน วินาทีนั้นติณห์เอาตัวเข้าคร่อมป้องกันญาณิน ฟุบกอดเธอไว้แน่นตามสัญชาติญาณ
       จังหวะที่ควายธนูจะพุ่งหลาวถึงตัวทั้งคู่ วิญญาณกุมาริกาก็โผล่มาเปลี่ยนจากธนูมาเป็นกุมาริกากระโดดขี่คอมันพร้อมกับ ดึงสองเขารั้งมันไว้
       “หยุดนะไอ้ควายบ้า”
       ควายธนูหน้าหงายตามแรงดึงของกุมาริกา สองขาหน้าของมันลงสู่พื้นอย่างผิดเป้า โครม!! ดังสนั่น พื้นดินแตกกระจาย หน้ามันจมไปกับพื้นดิน กุมาริกากระเด็นกลิ้งหลุนๆ มันพยายามสะบัดหัวพร้อมกับคำรามลั่น ขณะที่ติณห์หันไปมองอย่างงงๆ เห็นร่างควายธนูดิ้นสะบัดเหวี่ยงไปมาแต่ไม่เห็นกุมาริกา ขณะที่กุมาริกาตะโกนบอกญาณิน
       “เจ๊จี้จ้าหนีไป หนูจะต้านมันไว้ก่อน ย้ากซ์!”
       กุมาริกาพุ่งไปดึงหนังตามัน จิ้มนิ้วไปที่ตาสองข้าง มันส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด สะบัดเหวี่ยงคอเต็มแรง ร่างกุมาริกาแทบหลุดลอย
       “เหว๋ออออ”
       ดีที่มือข้างหนึ่งของกุมาริกาคว้าเขามันไว้เหนียวแน่น กุมาริกาลอยไปมาตามแรงเหวี่ยงของมัน
       “กุมาริกา”
       วิญญาณหลวงพิชัยภักดีปรากฏขึ้นหลังญาณินกับติณห์ ตะโกนบอกกุมาริกาด้วยความเป็นห่วง
       “ระวังนังหนู!”
       “มัวแต่ห่วงหนูอยู่ได้ รีบพาพี่จี้จ้าหนีไปดิคุณตา...เร็ว...ก่อนที่หนูจะเอามันไม่อยู่”
       หลวงพิชัยภักดีหันรีหันขวางหาทางให้ติณห์หนี แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีกระท่อมต้นแบบก่อสร้างอยู่ที่มุมไกล
       “ใช่แล้ว...กระท่อม พาหนูญาณินหนีไปที่นั่นเร็วไอ้ติณห์”
       ติณห์เหมือนจะได้ยิน...นึกขึ้นได้
       “เออใช่...กระท่อมที่สร้างเกือบเสร็จ! Go! Go! Go!”
       ติณห์พยุงญาณินที่เจ็บหัวเข่าวิ่งกระเผลกไป หลวงพิชัยภักดีหายตัวตามไป
      
       ที่หีบเหล็กตรงหน้าหมอผีสมคิดมีควันดำพวยพุ่งออกมา มีเสียงดิ้นขลุกขลักอยู่ภายใน
       “ห่ะ! เกิดอะไรขึ้นกับไอ้หน้าบาก”
       หมอผีสมคิดตั้งสมาธิ ทำพิธีต่อ เร่งพลังให้ไอ้หน้าบาก ควันดำที่พุ่งออกมากลับเข้าไปในหีบเหล็กเหมือนเดิม
       ขณะนั้นควายธนูเหวี่ยงร่างกุมาริกาถูกสะบัดลอยไปมาอย่างน่าหวาดเสียว กุมาริกาเหวี่ยงตัวลงมายืนอยู่หน้ามัน เสกเรียกของเล่นเป็นดาบสตาร์วอร์มาฟันสู้กับเขาของมันดังราวกับเสียงดาบฟัน กันในหนังจีนกำลังภายใน แต่ดาบของกุมาริกาถูกมันพ่นไฟจากจมูกใส่จนละลาย กุมาริกาตกใจมองดาบในมือที่หดหาย
       “อุ้ย...ดาบหายไปไหนแล้วอ่ะ” มัวแต่ตกใจกุมาริกาเลยเผลอให้ควายธนูขวิดเข้าที่แขน เหวี่ยงร่างเล็กๆ ปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ “โอ๊ย!”
      
       ญาณินที่กำลังวิ่งตามติณห์ไปยังกระท่อมรับรู้ได้ หันไปมอง
       “กุมาริกา!”
       แต่กลับเห็นเจ้าเขาโง้ววิ่งตะกุยตามมาอย่างรวดเร็ว
       “กระท่อม!! วิ่ง! วิ่ง!”
       ติณห์เร่งญาณินไปยังกระท่อมที่เห็นอยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกล แต่เห็นญาณินกระเผลกวิ่งไม่เร็วได้ดั่งใจ ติณห์จึงคว้าเอวญาณินพาตัวเธอขึ้นพาดไหล่พาวิ่งไปซะเอง
       “มานี่!”
       “เหว๋อ!”
       ติณห์กัดฟันหอบญาณินวิ่งสุดฝีเท้า ขณะที่ไอ้เข้าโง้วก็ควบไล่จี้เข้ามาติดๆ...หลวงพิชัยภักดียืนกำหมัดเชียร์ หลานตัวเองราวกับกำลังเชียร์แข่งขันอะไรสักอย่าง
       “เร็วเข้าไอ้ติณห์ อย่าให้เสียชื่อหลานหลวงพิชัยภักดี เร็วซีโว้ย...เร็ว!”
       ติณห์กัดฟันกรอดสาวเท้าแบกญาณินวิ่ง
       “อ๊ากกก”
       “เร็วเข้าคุณ...เร็ว...มันจะขวิดแล้ว”
       “เร็ว! เร็วอีก...ไอ้ติณห์...จะถึงแล้ว”
      
       ติณห์วิ่งมาถึงกระท่อม ไม่มีเวลาเปิดประตู ติณห์กะวิ่งชนประตูเข้าไป หลวงพิชัยภักดีใช้พลังเท่าที่มี
       “ย๊ากกกก...”
       ประตูกระท่อมเปิดผ่างออก ติณห์และญาณินร้องเสียงหลง
       “ว๊าย...อ๊าก...”
       ทั้งคู่หลุดเข้าไปในกระท่อม กลิ้งไม่เป็นท่า
       “โอ๊ย...ลุ้นจนจะเป็นลมแล้ว...” หลวงพิชัยภักดีบอกอย่างเหนื่อยหอบ
       ติณห์ ญาณินเห็นไอ้เขาโง้วพุ่งจะตามเข้ามา แต่วินาทีนั้นญาณินคว้ายันต์ที่สุคนธรสให้ไว้ติดตัวออกมาจากกระเป๋าเล็กที่ สะพายติดตัวออยู่ออกมาแปะไปที่ประตูทันควัน แล้วปิดประตูทันที โครม! เสียงเขามันกระแทกชนประตูดังสนั่น แต่ยันต์แผ่อาคมเป็นรัศมีสีทองรอบประตู ทำให้มันเข้ามาไม่ได้ และถูกอาคมทิ่มแทงกลับทุกครั้งที่มันชนประตู มันคำรามร้องลั่นอย่างโกรธและเจ็บปวด
       ติณห์ยืนหอบตัวโยนมองประตูที่ถูกกระแทก อย่างแทบไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเสียงกระแทกหยุดไป ได้ยินแต่เสียง ฝีเท้ามันวิ่งตะกุยวนเวียนอยู่รอบบ้านอย่างไม่ยอมเลิกรา
       ติณห์แหวกผ้าม่านที่หน้าต่างมองออกไป เห็นมันเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอก หน้าผากมันแตก ตาสองข้างบาดเจ็บเพราะฝีมือกุมาริกา เขาโง้วข้างหนึ่งหัก
       “มันยังไม่ยอมไป!”
       “แต่มันเข้ามาทำอะไรเราไม่ได้หรอกค่ะ ยันต์นั่นป้องกันเราไว้”
       “หา!”
       ติณห์มองไปที่ยันต์ตรงประตู ยิ่งมึนตึ๊บเข้าไปใหญ่
      
       “ไอ้ตัวประหลาดนั่น กับยันต์ มันอะไรกันเนี่ยะ What the heck?”  
source: manager.co.th 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น