วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 7/3 วันที่ 19 เม.ย. 55

อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 7/3 วันที่ 19 เม.ย. 55
ไม่นานหลังจากนั้น บานประตูห้องปิดลง เห็นตระกูลเดินเข้ามา มองเพ็ญพักตร์ที่หลับแล้ว หน้าไม่แต่งดูซีดเซียว อ้าปากนิดๆ
ตระกูลถอนหายใจ วางกุญแจรถที่หน้าโต๊ะเครื่องสำอาง มองบนโต๊ะ มีกระปุกเครื่องสำอางวางอยู่เต็มไปหมด
ตระกูลหยิบมากระปุกหนึ่งเอาขึ้นมาดู แล้ววางลงแรงๆ ด้วยโทสะ
“มาแล้วเหรอ” เพ็ญพักตร์ถามเสียงอู้อี้
ตระกูลฉวยผ้าเช็ดตัว เดินหนีเข้าห้องน้ำเร็วรี่ แล้วปิดประตู

คืนเดียวกันนั้น อัศนัยยังง่วนอยู่ในห้องวาดรูป อัศนัยปาดสี วาดภาพดอกโศกในวันที่พบริมสระน้ำกิริยาเศร้าสร้อย

ภาพดอกโศกในห้องที่อัศนัยวาด ไม่ใช่ภาพ portrait ทุกรูป อัศนัยวาดอิริยาบถต่างๆ ของดอกโศกที่อัศนัยจารจำ ที่เหมือนกันคือภาพส่วนใหญ่นั้นอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง มีไม่กี่รูปที่ร่าเริงยิ้มแย้มบ้าง บางรูปเห็นหน้านิดหน่อย เสี้ยวเดียวก็รู้ว่าคือ ดอกโศก
“คุณนัย” เสียงหมื่นเรียก

อัศนัยเสร็จพอดีกำลังเช็ดมือ “อะไรวะ” ถามโดยไม่หันไปมอง
“กาแฟมั้ยครับ”
“ถามทำไม....ไม่ต้องถาม”
หมื่นวางกาแฟ “คุณนัยใครน่ะ”
“ไอ้หมื่น จะหมื่นมากไปแล้วนะ ก็เห็นๆ ว่าใคร” อัศนัยชักฉุน
“ใครล่ะครับ” หมื่นยังทะลึ่งทะเล้นต่อ
“ไอ้...”
“อ๋อ....ไม่ใช่ เนี่ย...รู้ว่าเป็นคุณหนูดอกโศก แต่ที่คุณนัยโทร.แล้วโทร.อีกเมื่อหัวค่ำคุณนัยโทร.หาใครเหรอครับ”
“อ๋อ.....” อัศนัยเงียบไป
“เค้าไม่รับสายโทร.หาเค้าทำมั้ยเสียฟอร์มหมด” หมื่นแนะ
“เออ ออกไปได้แล้วไอ้คนมีฟอร์ม”
“จริงดิคุณนัย อย่างคุณนัยผู้หญิงคนไหนเมินก็โง่ตายล่ะ” หมื่นว่า
“เออ หมื่น แกอยู่กะฉันมานานเท่าไหร่แล้ว” จู่ๆ อัศนัยก็ถามอย่างนี้
“สิบแปดปี ตั้งแต่คุณนัยอายุสิบสาม หมื่นอายุ 8 ขวบ” หมื่นจำแม่น
“นี่แกอายุยี่สิบหกแล้วเหรอเนี้ย”
“ครับผม”
“ทำไมยังทำตัววัยรุ่น น่าเกลียดจริงๆ” ที่แท้อัศนัยหลอกด่า
“อ้าว!”
“เออ....ฉันปรึกษาอะไรหน่อย ถือกาแฟตามฉันมา”

อัศนัยเดินเข้ามาในห้องรับแขก ปรารภขึ้นกับหมื่น ขณะกำลังนั่งลง
“แกว่าฉันควรแต่งงานหรือยัง”
“ฮ้า...” หมื่นตกใจ ถาดกาแฟแทบหลุดมือ
“ท่าจะบ้า” อัศนัยว่า
“ไม่บ้า แต่หูไม่ค่อยดี ถามใหม่ครับคุณนัย”
อัศนัยนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “เอาล่ะ ถามจริงจังฉันควรมีครอบครัวหรือยัง”
“คุณนัยเกลียดหมื่นแล้วหรือครับ ถึงจะไม่ให้หมื่นดูแล” หมื่นว่าไปนั่น ทำทีเป็นจ๋อย
อัศนัยโคลงหัวหมื่น “นึกแล้ว” แล้วลุกขึ้น “ไป...ไปนอนได้แล้ว”
ระหว่างนั้นป้าหม่อนเดินเข้าในห้อง ถามทันที
“คุณนัย ไอ้หมื่นบอกว่าคุณนัยโทร.หาแฟนแต่เค้าไม่รับสาย คุณนัยเลยหงุดหงิด จริงเหรอ”
อัศนัยได้ยินที่ป้าหม่อนบอก เขกหัวหมื่นไปหนึ่งโป๊ก หมื่นหลบไม่ทัน ร้องเสียงดัง
“โอ๊ย”
“โทร.ถึงดอกโศก” อัศนัยบอก
“เป็นอะไรคะ...” หม่อนรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
“ก็ไม่รู้ไง เขาไม่รับโทรศัพท์”
“อยู่บ้านยาย หรือบ้านคุณตาคะคุณนัย” หม่อนถาม
“บ้านคุณตาน่ะสิถึงเป็นห่วง บ้านนั้นแต่ละคน...” อัศนัยชะงักค้างคำพูดไว้เท่านั้น
“ไม่รับโทรศัพท์ถือว่าไม่ปกติหรือคะ” หม่อนสงสัย
แน่นอน...อัศนัยคิด หน้าเครียดฉับพลัน
“โธ่เอ๊ย น่าสงสารเสียจริง ทำไมอาภัพอย่างนี้หนอ ทำไมไม่อยู่กะยายแล้วล่ะคะ” หม่อนพิลาปรำพัน สงสารดอกโศกจับจิต
“นั่นสิ...”

เช้าวันต่อมาสมปองขับรถตุ๊กตุ๊กปราดเข้าจอดเทียบประตูหน้าโรงเรียน ดอกโศกลงแล้วไหว้ขอบคุณ หัวยังปิดปลาสเตอร์อยู่
“เจ็บมั้ยแผลน่ะ” สมปองถาม
ดอกโศกพยักหน้านิดๆ แทนำตอบ
“เย็นนี้มารับนะไอ้โศก”
“ไม่ต้อง...”
ดอกโศกบอก แต่สมปองขับรถแล่นออกไปแล้ว

อัศนัยอยู่ในห้องทำงานอัศนัย คุยเรื่องงานอยู่กับบุรี มีเลขา หญิงวัยกลางคนใส่แว่น ท่าทางขยันขันแข็ง นั่งทำงานอยู่

“อาบุรีผมจะประกวดตั้งชื่อโรงงานเซรามิกใหม่นะครับบอกพนักงานทุกคนรางวัลให้....ห้าพันแล้วกัน เงินผมนะครับ ไม่ใช่เงินบริษัท”
“คุณนัยจะขึ้นเชียงใหม่มั้ยครับ” บุรีถาม
“ขึ้น...อีกซักสองสามอาทิตย์คงต้องขึ้นไป ไปกันมั้ยครับพี่บุรี”
“ไปไม่ได้เลยคุณนัย ผมจะขึ้นลายชุดใหม่ ต้องคุมดีๆ ไม่งั้นลูกค้าโวยแน่”
ปรียากมลเดินตัวปลิวปรี่เข้ามาเร็วๆ ไหว้บุรี “สวัสดีค่ะพี่บุรี”
“ครับ” บุรีรับไหว้ “ผมไปก่อนนะครับ” เดินออกไปจากห้อง
“อัศนัย เวลาคุณประชุมผู้ถือหุ้นฉันต้องเข้าด้วยมั้ย”
“หุ้นคุณมีแค่สิบเปอร์เซ็นต์ไม่เข้าก็ได้”
“แต่วันหนึ่ง....” ปรียากมลขยับเข้ามาใกล้ “เราจะเป็นหุ้นส่วนชีวิตกัน...นะ”
อัศนัยพยักหน้าสัพยอก “โอเค”
ปรียากมลฟาดแรงๆ หมั่นไส้เอามากๆ “เกลียด”
“อ้าว วันก่อนบอกรัก” ขณะพูดตอบ โต้ อัศนัยทำงานไปด้วยตลอดเวลา
“ก็รักน่ะสิ” ปรียากมลโผเข้าหา

ที่หน้าห้องสมปองเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามาทันที เห็นภาพนั้น ชะงัก ยืนตาโต อ้าปากค้าง
“ปอง....เป็นอะไร”
“เปล่าฮะ เข้าได้มั้ยคุณนัย” สมปองถาม
“อ้าว ก็เข้ามาแล้ว” อัศนัยว่า
“จะมาบอกเรื่องไอ้โศก ไม่รู้ใครตีหัวมัน แตกเว่อร์เลย”

ไม่นานต่อมาสมปองขับตุ๊กตุ๊ก ไปอย่างรวดเร็ว อัศนัยมองตาม นึกถึงคำพูดสมปอง
“เมื่อเช้าฉันเห็นมันเดินโซเซอยู่ข้างถนนจะไปขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน เลยรับมันไปส่งเมื่อกี้ก็ไปรับที่โรงเรียนเวลานี้มันแจ้นไปหาไอ้ป้อม”
อัศนัยหน้าขรึมลงมาก นึกถึงคำพูดสมปองขึ้นมาอีก
“แต่ก็ดีไปถึงโรงพยาบาลจะได้ทำแผลหัวแตกด้วย”

เฉลยตัดสินใจเล่าเรื่องราวให้สุดเขตฟัง พอฟังแล้วสุดเขตมีสีหน้าตรึกตรองบางอย่าง เครียดหนัก

ดอกโศกมาเยี่ยมป้อม ระหว่างนั้นป้อมพูดแล้วจับมือดอกโศกซาบซึ้งใจ
“ขอบใจนะโศก”
“มันเรื่องอะไร ฮึ ป้อมบอกมาซิ” ดอกโศกถาม อยากรู้เรื่องราว
“โศก....”
“ไหนบอกซิ...เร็ว ก่อนจะโกรธจนไม่อยากพูดด้วย
“บอกอะไร”
“ทำอะไรมันถึงมาซ้อมแก พวกนั้นเป็นใคร”
“เป็น.....พวกๆกัน”
“พวกเดียวกันแล้วซ้อมกันทำไม” ดอกโศกคาดคั้น
“เข้าใจผิดนิดหน่อย”
“ป้อม แกคิดว่าฉันโง่เหรอ” ดอกโศกกระซิบดุใกล้ๆ “คิดว่าฉันไม่มีสมองเหรอ ถึงจะเชื่อแกถ้าแกไม่บอกฉันเรื่องจริงนะฉันจะเลิกพูดกะแกไปอีก 2 ปี”
“อะไรกันตั้งสองปีเชียวเหรอโศก” ป้อมโวย
“อย่าต่อรอง บอกฉันมาเดี๋ยวนี้”
อัศนัยจ้องมองที่ประตู เห็นภาพจากด้านหลังว่าดอกโศกพูดใกล้ๆ ใบหน้าป้อม

อัศนัย คุยกับดอกโศกที่นอกห้องพักผู้ป่วย
“ทำไมป้อมย้ายไปอยู่ห้องพิเศษก็ไม่ทราบค่ะ” ดอกโศกยังไม่รู้เรื่อง
“คุณนัยจัดการให้เอง”
“แพง” ดอกโศกว่า
“ไม่เป็นไร”
“ไม่ค่ะ คุณนัยไม่ต้องจ่าย ดอกโศกจะขอเงินยาย”
“ทำไมให้คุณนัยจ่ายไม่ได้หรือ หรือว่า...”
“ทำไมคะ”
“ไม่ให้คุณนัยยุ่งเรื่องของป้อมใช่มั้ย”
“คราวที่แล้วที่จะขอเงินคุณนัย ก็เรื่องของป้อม”
อัศนัยอึ้ง รู้สึกผิดขึ้นมาอีกแล้ว
“ยายคงอยากจ่ายให้ เพราะยายรักแม่ของป้อมค่ะ คุณนัยให้ยายจ่ายเถอะนะคะ”
“ดอกโศก” อัศนัยแตะแผลเบาๆ “ใครทำ”
ดอกโศกกัดปากแน่น อัศนัยถามซ้ำ
“ใครทำเหรอดอกโศก”
“น้าสวยค่ะ”
“ทำยังไง”
“เขาผลักค่ะ”
“ทำไมเขาถึงผลัก”
“เรื่องมันเยอะแยะ คุณนัยอย่าทราบเลยนะคะ”
“เจ็บมากมั้ย”
“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วค่ะ”
“แน่ใจนะว่าแผลไม่ต้องเย็บ”
“แน่ใจค่ะ เมื่อกี้พี่พยาบาลดูแล้ว ใส่ยาให้ด้วย แล้วยังให้ยาไปทาน”
“ดอกโศก....ไหวมั้ย” น้ำเสียงอ่อนโยน คลื่นความห่วงใยเจืออยู่เต็ม
“ไหวค่ะ”
“อย่าหลอกคุณนัย อย่าหลอกตัวเอง”
ดอกโศกก้มหน้านิ่ง
“กลับไปอยู่กับยายมั้ย คุณนัยพูดกับคุณตาให้”
“ไม่ได้หรอกค่ะคุณนัย ไม่เป็นไร ดอกโศกจะอดทนไม่อย่างนั้นก็ต้องเร่ไปร่อนมาเหมือน.....เหมือน”
“เหมือนอะไร” อัศนัยคาดคั้น
“เหมือนคนที่ไม่มีใครต้องการ”

น้ำคำ สำเนียงรันทดท้อเหลือแสนนั้น ทำเอาอัศนัยใจหายวูบ สงสารจับจิต
สมปองขึ้นนั่งประจำที่คนขับบนรถตุ๊กตุ๊กแล้ว มองกลับขึ้นไปที่หน้าตึกโรงพยาบาล เห็นอัศนัยยืนมองดอกโศกอยู่ ในขณะที่ดอกโศกก้มหน้าท่าทางเศร้าสร้อย อัศนัยก้าวเข้าไปใกล้ ก้มลงมองหน้าอีกนิด

สมปองเพ่งมองภาพนั้นด้วยสีหน้าพิศวง นึกตรึกตรอง และยังคงมองภาพนั้นอยู่
ต่อมาสมปองเห็นอัศนัยตบหลังดอกโศกอย่างปลอบโยน แล้วจูงมือดอกโศกมาทางที่รถตุ๊กตุ๊กจอดอยู่
สมปองเปลี่ยนสายตา มองหน้าทั้งคู่ยิ้มๆ ขณะสตาร์ทเครื่อง
“ขึ้นรถ...ไอ้โศก”
“พาไปส่งถึงบ้านนะปอง” อัศนัยบอก
“โอ้ย...ใครจะไปส่งถึงบ้านเดี๋ยวส่งหัวถนนเนี้ยก็พอแล้ว” สมปองนึกอยากลองใจอัศนัย
“อ้าว!” อัศนัยอึ้ง
สมปองเรียกซ้ำ “ขึ้นรถ”
ดอกโศกรีบไหว้ลา ก้าวขึ้นรถทันที
อัศนัยเปลี่ยนใจ “ฉันไปส่งดีกว่า...ปอง เดี๋ยวก่อน ดอกโศกลงมา..มาไปกับ...คุณนัย”
“ไม่ต้องฉันไปล่ะ” เสียงเร่งเครื่องดังบึ๊น...บึ๊น รถตุ๊กตุ๊ก แล่นพรวดไป
“เฮ้ย....เดี๋ยว”
สมปอง หันมายกมือทำท่าโอเคให้อัศนัย..พร้อมกับยิ้มล้อๆ
อัศนัยที่กำลังวิ่งตามรถ หยุดกึก แล้วส่ายหัวกับตัวเอง รู้ตัวว่าโดนหลอก
“เฮ้อ...ปองนะปอง”

ดอกโศกเปิดประตูเดินเข้าห้องตัวเอง พอเปิดเข้ามา เห็นเพ็ญตระการยืนขวางทางอยู่
ดอกโศกมองนัยน์ตาเฉยเมย
“ไปไหนมา ชั้นคอยตั้งนาน”
“ขอโทษ”
“ไปขอโทษกับคุณตาเถอะ” พูดจบก็หันหลังกลับ
ดอกโศกยืนนิ่งงัน

ดอกโศกรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินดุ่มๆ ตามอุ๊ เพื่อตรงไปยังห้องนายพลสุดเขต
อุ๊พูดออกมาอีก “งานยังต้องทำอย่าลืม”
ดอกโศกเดินหลีกไป สีหน้าเฉยแบบกวนประสาท
“อีบ้า” อุ๊พูดเสียงคำว่าอีอยู่ในคอ “บ้า...บ้าจริงๆ” ด้วยความโมโหหันไปมา แล้วหยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ตรงนั้นปาใส่เต็มแรง
ดอกโศก คะมำไปทันที แล้วทรงตัวยืนนิ่ง
“รีบไปก่อนที่ชั้นจะเอาอะไรปาอีก”
ดอกโศกยังยืนเฉย สีหน้าเข้มจัด
“เธอมันบ้า เป็นคนบ้า กวนประสาท ทำเป็นคนดีไม่พูดไม่จา ที่แท้ใจเธอคิดด่าคนอยู่ตลอดเวลา” ว่าแล้วอุ๊กก็ขยับเดินเข้าผลักซ้ายผลักขวาเพราะอดโมโหไม่ไหวแล้ว “ใช่มั้ย ชั้นดูนัยน์ตาเธอก็รู้”
ต่างคนต่างจ้องหน้ากัน
“ฉันเกลียดเธอดอกโศก” อุ๊พูดแทบเป็นตวาด
ดอกโศกทำสีหน้าเหมือจะพูดว่าแล้วฉันไม่เกลียดเธอหรือ
“ตัวมาร...มารทุกอย่าง เกลียด...เกลียด”

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น