วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อ่านละคร แสบสลับขั้ว ตอนที่ 1 วันที่ 30 มิ.ย. 55

บรรยากาศยามเช้าวันนี้ที่ชุมชนหมอเล้ง หรือชื่อใหม่ว่า ชุมชนพัฒนาสู่สุขาวดี ผู้คนต่างเริ่มต้นทำมาหากินและใช้ชีวิตประจำวันกันไปค่อนข้างคึกคัก
      
       บ้านของเซียน ชายไทยวัยเกือบ ๓๐ แต่มีพฤติกรรมราวกับหนุ่มวัยทีน หรือที่เรียกอย่างไม่เกรงใจว่า ผู้ใหญ่ไม่รู้จักโต เป็นบ้านหลังเล็กๆ ในชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ แต่สะอาดสะอ้านอย่างไม่น่าเชื่อ
       ภายในห้องนอนเซียนมีกางเกงยีนส์เก่าๆ ถอดเป็นวงกลม...เสื้อถูกถอดเหวี่ยงไว้...ผ้าห่มตกลงมากองกับพื้น ในขณะที่เซียนนอนแผ่หลับสนิทขวางกลางที่นอน เสียงเคาะประตูโครมๆ ดังขึ้น
       “เซียน เซียนเอ๊ย” เซียนยังคงไม่ไหวติง “ไอ้เซียน ไอ้สันหลังยาว ไอ้นอนกินเมือง ไอ้เฒ่าทารก... ไอ้...”
       สายไหม ป้าของเซียนด่าเป็นชุดจนเซียนต้องโวยลั่น
       “โอ๊ย! ตื่นแล้วป้า” เสียงสายเงียบไป เซียนสปริงตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วตะเบ็งลั่น “เซ็ง!”
      
       อีกด้านหนึ่งที่ “บ้านมหาทรัพย์รุ่งเรืองกิจ” ซึ่งเป็นคฤหาสถ์ใหญ่โตอลังการ เด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางรั้วรอบขอบชิด สนามหญ้าภายในอาณาเขตบ้านมีต้นไม้ใหญ่น้อย ปลูกประดับ ตัดแต่งก้านกิ่งดูสวยเป็นระเบียบ ตัวบ้านดูโอ่อ่างดงามบอกสถานะเจ้าของบ้าน
       ระหว่างนั้นประตูใหญ่เลื่อนเปิดโดยอัตโนมัติ พร้อมรถยนต์สุดหรูคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าตัวตึก สิทธิ์คนขับรถรีบลงมาเปิดประตูรถ
       ปลาใหญ่ ก้าวลงจากรถแล้วมองไปที่ตัวบ้านพลางถอนใจยาว ก่อนจะเดินไปที่ตัวบ้าน ขณะที่สิทธิ์เปิดท้ายรถ หยิบกระเป๋าเดินทางแบรนด์เนมลงจากรถ
       ปลาใหญ่เดินเข้ามาในบ้าน ขณะที่ครรชิต พ่อบ้านเก่าแก่ออกมาต้อนรับ ด้วยสีหน้าแววตาที่บอกความรักและภาคภูมิใจในตัวเจ้านายเหลือหลาย
       “คุณปลาใหญ่” ครรชิตรีบยกมือรับไหว้ “สวัสดีครับ...”
       “คุณพ่อเป็นยังไงบ้างครับ”
       ครรชิตอึ้งไปเล็กน้อย
       “ท่านเพิ่งหลับไปเมื่อสักครู่นี้เอง...สั่งว่า คุณปลาใหญ่มาถึงเมื่อไหร่ให้ปลุก...”
       สิทธิ์ยกกระเป๋าเข้ามาวางให้ แล้วออกไปอย่างรู้ระเบียบ
       “อย่าเพิ่งไปรบกวนท่านเลย”
       เสียงกริ่งเรียกดังมาจากห้องเกรียงไกร
       “ท่านตื่นแล้ว...คงจะคอยระวังว่าคุณปลาใหญ่จะมาถึงเมื่อไหร่...เชิญครับ...”
       ปลาใหญ่เดินขึ้นบันไดไป ครรชิตเดินตาม
      
       ที่บ้เนของเซ๊ยน ขณะนั้นเซียนกำลังคดข้าวใส่จานแล้วเดินมานั่งบนโต๊ะซึ่งมีฝาชีขนาดใหญ่ครอบกับข้าวไว้
       เซียนเปิดออก เห็นจานวางผัก น้ำพริก ปลาทูตัวเล็กๆ อยู่ 2 ตัว
       “เมื่อวานกินน้ำพริกปลาทู วันนี้กินปลาทูน้ำพริก รวยเมื่อไหร่จะกินเป็ดกินไก่เสียให้เข็ด”
       เซียนแกะปลาทู ขณะที่สายไหมเดินเข้ามา
       “ปลาทูสมัยนี้แก่แดด! ตัวนิดเดียวไข่เต็มท้อง” เซียนพูดเปรยเมื่อเห็นปลาทูมีไข่
       “แกนี่วันๆ พูดจาหาสาระไม่ได้เล้ย” สายไหมต่อว่าหลานชาย
       “อยากพูดกับคนมีสาระ ป้าก็ไปหานักวิชาการซิ”
       เซียนเถียง สายไหมยกฝาชีตีหัวอย่างหมั่นไส้เต็มทน เซียนหลบวูบพร้อมจานข้าวอย่างว่องไว
       “นี่แน่ะ! นักวิชาการ แน่จริงอย่าหลบซิ”
       “แน่จริงซิ ต้องหลบ”
       “พูดกับแกแล้วเหนื่อย กินเร็วๆ เข้า ฉันจะพาแกไปฝากงาน”
       “จ๊ะจ๋า... เส้นใหญ่น่าดูชม งานอะไร ป้า”
      
       ที่วินมอเตอร์ไซค์ชายสี่ลงจากมอเตอร์ไซค์ เดินมาที่ลุงป่องนั่งคุยกับป๋องและมอม
       “ลุงเตรียมหาคนมาแทนผมได้แล้วนะ”
       ลุงป่องทำสีหน้าหน่ายๆ
       “รู้แล้ว... เอ็งจะไปเปิดคาร์แคร์”
       “ของป๋องเปิดร้านอาหาร”
       “ซึ่งยังเลือกอยู่ระหว่างเกาหลีกับอิตาเลียน”
       ป๋องพยักหน้า เบือนหน้าไปทางอื่นกัน
       “มันเปิดทุกวัน ป่านนี้...100 แห่งได้แล้วมั้ง” มอมบอก
       “พี่ป่อง...”
       เสียงสายไหมดังขึ้น ทุกคนหันไปมอง ลุงป่องนัยน์ตาเป็นประกายทันที สายไหมเดินนำเซียนเข้ามา ซึ่งเซียนทำหน้าเซ็งๆ มอมร้องลิเกเสียงดังลั่น
       “เมื่อตาต่อตามาจ๊ะเอ๋...”
       ลุงป่องถีบมอมตกแคร่ แล้วรีบลุกยืน
       “คุณสาย...”
       3 สหายสะกิดกัน
       “ฝากไอ้เซียนคนได้มั้ย”
       “คุณสายจะไปไหน” ลุงป่องถามอย่างตกใจ
       “ก็อยู่บ้านของฉันน่ะซิยะ อย่าโง่ได้โปรด ...อย่าโง่ ...ฉันจะให้ไอ้เซียนมันมาอยู่วินพี่ป่องนี่แหละ คราวนี้ไม่ให้ออกแล้ว”
       3 สหายดีใจตบหลังตบไหล่เซียน ซึ่งทำหน้าเซ็งๆ ลุงป่องหันมาซ้ำเติมเซียนเอาใจสายไหม
       “ได้ยินมั้ย ไอ้เซียน เอ็งต้องรู้จักขยันทำมาหากิน อย่าทำให้คุณป้าเอ็งต้องหนักใจ”
       “จ๊ะจ๋า! ไม่เรียกเสด็จป้าซะเลยล่ะ”
       “ไอ้เซียน เอ็งน่ะโตเป็นควายแล้วนะเว้ย”
       “อ้าว... อ้าว...ตาป่อง ถ้าไอ้เซียนมันควาย ฉันก็ควายด้วยซิยะ”
       ลุงป่องรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
       “เปล่า...เปล่าครับคุณสาย ผมไม่ได้ว่าคุณสาย ผมว่าไอ้เซียน”
       “เก๊าะไอ้เซียนน่ะมันหลานฉัน...อย่าโง่ ไปละ”
       “คุณสายจะไปไหนครับ ผมจะไปส่ง”
       “ไปบ้านบิดาแก” สายไหมบอกแล้วเดินออกไป
       “ได้ครับ” ลุงป่องตอบรับแล้วชะงัก “บิดาผม…บิดาผมไม่หายใจมาตั้ง 10 ปีแล้วนี่”
       ลูกค้าเดินเข้ามา 3 สหายรีบออกไป
ปลาใหญ่มาหาพ่อที่ห้อง เกรียงไกรวางมือลงบนหัวปลาใหญ่ซึ่งกำลังพยายามสะกดกลั้นความเศร้าโศกเสียใจอย่างหนักไว้เต็มที่
      
       “รับปากกับพ่อซิว่าจะสานต่อกิจการของอาณาจักรมหาทรัพย์ของเรา อย่างเต็มความสามารถ”
       “มันจะไม่เป็นการข้ามหน้าข้ามตาอาก้องหรือครับ”
       “ไม่อย่างแน่นอนครับ” ครรชิตบอก เกรียงไกรเลื่อนสายตาไปที่ครรชิต “ขอประทานโทษครับท่าน”
       “อย่าสอดอีก นายยังได้พูดอีกนาน ส่วนฉันเวลาจะหมดแล้ว”
       “ขอรับท่าน”
       “เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้วล่ะ”
       “ถึงตอนที่คุณพ่อให้ผมสานต่อกิจการของอาณาจักรมหาทรัพย์ อย่างเต็มความสามารถครับ ... แล้ว ...”
       “โอ.เค จำได้แล้ว ...” เกรียงไกรกระแอมเคลียร์ลำคอ “พ่อไม่ไว้ใจอาของแกซึ่งก็คือน้องชายของพ่อ เมียมันก็ทั้งงกทั้งเค็ม แถมเห็นแก่ตัวสิ้นดี” เกรียงไกรยิ่งพูดยิ่งได้อารมณ์จนไอออกมา
       “คุณพ่อครับ”
       นอกห้องขณะนั้นสมทรง สาวใช้กำลังพยายามเปิดหูให้แนบกับประตูเต็มที่ เพื่อจะได้ยินอย่างชัดเจน
       “ขืนให้สานต่อ พวกมันจะได้โกงกันบรรลัยวายวอดจนในที่สุดลูกของพ่อจะไม่มีอะไรเหลือนอกจากเสื้อผ้า”
       “ท่านครับ...”
       “บอกว่าอย่าสอด!” เกรียงไกรต่อว่าครรชิตแล้วหันมาทางปลาใหญ่ “รายละเอียดทั้งหมด พ่อเขียนไว้ใน
       พินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว หากพ่อเป็นอะไรไป ซึ่งก็คือตายนั่นแหละ...ทนายปีติจะเป็นผู้เปิดอ่าน หลังจากงานฌาปนกิจผ่านไป 7 วัน” น้ำตาเกรียงไกรเริ่มเอ่อขึ้นมา “พูดเรื่องตายแล้วใจไม่ดีเลย ถึงแม้พ่อจะเฝ้าบอกตัวเองว่าพร้อมหลังจากรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้าย...”
       “คุณพ่อยังไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
       “เป็นซิ ถ้าไม่เป็นพ่อจะเรียกแกกลับมาหาอะไรล่ะ ...ออกไปได้แล้ว”
       เกรียงไกรโบกมือไหล่แล้วหลับตาลงเหมือนไม่ต้องการพูดอีก ครรชิตและปลารออยู่จนแน่ใจว่าเกรียงไกรหลับ จึงพยักหน้าชวนกันลุกขึ้น
      
       หน้าห้องสมทรงพยายามแนบหูให้ติดประตูเข้าไปอีกพลางบ่น
       “ไม่ค่อยจะได้ยินเล้ย”
       ประตูเปิดออก กระแทกสมทรงเข้ากับผนังห้องโครมใหญ่ สมทรงถึงกับทรุดลงไปกับพื้น ขณะที่ปลาใหญ่และครรชิตก้าวออกมา แล้วเดินเลี้ยวคุยกันไปโดยไม่ได้หันมามอง สมทรงครางเบาๆ ด้วยความเจ็บอย่างแรง
      
       ที่วินมอเตอร์ไซค์ผู้โดยสารซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ออกไป ขณะที่มอมเพิ่งจะเข้ามา มอมเข้ามานั่งร่วมวงหมากรุกซึ่งลุงป่องและเซียนกำลังเล่นกันอยู่
       “ถึงไหนแล้ว”
       “เอ็งต่อที ข้าปวดหลังว่ะ” เซียนบอก
       “ไอ้เซียน พอจะแพ้แล้วเป็นยังงี้ทุกที”
       หมอดูเดินตรงมา ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
       “คันไหนออกจ้ะ”
       “คันนี้จ้า”
       เซียนบอกแล้วขึ้นมอเตอร์ไซค์ โดยหมอแม่น ซึ่งเป็นหมอดูซ้อนหลัง ทั้งสองหยิบหมวกกันน็อคมาสวม
       “ไปไหนล่ะป้า”
       “ร้านทอง ...เจ๊ฮวยเค้าโทร. มาตามให้ไปช่วยดูดวงลูกสาวเขาหน่อย” !
       แววตาเซียนเป็นประกายทันที
       “คุณน้ำเพชรน่ะเรอะ”
       “ก็จะใครเสียอีกล่ะ”
       เซียนออกรถไปทันที
      
       ที่ร้านทองขณะนั้น มีโจรสองคนปิดหน้าปิดตา ถือปืนส่ายกราดไปทั่วร้าน
      
       “ทุกคนอยู่เฉยๆ นี่คือการปล้น”
       “ว้าย... ย ว้าย....ย....ย ! ว้าย ....ย...” กิมฮวย กรีดร้องด้วยความตกใจ
       “อาฮวย อีบอกว่าอย่าร้อง”
       เติมศักดิ์ สามีกิมฮวยบอก แต่กิมฮวยยังร้องเสียงดังจนโจรจี้ปืนไปที่อกกิมฮวย
       “บอกให้เงียบ ประเดี๋ยวพ่อยิงไส้แตก”
       กิมฮวยจับปืนมาไว้ที่ท้อง
       “ไส้อั๊วอยู่นี่ ไอ้พวกโจรหนึ่งพันหารสอง ร้างอึ่งมีทังมายพวกลื้อไม่ไปป้ง ดังมาป้งร้างอั๊ว”
       โจรเอาปืนเสยข้างแก้มกิมฮวยจนล้มลงร้องลั่น
       “พูดมากนัก”
       น้ำเพชรรีบโผล่ออกมาจากหลังร้าน
       “หม่าม้า” น้ำเพชรเข้ามาประคองแม่
       “อานั้งเพชร”
       “เฮ๊ย เอาทองใส่มาในนี้ให้หมด”
       เติมศักดิ์มือไม้สั่นหยิบทองใส่ถุงให้โจร
       “ไอ้เติง ไปให้มังทังมาย”
       “บอกให้เงียก”
       “อั๊วไม่...”
       น้ำเพชรรีบอุดปากแม่ไว้
       “หมกแล้วจ้า หมกจริงๆ”
       เติมศักดิ์บอก โจรส่ายปืนไปมา
       “ขอบใจมากนะเฮีย”
       “ไม่ต้องมาขอกจาย อั๊วไม่ล่ายให้ลื้อ”
       “ไอ้เสือถอย”
       โจรส่ายปืน หันหลังออกไปอย่างรวดเร็ว กิมฮวยดึงมือน้ำเพชรออก แล้วตะโกนลั่น
       “ช่วยล่วย ช่วยล่วย โจงป้งร้านอั๊ว”
       น้ำเพชรรีบโทรศัพท์
       “191 ใช่มั้ยคะ”
       เติมศักดิ์รีบตามกิมฮวยออกไปตะโกนเรียกตำรวจหน้าร้าน
      
       โจรหนีมาขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าร้านแต่อารามรีบร้อนทำให้โจร คนที่แบกถุงทองตกลงมา ขณะที่โจรอีกคนรีบขี่รถออกไป โจรลุกขึ้นได้รีบวิ่งตาม
       “เฮ้ย รอด้วย รอด้วย”
       เติมศักดิ์และกิมฮวย ร้องให้คนช่วยอยู่หน้าร้าน แต่ทุกคนในที่นั้นไม่กล้าเพราะโจรมีปืน โจรรีบจอดรถรับโจรอีกคน จังหวะนั้นเซียนพาหมอแม่นมาถึงหน้าร้านพอดี ขณะที่น้ำเพชรออกมาช่วยตะโกน
       “ช่วยล่วย...ช่วยล่วย”
       “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย โจรปล้นร้านทอง”
       “ช่วยล่วย”
       เซียนไม่ฟังอีร้าค่าอีรม เมื่อน้ำเพชรตะโกนชี้ไปทางมอเตอร์ไซค์โจรก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปทันที
       “เฮ้ย ให้ข้าลงก่อน ไอ้เซียน”
       หมอแม่นร้องลั่นเพราะยังไม่ทันได้ลงจากรถ
       “เกาะแน่นๆ นะป้า”
       เซียนบิดมอเตอร์ไซค์ตามไปอย่างรวดเร็ว
  เซียนบิดรอตามโจรไปอย่างกระชั้นชิด โดยมีหมอแม่นร้องลั่นเกาะหลังอยู่
       “ไอ้เซียน ปล่อยกูลงเดี๋ยวนี้”
       ทั้ง 2 ฝ่ายไล่ตามกัน โดยเซียนโชว์ความสามารถเต็มที่ ผู้คนที่อยู่ตามตรอกซอกซอยที่รถผ่านรีบหลบกันระเนระนาด โจรมองทางกระจกเห็นเซียนไล่เข้ามาใกล้ทุกที ขณะที่หมอแม่นยังร้องลั่น
       “ปล่อยกูลงเดี๋ยวนี้”
       รถตำรวจแล่นตามมาอีก ในที่สุดด้วยความเร็วของเซียน ทำให้โจรพะวักพะวง จนรถเสียหลักล้มลง เซียนหยุดรถ ในขณะที่รถตำรวจที่ตามมาเข้าจับโจรไว้ได้โดยละม่อม
      
       เติมศักดิ์เดินไปส่งตำรวจหน้าร้านพร้อมขอบอกขอบใจ ในขณะที่กิมฮวยส่งเสียงอยู่ในร้าน
       “ธ่อเอ๊ย! ถ้าอั๊วรู้ว่าเป็นปืงปอง อั๊วลุยแหล็กไปเลี้ยว”
       น้ำเพชรยกถาดวางแก้วน้ำหวานมาให้เซียนกับหมอแม่น โดยหมอแม่นยังนั่งดมยาจะเป็นลม ส่วนเซียนนั้นคอยแอบมองน้ำเพชรด้วยนัยน์ตาเยิ้มตลอด
       “ขอเป็นยาหอมให้ป้าดีกว่า”
       น้ำเพชรหันไปสั่งพนักงาน
       “สุมาลี ไปชงยาหอมมาให้ป้าแม่นแกหน่อยซิ”
       “ค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ”
       สุมาลีเดินเข้าไปชงยาหอม ขณะที่เติมศักดิ์เดินเข้ามา
       “อาเซียง”
       เซียนรีบหันมา
       “จ๊ะจ๋า...เอ๊ย ! ครับผม”
       “ลื้อทังลีมั่ก ...ขอกใจ... แท้งกิ้ว กังเสี่ย อั๊วเป็งคงไม่เอาเปียกใคร ใครทังอารายให้...อั๊วต้องตอกแทง”
       สุมาลียกยาหอมเข้ามาให้น้ำเพชร
       “นี่จ้ะป้า”
       “ขอบใจมากจ้ะ คุณหนู”
       กิมฮวยหยิบกระเป๋าสตางค์มาเปิด ท่ามกลางสายตาของแต่ละคนที่มองเป็นจุดเดียว มือของกิมฮวยหยิบใบละ 20 บาทขึ้นมา กิมฮวยชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมองทุกสายตาที่จ้องมา
       “ล้อเล่ง” ทุกคนถอนใจเฮือก กิมฮวยหยิบใบละ 20 บาทขึ้นมาอีกใบส่งให้เซียน “ฮ่ะ อั๊วให้สองใบ”
       ทุกคนทำหน้าเซ็งๆ
       “อาฮวย”
       “หม่าม้า”
       กิมฮวยยกมือห้ามทันที
       “หยุก พวกลื้อไม่ต้องห่วงอั๊ว...อาเซียงอีช่วยเราขะหนักนี้ (ขนาดนี้) แล้วจะให้ยี่จั๊กล่ายยังไง จริงมั้ย อาเซียงเอาปาย อั๊วให้หมกเลย”
       เซียนมองเงินนั้น สีหน้าแต่ละคนมองเซียนอย่างหวาดเสียวว่าจะพูดอย่างไร
       ในที่สุดเซียนตัดสินใจยกมือไหว้ แล้วรับมาด้วยสีหน้าราวตื้นตันหนักหนา
       “ขอบพระคุณมากครับ”
       น้ำเพชรเบิกตากว้างแล้วเม้มปาก มองเซียนอย่างโกรธจัด
       “นั่งงาย อั๊วบอกเลี้ยวว่าอีต้องพอใจ อีขี่มอ’ไซค์ วันนึงจ่ายไม่กี่บัก นี่ช่วยอั๊วเหลียวเลียวจ่ายตั้งสี่สิก”
       เซียนพยายามระงับอารมณ์
       “ผมลาละครับ ... เจ๊สินเธาว์”
       เซียนกำเงินแน่น แล้วเดินออกไป น้ำเพชรตัดสินใจเดินตาม ขณะที่กิมฮวยหันมาทางทุกคน
       “อาเฮีย เมื่อกี้อีเรียกอั๊วว่าอะไร”
       “เจ๊สิงเทา”
       “เจ๊สิงเทา ชื่อเพราะลี”
       กิมฮวยชอบอกชอบใจ ขณะที่เติมศักดิ์ส่ายหน้า
      
       เซียนเดินเร็วๆ ไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดแอบไว้ น้ำเพชรรีบเดินตาม เซียนหย่อนเงินลงในขันขอทานขณะเดินผ่าน น้ำเพชรมีสีหน้าละอายแทนแม่และโกรธเซียน เซียนเดินมาจนถึงมอเตอร์ไซค์
       “นายเซียน” เซียนค่อยๆ หันกลับมามอง “ฉัน... เอ้อ... ฉันขอโทษแทนหม่าม้า...” น้ำเพชรหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา แล้วหยิบใบละพันส่งให้เซียน 10 ใบ เซียนก้มลงมองเงินปึกนั้น
       “ไม่ได้ ต้องทำหน้าเป็นพระเอก”
       เซียนพึมพำบอกตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองน้ำเพชร ทำหน้าเคร่งขรึม
       “อะไรหรือครับ”
       “เงินจ้ะ ....หมื่นบาทเป็นค่าตอบแทนที่นายช่วยร้านของฉันไว้”
       เซียนคว้าหมับทันที ไม่มีขอบอกขอบใจแล้วรีบเดินไปที่รถ ขณะน้ำเพชรมองงงๆ เซียนชะงัก แล้วหยุดเดิน
       “ไอ้เซียน แกกำลังเห็นเงิน 1 หมื่นดีกว่าผู้หญิงที่หลงรักมานานเรอะ...คำตอบคือ...ใช่ เอ๊ย! ไม่ใช่” เซียนมองเงินอย่างสุดแสนเสียดาย แล้วหันขวับมา ทำหน้าแบบโดมผู้จองหอง “คุณน้ำเพชร”
       น้ำเพชรหันกลับมามอง เซียนเดินเข้ามาใกล้ มือกำเงินแน่นด้วยความเสียดาย
       “คุณกำลังดูถูกผม”
       “อะไรอีกล่ะ”
       น้ำเพชรทำเสียงรำคาญเซียนชูมือที่กำเงินขึ้น ทำหน้าตามีศักดิ์ศรีมาก
       “เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะคนอย่างผม…” เซียนจับมือน้ำเพชรแบออก แล้ววางเงินลงไปแล้วจับกำเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “เอาเงินของคุณคืนไป ที่ช่วยก็เพราะผมแค่ทำสิ่งที่ถูกต้องตามสัญชาติญาณเท่านั้น”
       น้ำเพชรกระชากมือออก
       “ตามใจ ไม่เอาก็อย่าเอา หยิ่งไม่เข้าท่า”
       น้ำเพชรเอาเงินคืนใส่กระเป๋า แล้วหันหลังเดินกลับ
       “แค่เนี้ย” เซียน “มองตามอย่างผิดหวังสุดๆ “ พูดได้แค่เนี้ย รู้งี้เอาเงินไว้ก็ดี เฮ้อ”
       เซียนเดินมาขี่รถออกไป
      
       รถราคาแพงแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านมหาทรัพย์รุ่งเรืองกิจแล้วคนรถรีบลงมาเปิดประตูให้ ขณะที่สมทรงรีบเดินออกมารับ
       “ปลาใหญ่มาแล้วใช่มั้ย” จันทร์ทิพย์ ภรรยาของเกริกก้องถามสมทรง
       “ค่ะ พอมาถึงก็เข้าไปซุบซิบๆ กับ คุณผู้ชายเลยค่ะ”
       “เดี๋ยวเข้าไปคุยข้างใน ของอยู่ในรถ เอาเข้าไปด้วย”
       “ค่ะ”
       จันทร์ทิพย์เดินเข้าไป สมทรงรับของที่คนรถเปิดท้ายรถหยิบส่งให้
จันทร์ทิพย์เดินเข้ามาในห้อง วางกระเป๋าแล้วทรุดตัวลงนั่ง เอนหลังพิงพนักหลับตาลงครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วสมทรงหอบหิ้วถุงต่างๆ เข้ามาจัดวางตรงหน้าเตียงอย่างเป็นระเบียบ จันทร์ทิพย์ลืมตาขึ้น
       “ไหน! มันเข้าไปคุยกันว่ายังไง”
       สมทรงยิ้มแห้งๆ
       “สมทรงไม่ได้ยินค่ะ”
       “อ้าว แล้วยังมีหน้ามารายงาน”
       “โถ คุณจันทร์ขา เค้าพูดกันค้อย...ค่อย ...แถมยังเปิดประตูมากระแทก สมทรงโครมใหญ่เลยค่ะ”
       “สมน้ำหน้า...ออกไปได้แล้ว เสียเวลาฟังจริงๆ เลย” สมทรงรีบลุกเดินออกไป “โง่”
       จันทร์ทิพย์เดินกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
       โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานเกริกก้องดังขึ้น
       “ว่าไง” เกริกก้องถามเมื่อรับสาย
       “ปลาใหญ่มาถึงแล้วค่ะ เห็นสมทรงรายงานว่า พอมาถึง ไอ้เจ้าครรชิตก็รีบพาเข้าไปหาพี่เกรียงไกรทันที”
       “สาระแนแส่ดีนัก เห็นรีบไปคอยเสนอหน้ารอรับแต่เช้า จันทร์ก็เฉยๆ ไว้ก่อน อย่าไปแสดงท่าทางอะไรให้มันรู้สึก”
       “รู้แล้วละค่ะ จันทร์โทรมารายงานแค่นี้แหละ”
       จันทร์ทิพย์ปิดโทรศัพท์ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
      
       ขณะนั้นครรชิตกำลังบรรยายให้ปลาใหญ่ซึ่งนิ่งฟังอย่างตั้งใจ
       “เนื่องจากธุรกิจของอาณาจักรมหาทรัพย์ ครอบคลุมทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสารทั้งหมด คุณพ่อของคุณปลาใหญ่จึงมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้นประมาณ 1 แสนล้าน” ปลาใหญ่เหลือบตามองครรชิต “เพราะอย่างนั้น คุณพ่อท่านถึงไม่ไว้ใจใครนอกจากคุณปลาใหญ่” ปลาใหญ่ถอนใจ สีหน้ามีริ้วรอยกังวล “คุณปลาใหญ่มีความรู้ ความสามารถ มีความมั่นใจและตั้งใจสูง ถึงอายุจะน้อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค” เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ “ใครครับ”
       “ฉันเอง”
       ครรชิตมองสบตาปลาใหญ่แว่บหนึ่งแล้วเดินไปเปิดประตู จันทร์ทิพย์ปั้นหน้าตื่นเต้นยินดีทันทีในขณะที่ผวาเข้ากอดปลาใหญ่และจุ๊บ แก้มซ้ายขวา
       “คุณหลานขา คุณหลานกลับมาแล้ว โอ๊ย คุณอาดีใจจนบอกไม่ถูกเลยค่ะ คิดทึ้ง คิดถึง” ครรชิตหันไปยิ้มกับจิ้งจกตุ๊กแก จันทร์ทิพย์จับไหล่ปลาใหญ่ เอียงคอมองซ้ายและขวาอย่างรักใคร่ชื่นชม “ต๊าย คุณหลานเป็นหนุ่มขึ้น...หล่อขึ้น ...เอ๊ะ ปีนี้ คุณหลานอายุเท่าไหร่แล้วคะ”
       “ยี่สิบย่างยี่สิบเอ็ดครับ”
       “โอ๊ะ …My god! ยี่สิบย่างยี่สิบเอ็ด แล้วคุณครรชิตพาเข้ามาอบรมเรื่องการทำงานเนี่ยนะ ไม่เอ๊า...ไม่เอา ...เครียดเว่อร์ อายุขนาดนี้ต้องเฮฮาปาร์ตี้ใช้ชีวิตให้สมวัยค่ะ คุณอาไม่อยากให้คุณหลานต้องสูญเสียความสนุกสนานของวัยรุ่นไป...มานี่ดีกว่า ค่ะ”
       จันทร์ทิพย์จูงปลาอย่างสนิทสนมพาเดินออกไป
       “โอ๊ะ My god”
       ครรชิตทำเลียนท่าจันทร์ทิพย์
      
       จันทร์ทิพย์พาปลาใหญ่มาที่สระว่ายน้ำจากนั้นก็ปล่อยมือปลาใหญ่ เปลี่ยนมาโอบไหล่ แล้วกดปลาใหญ่ลงนั่งตรงเก้าอี้ชุดริมสระ ซึ่งมีร่มใหญ่กางบังแดด
       “นั่งค่ะ คุณหลาน”
       สมทรงเข็นโต๊ะซึ่งวางน้ำหวาน...ไวน์ ... น้ำเปล่า ...ขนมของหวานต่างๆ มาวางเสริฟให้บนโต๊ะ พร้อมกับคุกเข่าส่งโทรศัพท์ให้จันทร์ทิพย์อย่างอ่อนน้อม
       “รินไวน์ให้คุณปลาใหญ่ซิ”
       จันทร์ทิพย์รับโทรศัพท์มาแล้วสั่งสมทรง
       “ผมไม่ดื่มเหล้าหรือไวน์หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลทุกชนิดครับ” ปลาใหญ่บอก
       “โอ๊ะ My God นี่คุณอาหูฝาดไปหรือเปล่าคะ ...เอ๊ะ” แววตาจันทร์ทิพย์เหมือนจะเยาะๆ แว่บหนึ่ง ขณะทำเสียงเหมือนเอ็นดู “หรือว่า...คุณหลานยังดื่มนมอยู่”
       “ถูกต้องครับ…นมมีประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอลมีแต่จะทำลายสุขภาพ”
       จันทร์ทิพย์กำลังยกไวน์ขึ้นแตะปากชะงักค่อยๆ วางแก้วลง
       “แหม...เล่นเอาดื่มไม่ลงเลย” จันทร์ทิพย์พยักหน้ากับสมทรง สมทรงรีบรินน้ำเปล่าให้ทั้ง 2 คน
       “น้ำแร่ค่ะ”
       “วันเสาร์นี้ คุณหลานคงหายเหนื่อยจากการเดินทางแล้วนะคะ คุณอาจะจัดปาร์ตี้ต้อนรับ คุณหลานจะเชิญเพื่อนๆ มาสักกี่คนเอ่ย คุณอาจะได้เตรียมสั่งอาหาร”
       “ผมคิดว่ายังไม่ควรจัดงานรื่นเริงในขณะที่คุณพ่อยังนอนเจ็บอยู่” จันทร์ทิพย์หน้าเจื่อนไป “ที่จริง ผมเองก็ไม่ชอบงานประเภทนี้เท่าไหร่”
       “แล้ว...ตอนอยู่เมืองนอก คุณหลานทำอะไรคะ”
       ปลาใหญ่มองจันทร์ทิพย์เต็มตา
       “เรียนหนังสือครับ มีเวลาว่างจากทบทวนบทเรียนก็ไปรับจ้างเสริฟอาหารบ้าง ล้างจานบ้างหารายได้พิเศษ”
       “แม่เจ้า”
       “Oh My god ทายาทคนเดียวของ “อาณาจักรมหาทรัพย์” เนี่ยนะคะไปรับจ้างเสริฟอาหาร ล้างจาน”
       “แล้วมันเสียหายตรงไหนหรือครับ คุณอา”
       “ก็ตรงที่เขาจะนินทาคุณพ่อไงล่ะคะ”
       “ผมก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นใคร แต่คนที่รู้ก็เห็นมีแต่เขาชมคุณพ่อกันทั้งนั้นว่าเลี้ยงลูกดี” ปลายใหญ่บอกแล้วขยับตัว “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปศึกษางานกับคุณครรชิตต่อ”
       จันทร์ทิพย์ฝืนยิ้มแล้วพยักหน้าเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรดี ปลาใหญ่ก้มศรีษะให้อย่างสุภาพแล้วเดินออกไป
      
       จันทร์ทิพย์ค้อนลมค้อนแล้งตะโกนไล่หลัง “ไอ้เด็กเนิร์ด”
ขอขอบคุณจาก manager.co.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น