วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครแสบสลับขั้ว ตอนที่ 15

 วันต่อมารัญญานั่งกินกาแฟอยู่มุมหนึ่ง สีหน้าแววตาครุ่นคิด ชายสี่เดินเข้ามาด้วยหน้าตาซีดเซียวตาลึกโหล รัญญามองอย่างแปลกใจ
      
       “นั่งซิ”
       “ขอบคุณครับ”
       “ไม่สบายเหรอ หน้าตาแย่มากเลยนะ”
       “ผมถูกผีหลอก”
       “ผีที่ไหน”
       “ผีไอ้เอ็กซ์”
       รัญญาเบิกตากว้าง
      
       รัญญานำเรื่องนี้ไปบอกเกริกก้อง เกริกก้องจึงนัดเจอกับปกรณ์ ใหญ่ เขียว เบ๊ เกริกก้องหันกลับมามองทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       “ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ยัยรันยืนยันหนักแน่นว่าไอ้ชายสี่ มันไม่หลอกแน่”
       “ผมคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ครับ”
       “สมมุติว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วจะมีวิธีแก้ยังไง”
       “ผมสะกดวิญญาณมันเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ”
       “สะกดแล้วทำไมมันทะลึ่งออกมาได้ล่ะ”
       “อาจจะมีอะไรผิดพลาด”
       “ไอ้บ้า พูดง่ายๆ นี่หว่า”
       “มันอาจจะไปที่บ้านคุณก้องเหมือนกัน แต่เข้าไปไม่ได้เพราะเจ้าที่แรง”
       “ไม่แน่ ...มันอาจจะเข้าไปแล้ว ... เราถึงได้กลิ่นวันนั้นไงครับ”
       สีหน้าเกริกก้องเคร่งเครียด
      
       กิมฮวยและเติมศักดิ์นั่งจิบน้ำชากันอยู่น้ำเพชรแต่งตัวทะมัดทะแมงเดินลงมาด้วยสีหน้าแจ่มใส
       “จะไปไหนอีกล่ะ”
       “แหม ... ก็ไปเยี่ยมคุณปลาใหญ่น่ะซิคะ”
       “อาหม่าม้าจะไปด้วย อยากไปเห็นบ้านช่องห้องหอของอี”
       “แต่ตอนนี้อียังไม่พร้อมค่ะ”
       “ลื้อจะไปวุ่นวายกับอีทำไมมากมายน้า อีก็ชอบกับอาปลาใหญ่ตามใจลื้อแล้ว”
       “เพราะว่าอั๊วอยากรู้อยากเห็นน่ะซิ...นี่ อาเติม”
       “ทำไม”
       “เราแอบไปบ้านอาปลาใหญ่กันดีมั้ย”
       “ไม่ดี”
       เติมศักดิ์ลุกเดินออกไป กิมฮวยรีบตาม
      
       เซียนเปิดประตูออกมาพบน้ำเพชรที่มีสีหน้าแจ่มใส
       “คุณน้ำ”
       “ทีแรกน้ำจะเข้าไปที่บ้านลุงป่องแล้ว แต่พอดีเจอสายสะดือ เอ้อ ...สายพิณน่ะคะ เขาบอกว่าคุณอยู่ที่นี่ ...น้ำมีโจ๊กมาฝาก”
       เซียนเบี่ยงตัวให้น้ำเพชรเดินเข้าไปแล้วตัวเองเดินตาม
       เซียนหยิบชาม และช้อนมาให้น้ำเพชร
       “ขอบคุณค่ะ”
       “คุณเจอสายพิณที่ไหน”
       น้ำเพชรชะงักนิดหนึ่ง
       “หน้าปากซอยค่ะ เห็นบอกว่าจะไปสอบ” น้ำเพชรเลื่อนชามโจ๊กให้เซียน แล้วตักชามของตัวเองชิม
       “อร่อยจัง ... ไม่ต้องเติมอะไรก็อร่อย” เซียนนั่งกินเงียบๆ น้ำเพชรเหลือบมองหน้าเซียน “เรื่องเทียนเรียบร้อยดีใช่ไหมคะ”
       เซียนนิ่ง น้ำเพชรสังหรณ์ใจ “คุณปลาใหญ่ ... เรื่องเทียน”
       “คุณน้ำ...เราทุกคนต้องยอมรับความจริง”
       “หมายความว่ายังไง”
       เซียนส่ายหน้าสีหน้าแววตาสลดลง
      
       น้ำเพชรก้าวพรวดๆ เข้ามาในบ้านลุงป่องขณะที่ครรชิตซึ่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ลุกขึ้นยืนมองด้วย สีหน้าตกใจกับสีหน้าอันเกรี้ยวกราดของน้ำเพชร
       “หนูน้ำ”
       “มันอยู่ไหน”
       “ใครล่ะ”
       “ไอ้เซียน ไอ้ตัวเซียน มันอยู่ไหน”
       “ใจเย็นๆจ้ะ”
       “คุณครร นี่คุณลุงครรยังใจเย็นอยู่ได้อีกเรอะ น้ำน่ะทนไม่ไหวแล้ว น้ำจะจะฆ่ามัน... มันอยู่ในนั้นใช่ไหมคะ”
       ขณะพูดน้ำเพชรเดินไปที่ประตูแล้วถีบโครม ก้าวพรวดเข้าไป “ไอ้เซียน”
       ครรชิตยกมือกุมขมับ
      
       ปลาใหญ่นอนซมอยู่ด้วยความเสียใจพลิกตัวหันมามอง
       “คุณน้ำ”
       “ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ไอ้ขี้เกียจสันหลังยาว”
       ปลาใหญ่ค่อยๆ ยันตัวจะลุกขึ้น น้ำเพชรมองอย่างขัดอกขัดใจก้าวพรวดๆ เข้าไปจะกระชากให้ลุกขึ้นเร็วๆ ครรชิต
       รีบเข้ามาแล้วร้องห้าม
       “อย่า หนูน้ำ”
       “ทำไมคะ น้ำหมั่นไส้มัน !ทำสำออยดีนัก”
       “ออกไปพูดกันข้างนอกดีกว่า ลุงจะอธิบายให้ฟัง” น้ำเพชรหันมามองปลาใหญ่ ซึ่งยังนั่งมองมาอย่างอ่อนระโหยอิดโรย “ไปเถอะน่า”
      
       น้ำเพชรชี้หน้าปลาใหญ่คาดโทษ แล้วเดินออกไปกับครรชิตปลาใหญ่ถอนใจยาว 
น้ำเพชรทรุดตัวลงนั่ง สีหน้ายังบึ้งตึง
      
       “ทีแรกลุงก็โกรธจนแทบจะฆ่ามันเหมือนกันแต่มาคิดอีกที นายเซียนเขาจะแกล้งคุณปลาใหญ่ทำไมในเมื่อเขาเองก็ต้องได้รับผลร้ายเหมือนกัน ... ถ้าคุณปลาใหญ่ตาย ... นายเซียนก็ต้องตาย” น้ำเพชรนิ่งอึ้งไปสีหน้ายังคงหงุดหงิด “นายเซียนบอกว่าถูกไอ้เอ็กซ์แกล้ง”
       “มันโกหก”
       “นายมอม นายป๋อง นายชายสี่ก็ยืนยันอย่างนั้น”
       “พวกเดี๋ยวกันก็ต้องเข้าข้างกัน”
       “ลุงยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะตอนนี้ลุงป่องแกพาทั้ง 3 คนนั่นไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์”
       ประตูเปิดออกปลาใหญ่เดินออกมาอย่างอิดโรยซีดเซียวขณะที่ครรชิตพูด
       “ผมเองก็มีส่วนผิดครับ”
       “ก็ยังดีที่รู้ตัว”
       “ถึงจะตกใจยังไง ผมก็ควรจะระวังไม่ให้ชนเทียนล้ม”
       น้ำเพชรหันกลับไปทางครรชิตน้ำตาคลอ
       “แล้วทีนี้จะทำยังไงคะ คุณปลาใหญ่จะอยู่ได้นานแค่ไหน ... ถ้าคุณปลาใหญ่เป็นอะไร แล้วน้ำจะทำยังไง” น้ำเพชรยิ่งพูดยิ่งน้ำตาไหลพรากๆ ปลาใหญ่มีสีหน้าสะเทือนใจสุดๆ “ถึงยังไงไอ้นายเซียนก็ต้องผิด มันดันไปสร้างศัตรูไว้จนทั่ว แล้วผลกระทบไม่ได้มีกับมันคนเดียว คุณปลาใหญ่ก็ต้องพลอยซวยไปด้วย”
       “คุณน้ำ ผมจะทำยังไง คุณน้ำถึงจะหายโกรธ”
       “ไม่มีวัน”
       “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ นายเซียน”
       ปลาใหญ่ขยับตัว
       “คุณลุงไปพูดดีกับมันทำไม”
       ปลาใหญ่ชะงักไปนิดหนึ่ง สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แล้วเดินออกไป
       “หนูน้ำอย่าใจร้ายกับเขานักเลย”
       “ก็...”
       “มันคงเป็นเวรเป็นกรรม เป็นโชคชะตาของทั้ง 2 คนนั่น” น้ำเพชรสะอื้น “เวลาของคุณปลาใหญ่เหลือน้อยลงไปทุกทีแล้ว เราควรมาช่วยกันคิดดีกว่าว่า จะทำยังไงให้ช่วงเวลาน้อยนิดนั้นมีค่ามากที่สุด”
       น้ำเพชรยิ่งสะอื้น
      
       ลุงป่องเดินนำมอม ชายสี่ มอม ป๋องมายังรถปิกอัพเก่าๆ ที่จอดอยู่
       “ไอ้ชายสี่... เอ็งหายไปไหนมาตั้งแต่เช้า ... ลุงป่องเขาต้องมารอตั้งนาน”
       “สังขารก็ไม่ค่อยดี ยังจะห้าวไปอีก”
       ชายสี่ไม่ตอบไม่ยอมสบตาใคร เปิดประตูจะขึ้นรถ มอมดึงไว้
       “เฮ้ย เสด็จเพื่อนถามทำไมไม่ตอบ”
       “อย่ายุ่ง” ชายสี่ปัดมือมอมออก
       “ปล่อยมันเถอะ มันจะไปไหนก็ช่างหัวมัน เดี๋ยววันนี้ทุกคนพัก 1 วัน ไม่ต้องออกรอบ”
       ลุงป่องบอกทุกคนขึ้นรถ ชายสี่หูผึ่งตั้งแต่ป๋องพูดเรื่องลุงป่องไปออกรอบ
       “ลุงป่องน่ะเรอะไปออกรอบตีก๊อป” ชายสี่ถามอย่างตกใจ
       “เราถามมันไม่ตอบ...มันถาม...เราก็ไม่ตอบเหมือนกัน”
       ชายสี่ขบกรามไม่พอใจ ขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
       “ใครโทร. มา” สามหนุ่มถามออกมาพร้อมกัน
       “ยุ่ง... ฮัลโหล ว่าไง ! โอ.เค. ผมกำลังจะกลับ”
       ลุงป่องขับรถออกไป
      
       ลุงป่องรีบขับรถกลับบ้านขณะนั้นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า
       “มาแล้ว...มาแล้ว...มีอะไรก็ว่าไปเลย” สีหน้าแต่ละคนดูเคร่งขรึม โดยเฉพาะน้ำเพชรตาแดงๆ เหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา “ทำไมดูเครียดจัง”
       “เพราะเรากำลังจะพูดถึงเรื่องที่เครียดที่สุด ... คุณปลาใหญ่ครับ ... เชิญ”
       “ขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ... เวลานี้ผมกับนายเซียนยอมรับความจริงแล้วว่า เราสองคนคงมีอายุยืนยาวไปไม่ได้มากเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ว่าทุกคนจะพยายามช่วยสักแค่ไหน ก็ไม่อาจเอาชะตากรรมได้”
       น้ำเพชรก้มหน้า น้ำตาไหลออกมาอีกขณะที่คนอื่นๆ น้ำตาคลอ
       “ผมเองก็ไม่ได้ห่วงอะไรอีกแล้วแม่แต่สมบัติพัสถาน ใครอยากได้ก็ให้เขาไป แต่ปัญหาอยู่ที่ผมรับปากคุณพ่อไว้ ว่าจะดูแลทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนมา เพื่อมอบเป็นการกุศลต่างๆ และจะมีส่วนหนึ่งที่จะเอามาพัฒนาชุมชนแห่งนี้”
       “พ่อช่างมีน้ำใจประเสริฐเหลือเกิน”
       “ให้ทุนการศึกษาเด็กๆ ...ช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของทุกคนโดยเฉพาะทางด้านสุขอนามัย”
       ปลาใหญ่สะอื้นฮัก
       “เป็นอะไร ไอ้เซียน”
       “ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกตัวว่าไร้ค่ามาก ยิ่งฟังปลาใหญ่พูด ผมยิ่งรู้สึกตัวว่าเป็นเพียงธุลีดิน”
       “นายน่ะแย่ยิ่งกว่านั้นอีก”
       ปลาใหญ่ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วก้มกราบน้ำเพชร
       “ผมต้องขอประทานโทษคุณน้ำที่ไม่เจียม Body บังอาจเผยอหน้าไปหลงรัก จนทำให้เกิดเรื่องบ้าๆพวกนี้ขึ้น คุณน้ำจะโหสิให้ผมได้มั้ยครับ”
       น้ำเพชรเม้มปาก คอแข็ง
       “อโหสิให้เขาเถอะ น้ำเพชร จะได้ไม่เป็นเวรเป็นกรรมกันต่อไป”
       “ถ้าคุณหนูไม่โหสิ ก็อาจจะต้องไปเจอกันชาติหน้าอีก”
       “งั้นฉันอโหสิ”
       “งั้นผมขอยกเลิก”
       “คุณปลาใหญ่ ... ต่อไปเถอะครับ ... ไอ้เจ้าเซียนมันพล่ามเสียเวลา”
       “ผมจริงจังและจริงใจนะครับ”
       “แผนแรก ต้องอาศัยลุงป่องและนายมอมกับนายป๋อง”
       “อย่าเพิ่งให้ชายสี่เข้ามานะคะ น้ำยังไม่ไว้ใจเพราะเท่าที่รู้เขาสนิทกับคุณรันมาก”
       “ครับ ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
      
       ที่บ้านชายสี่ขณะนั้น ชายสี่กำลังคุยกับมอมและป๋องเรื่องลุงป่อง
       “พวกเอ็งไม่สงสัยกันหรือว่า ลุงป่องแกไปเอาเงินเอาทางจากไหนไปตีกอล์ฟ”
       “แกคงมีมรดก”
       “มีมรดกแล้วทำไมมาอยู่ที่นี่”
       “เพราะแกอยากอยู่”
       ชายสี่อ้าปากจะถามอีก
       “อย่าถามอีกนะเว้ย ! ข้าจะนอนแล้ว อ่อนเพลีย”
       “ถามอีกคราวนี้มีเรื่อง”
       เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชายสี่หยิบมาดูแล้วรีบเดินออกไป มอมและป๋องหลับอย่างอ่อนเพลีย
      
       ชายสี่หลบออกมาคุยโทรศัพท์นอกบ้าน
       “สวัสดีครับ.... คุณรัน .... อ๋อ ยังไม่มีอะไรคืบหน้าครับ ...ถ้ามีแล้วผมจะรีบโทร.บอก ... ครับ ... ครับ .... ขอบคุณมากครับ”
       ชายสี่เก็บโทรศัพท์ด้วยสีหน้าแช่มชื่น ชายสี่ยืนคิดครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป
      
       เซียนเบือนหน้ามาทางครรชิต
       “คุณครรชิต ผมอยากจะทำบุญ”
       ครรชิตและลุงป่องยกมือท่วมหัว น้ำเพชรและปลาใหญ่รีบทำตาม
       “ขออนุโมทนา...”
       “แล้วแกล่ะ ไอ้เซียน อยากจะทำบุญบ้างมั้ย”
       “อยากซิลุง แต่มันขาดแคลนทุนทรัพย์”
       “ก็เงินที่นายขโมยคุณปลาใหญ่ไปใช้ไง หมดแล้วเรอะ”
       “ยังครับ”
       “ก็เอาเงินนั่นแหละมาทำบุญ”
       “งั้นบุญก็ต้องตกเป็นของปลาใหญ่อีกน่ะซิครับ”
       “ใช่”
       “อ้าว”
       “ฉันยกให้นาย นายเอาไปทำบุญได้เลย”
       “ขออนุโมทนา”
       น้ำเพชรค้อนปลาใหญ่อย่างขวางๆ แล้วชะงักเมื่อเห็นหัวใครแวบๆ อยู่ข้างนอก น้ำเพชรจุ๊ปาก
       “อะไร”
       “เบาๆ ค่ะ มีคนอยู่ข้างนอก”
       “ใคร”
       “ไม่ทราบค่ะ”
       “ผมเอง! ทุกคนทำเป็นคุยกันต่อ”
      
       ลุงป่องลุกขึ้นเดินออกไป
ลุงป่องเดินออกมาแล้วย่องๆไปบริเวณหลังบ้านเห็นชายสี่กำลังแนบหน้า แอบฟัง ลุงป่องส่ายหน้าเดินไปใกล้แล้วสะกิดชายสี่ปัดโดยไม่ได้หันมาดู
      
       “อย่ายุ่ง” ลุงป่องสะกิดอีก “บอกว่าอย่ายุ่ง” ลุงป่องเขกหัวป๊อกใหญ่ “โอ๊ย ไอ้ ...” ชายสี่หันมาแล้วชะงักหน้าเหยทันที “ลุงป่อง”
       “เอ็งมาทำอะไรแถวนี้”
       “คือ...ผมมาเยี่ยมลุงน่ะ”
       “มาเยี่ยมแล้วทำไมไม่เข้าไปข้างใน กลับมาด้อมๆ มองข้างนอก แบบไม่บริสุทธิ์ใจนี่หว่า”
       “ผมเปล่า”
       “แล้วแข็งแรงดีแล้วเรอะ”
       “ยังจ้ะ ยังมึนๆ อยู่เฉยแต่อยากมาเยี่ยมลุง”
       “เพิ่งเจอกันเมื่อกี้นี้เอง จะมาคิดถึงอะไรนักหนา” ชายสี่ยิ้มแห้งแล้ง “กลับไป แล้วก็อย่ามาทำตัวเป็นสาบลับแถวนี้”
       “ครับผม”
       ชายสี่เดินออกไป ลุงป่องส่ายหน้า
       “ไว้ใจไม่ได้จริงๆ”
      
       ทุกคนกำลังปรึกษากันอยู่ขณะที่ลุงป่องเดินกลับเข้าหา
       “เจอใครหรือเปล่า”
       “ชายสี่”
       “มันมาทำไม”
       ลุงป่องอ้าปากยังไม่ทันพูดออกมา ปลาใหญ่ขัดขึ้นก่อน
       “มาแทรกซึมบ่อนทำลาย ไอ้ชายสี่เนี่ยเห็นหน้าตามันโง่ยังงั้น ความจริงแล้วมันโง่ยิ่งกว่าหน้าตาอีก”
       “ยังกับนายฉลาดนักนี่”
       “นายประกาศตัวว่าจะเป็นคนดี ใจบุญสุนรับประทาน...”
       “ใจบุญสุนทานครับ”
       “ก็นั่นแหละ ในเมื่อนายตัดสินใจดีๆได้แล้ว นายก็ควรจะรักษาความรู้สึกดีๆ นั้นไว้”
       “ได้ยินมั้ย นายเซียน”
       “เต็ม 2 หูเลยครับ”
       “ต่อไปนี้ไม่ว่าจะวางแผนอะไร เราต้องกันไอ้ชายสี่ออกไปกินหมี่เกี๊ยว”
       ทุกคนพยักเพยิดกัน
      
       อีกด้านหนึ่งเกริกก้องนัดเจอกับปกรณ์ที่ร้านอาหาร
       “นายก็รู้ว่า ฉันไว้ใจนายมาก”
       “ครับ ... แล้วผมก็ซาบซึ้งกับความไว้วางใจของคุณก้องมากเหมือนกันแล้วก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้คุณก้องต้องผิดหวังเลย”
       “นายต้องพิสูจน์”
       “ครับ อีกวัน 2 วัน คุณก้องคอยฟังข่าวดีจากผมได้เลย”
       เกริกก้องพยักหน้าด้วยความพอใจ
      
       สายพิณในชุดนักศึกษาเดินปาดเหงื่อมาหน้าบ้านสายไหม
       “ป้า ป้าไหม อยู่หรือเปล่าจ้ะ”
       เซียนเปิดประตู เดินออกมา
       “ป้าไหมไม่อยู่ ไปปฏิบัติธรรมกับยายปิ่น”
       “เออ ...ใช่ บอกตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วฉันก็ลืมไป”
       สายพิณหันหลังกลับเซียนรีบถาม
       “วันนี้สอบได้หรือเปล่า”
       สายพิณหันขวับมา
       “นายต้องถามใหม่ว่า สอบได้ A หรือเปล่า”
       “แล้วได้ไหมล่ะ”
       “ไม่ได้หรอก”
       “ทำไมถึงกลับค่ำ”
       สายพิณหยุดชะงัก แล้วค่อยๆ หันกลับมา ท้าวสะเอว
       “เป็นพ่อฉันเรอะ ถึงได้มาถามซอกแซกแบบนี้”
       “ผมแค่สงสัยว่า ทำไมมหาวิทยาลัยเมืองไทยถึงได้สอบเสร็จเอาค่ำมืด”
       “ฉันสอบเสร็จตั้งนานแล้ว แต่แวะไปติวกับเพื่อนต่อเพราะจะต้องสอบวันมะรืนนี้...เป็นไง ชัดมั้ย! เสด็จพ่อ”
       สายพิณหันหลังเดินไป
       “ไม่อยากรู้หรอกหรือว่า วันนี้คุณตกข่าวอะไรไปบ้าง” สายพิณหันกลับมาเลิกคิ้ว “ผมมีอาหารเลี้ยงด้วย”
       สายพิณหรี่ตามองอย่างชั่งใจ
      
       เซียนยกจานและช้อนส้อมมาวางให้สายพิณซึ่งกำลังมองกล่องพิซซ่าบนโต๊ะกินข้าวพลางกลืนน้ำลายเซียนเปิดกล่องและแบ่งใส่จานให้
       “หิวใช่มั้ยละ”
       สายพิณเชิดหน้ากลบเกลื่อน
       “เปล่า! แต่จะช่วยนายกิน เพราะนายคงกินคนเดียวไม่หมด! เสียดายเงิน” เซียนแบ่งใส่จานตัวเอง แล้วกิน สายพิณกินอย่างเอร็ดอร่อย “ไหนเมื่อกี้นายว่า ฉันตกข่าวอะไร”
       “ข่าว...” เซียนชะงักและนิ่วหน้าแล้ววางพิซซ่าลง
       “เป็นอะไรน่ะ” สายพิณตกใจเซียนส่ายหน้าท่าทางเหมือนพูดไม่ออก “เฮ้ย! อย่าเพิ่งตายนะ...” เซียนตกลงจากเก้าอี้และตัวงอ สายพิณรีบตามมาทรุดตัวลงข้างๆแล้วประคองหัวขึ้น “เป็นอะไรน่ะ ปลาใหญ่...”
       เซียนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงฝาบ้าน
       “ปลาใหญ่”
       เซียนค่อยๆลืมตาขึ้น
       “ค่อยยังชั่วแล้ว”
       “นายเป็นอะไรของนายน่ะ”
       “อยู่ดีๆ ผมก็หายใจไม่ออกขึ้นมาเฉยๆ..นึกว่าจะไปซะแล้ว”
       “อย่ามาทำเป็นพูดเรื่องความเป็นความตายนะ! ฉันไม่อยากฟัง” สายพิณบอกเสียงสั่น
       “กลัวผมตายเหมือนกันหรือ”
       “ทุเรศ! ฉันกลัวพี่เซียนของฉันตายย่ะ”
       เซียนหน้าสลดลง แล้วพยายามพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง
       “คุณกลับไปเถอะ”
       “ไม่เป็นอะไรแน่นะ”
       เซียนพยักหน้า สายพิณลังเล็กน้อย แล้วจะเดินออกไป
       “เอาพิซซ่าไปด้วย” สายพิณหันมามอง “เอาไปเถอะ...ผมกินไม่ได้แล้ว”
       เซียนปิดกล่องพิซซ่าส่งให้
       “ขอบใจ”
       เซียนพยักหน้าและทรุดตัวลงนั่ง มองสายพิณถือกล่องพิซซ่าเดินออกไป
      
       สายพิณกลับมาบ้านวางกล่องพิซซ่าและข้าวของลงบนโต๊ะเดินไปใส่กุญแจ ประตูบ้านแล้วเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งทอดสายตามองกล่องพิซซ่าแล้วนึกถึง เซียนตอนที่ทรุดตัวลง...สายพิณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาปลาใหญ่ทันที
       “พี่เซียนเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
       สายพิณกดโทรศัพท์ แล้วรอครู่หนึ่ง
       “มีอะไรหรือหนูสายพิณ”
       “พี่เซียนเป็นอะไรคะ คุณครรถึงรับโทรศัพท์แทน”
       “เมื่อกี้อยู่ดีๆก็ฟุบไปเฉยๆ แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว...นี่ลุงกำลังจะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณปลาใหญ่”
       “เมื่อกี้ปลาใหญ่ก็เป็นเหมือนกันค่ะ ตอนนี้ดีแล้ว”
       “ลุงจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
       เสียงโทรศัพท์ถูกตัดไป
       “อีตาคุณลุงครรนี่ จะทิ้งพี่เซียนมาได้ยังไง”
       สายพิณสะพายกระเป๋าและไขกุญแจบ้านออกไปอีก
      
       สายพิณรีบมาหาปลาใหญ่ที่บ้าน ขณะนั้นปลาใหญ่นั่งอยู่หน้าบ้านสีหน้าท่าทางเหมือนกำลังพยายามจะสูดอากาศ บริสุทธิ์ สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดแล้วรีบตรงมาที่ปลาใหญ่ด้วยความเป็นห่วง
       “พี่เซียน! เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
       “ค่ำมืดป่านนี้มาทำไม”
       ปลาใหญ่มองสายพิณอย่างตำหนิ สายพิณชะงักสีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ
       “กลับบ้านไป”
       “พิณเป็นห่วงพี่เซียน”
       “พี่จะเข้าโลงอยู่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง! ห่วงตัวเองเถอะ..ค่ำๆมืดๆ เป็นผู้หญิงออกจากบ้านคนเดียวอันตรายทั้งนั้น”
       “พี่เซียน...” สายพิณน้ำตาคลอ
       “บอกให้กลับไปไง”
       สายพิณน้ำตาร่วงและหันหลังเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์และขับออกไป
       
       สีหน้าปลาใหญ่คลายความเครียดเคร่งลง ขณะเอ่ยออกมา “พี่จะพยายามทำให้พิณตัดใจจากพี่ให้ได้...”
source: manager.co.th  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น