วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครมณีแดนสรวง ตอนที่ 20 อวสาน (ต่อ)

สการออกมานอกถ้ำ กำเชือกสตถมุขนาคขึ้นมาขบกรามแน่นด้วยความโกรธแค้นอสุเรศ แต่ยังไม่ทันจะไปต่อ อุ้มสมก็ประครองชิโลที่รู้สึกตัวแล้วตามออกมา
      
       “ผู้...ผู้กอง”
       “ชิโล!”
       ชิโลพยักหน้าให้อุ้มสมปล่อยมือแล้วเดินเหนื่อยๆหน้าซีดเข้าไปหาสการ
       “คุณไม่ต้องไปตามหาอสุเรศหรอกผู้กอง ป่าหิมพานต์กว้างใหญ่มาก อสุเรศคงไม่ยอมให้โผล่ออกมาจับง่ายๆ”
       “แต่ผมตามมาช่วยคุณถึงที่นี่ได้แล้ว แล้วคุณจะปล่อยให้ผมนั่งดูตายไปต่อหน้าเหรอชิโล”
       ชิโลน้ำตาเอ่อ
       “แค่คุณตามหาฉันจนเจอ ฉันก็ดีใจแล้ว ฉันไม่อยากได้อะไรมากกว่านี้อีก”
       ชิโลพูดไปเรี่ยงแรวก็แทบไม่มีจะทรุดลง สการรีบประครองกอดเอาไว้
       “ทิ้งให้ฉันตายอยู่ที่นี่แล้วกลับไปโลกมนุษย์เถอะ”
       “ไม่! ผมมาเพื่อพาคุณกลับไปด้วยกัน คุณจะต้องได้กลับไปสวรรค์”
       “ผู้กอง...ถ้าคุณช่วยให้ฉันได้กลับสวรรค์จริงๆ แล้วคุณล่ะ ฉันเป็นนางฟ้า คุณเป็นมนุษย์คุณจะไม่ได้เจอกับฉันอีก”
       สการนิ่งไป ชิโลน้ำตาเริ่มไหลอาบแก้ม มือประครองหน้าสการอย่างเสียใจ สการจับมือเธอมากุมยืนยันตั้งใจ
       “ถึงชาตินี้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ผมก็จะตามไปรักคุณทุกๆชาติ”
       สการดึงชิโลมากอดแน่น อุ้มสมเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้
       “ชิโล...เรารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงชีวิตผู้กอง แต่เจ้าผลักไสความรักของผู้กองไปจากเจ้าไม่ได้หรอก เขาสาบานยอมตายเพื่อมาช่วยเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าต้องเชื่อมั่นในความรักของผู้กอง”
       “อยู่กับผมนะชิโล ผมจะไม่ปล่อยมือจากคุณ”
       อุ้มสมเตือนสติ
       “เรายังพอมีเวลาอีก 3 วัน พวกมันเองก็โดนพิษของนาคไป ตอนนี้คงไปที่สระอโนดาตเพื่อใช้น้ำจากสระถอนพิษ เราอาจจะตามไปทันพวกมันก็ได้”
       “นะชิโล...ความรักพาให้ผมตามมาพบคุณ ความรักก็จะช่วยพาคุณกลับสวรรค์ได้เหมือนกัน”
       สการบีบมือแน่น ชิโลน้ำตลคลอมองสการก่อรนจะพยักหน้ารับ สการดึงเธอมากอด
      
       ที่สระอโนดาตที่เป็นแอ่งน้ำสีเขียวมรกตสวยงาม สการอุ้มชิโลพามานั่งที่ใต้ต้นไม้ข้างสระ ครู่หนึ่งอุ้มสมตามเข้ามาหลังจากไปสำรวจรอบๆ
       “เป็นไงบ้างอุ้มสม เจอร่องรอยของพวกมันรึเปล่า”
       “เราคงมาช้าไป พวกมันมาถึงก่อนและก็หนีไปแล้ว ทีนี้ก็คงมืดแปดด้านไม่รู้ว่าจะตามหามันที่ไหนได้อีก”
       สการหน้าเสียหันไปเห็นชิโลหน้าซีดๆดูอาการไม่ค่อยดี
       “ถ้าน้ำจากสระอโนดาตช่วยรักษาพิษของนาคให้พวกมันได้ แล้วใช้ช่วยชิโลได้มั้ย”
       “ไม่ได้หรอก เพราะชิโลโดนคำสาปของอสุเรศ ทางเดียวคือต้องให้อสุเรศถอนคำสาป แต่น้ำจากสระอโนดาตพอจะช่วยให้ชิโลดีขึ้นเท่านั้น”
       สการมองชิโลอย่างห่วงใย
       “ไหวมั้ยชิโล จะได้มีแรงไปต่อ”
       ชิโลพยักหน้ารับ สการช่วยประครองพาชิโลไปดื่มน้ำจากสระอโนดาต สการกวักน้ำช่วยล้างหน้าล้างตาให้อย่างทะนุถนอมและเป็นห่วง สองคนสบตากันซึ้งได้ครู่ ระหว่างนั้นเองทั้งหมดก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
       “ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
       สการประครองชิโล ส่วนอุ้มสมวิ่งนำเข้ามาก่อนถึงที่แอ่งน้ำตกอีกแห่ง ตรัสวิน ครุฑน้อยกำลังจะจมน้ำ ตีน้ำร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น สการไม่รอช้ารีบกระโดดลงไปช่วยทันที
      
       สการช่วยชีวิตตรัสวินพยุงพาขึ้นจากน้ำได้ ตรัสวินแทบหมดแรงนอนแผ่ สำลักน้ำพุ่งพรวดไอค่อกแค่ก
       “ขะ...ขอบใจมากนะ โอ้ย...นึกว่าต้องจมน้ำตายในสระอโนดาตแล้วซะอีก”
       สการมองตรัสวินอย่างสงสัย เพราะไม่เคยเห็นเด็กที่มีปากแหลมเป็นจงอย แถมยังปีปีก ดวงตาก็ดูน่ากลัว
       “อุ้มสม...นี่มันตัวอะไร”
       “ครุฑไง ในโลกมนุษย์ก็มีรูปปั้นให้เห็นอยู่ไม่ใช่เหรอ”
       “รูปปั้นครุฑน่ะเคยเห็น แต่ครุฑตัวกะเปี๊ยกแบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน”
       ชิโลพูดขึ้น
       “เรียกว่าครุฑน้อยไง”
       ตรัสวินหันขวับแสดงท่าทางเย่อหยิ่งใส่
       “อย่ามาเรียกเราว่าครุฑน้อยนะ เราชื่อตรัสวิน”
       ชิโลยิ้มๆ
       “ขอโทษด้วยนะจ๊ะตรัสวิน”
       ตรัสวินมองทั้งสามอย่างแปลกใจสงสัย
      
       “พวกเจ้าดูแปลกๆ ไม่ใช่สรรพสัตว์ในหิมพานต์นี่...” ตรัสวินดมฟุดฟิดๆแล้วตกใจ “กลิ่นแบบนี้ นี่ มนุษย์มาอยู่ที่ป่าหิมพานต์ได้ยังไง”
อุ้มสมส่ายหน้า
       
       “ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้เจ้าครุฑน้อย”
       “เราชื่อตรัสวิน”
       “ได้...ตรัสวินก็ตรัสวิน พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเรื่องมันยาว เอาเป็นว่าเจ้าเห็นอสูรอยู่แถวนี้บ้างรึเปล่า”
       “อสูร...พวกอสูรก็ต้องอยู่ที่พิภพอสูรสิ จะมาอยู่ที่หิมพานต์ได้ยังไง”
       “ถามว่าเห็นรึเปล่า ไม่ได้ถามว่าพวกมันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
       “เราไม่รู้ พวกเจ้าก็เห็นอยู่ว่าเราตกลงมาในสระอโนดาตแล้วจะเห็นอสูรได้ยังไง”
       ชิโลแปลกใจ
       “แล้วลูกครุฑอย่างเธอตกลงมาในสระอโนดาตได้ยังไง ปกติครุฑจะต้องอยู่ที่สุบรรณพิมาน บนยอดไม้ฉิมพลีไม่ใช่เหรอ”
       ตรัสวินชะงักหน้าเสีย อึกอัก
       “เอ่อ...เราจะมาอยู่ที่หิมพานต์นี่ได้ยังไง ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าจะมาสอดรู้สอดเห็น จะไปไหนก็ไปเลย...ตอนนี้เราอารมณ์ไม่ดี เดี๋ยวจับกินเหมือนจับนาคกินหรอก”
       อุ้มสมแอบแขวะ
       “ตัวกะเปี๊ยกยังอวดเก่งอีก สงสัยพ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนให้รู้จักคำว่าบุญคุณ เราว่าเราไปถามหาอสุเรศที่อื่นดีกว่า”
       อุ้มสมชวนสการกับชิโลพากันเดินออกไปทิ้งตรัสวินที่ยืนกอดอกเชิดหน้า หยิ่งๆ แต่พอพวกสการออกไปหมดแล้ว ตรัสวินก็หันมาหน้าตาเจ็บ เพราะปีกได้รับบาดเจ็บจนขยับไม่ได้
      
       สการ ชิโลและอุ้มสมเดินทางกันต่อ อุ้มสมเริ่มเหนื่อยและเริ่มบ่น
       “โอ้ย...ไม่ไหวแล้ว ขอพักเหนื่อยแป๊บนึง”
       อุ้มสมนั่งลงที่โคนต้นไม้เหนื่อยหอบแฮ่กๆ สการเห็นชิโลเหนื่อยเหมือนกันเลยพยุงให้นั่งพัก
       “ป่าหิมพานต์มียอดเขาทั้งหมด 84,000 ยอด แต่เรามีเวลาแค่ 3 คืน ไอ้อสุเรศที่ทำแบบนี้มันคงต้องการบีบให้เรายอมแพ้ ยอมคืนชิโลให้มัน”
       สการมองชิโลแล้วกุมมือแน่น
       “เราต้องตามหามันให้เจอ แล้วผมจะใช้นาคจัดการบังคับให้มันถอนคำสาปให้คุณ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะชิโล”
       ชิโลพยักหน้ารับมั่นใจในสการ แต่ระหว่างนั้นมีเสียงคำรามร้องดังกึกก้องมาแต่ไกล อุ้มสมชะงักหน้าเสีย สการหันไปถามอย่างสงสัย
       “เสียงอะไรน่ะอุ้มสม”
       อุ้มสมกลืนน้ำลายเอื๊อก
       “สะ...สะเสียงแบบนี้ เป็นเสียงของบัณฑุราชสีห์ 1ใน 4 ราชสีห์ แห่งป่าหิมพานต์ ชอบเนื้อมนุษย์เป็นที่สุด”
       เสียงคำราม ดังใกล้เข้ามาอีก สการจะใช้สตถมุขนาคออกมาช่วย แต่ชิโลจับมือห้าม
       “ที่นี่เป็นเขตของราชสีห์ นาคไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือได้”
       “ทางรอดมีอย่างเดียว...โกย ตามเรามาอย่าให้หลงเชียว”
       อุ้มสมรีบนำทาง แต่สการตามได้ช้าเพราะต้องช่วยประครองพาชิโลไปด้วย
      
       เสียงคำรามกึกก้องดังไล่หลังมาไม่หยุด อุ้มสมวิ่งหน้าตั้งล้มลุกคลุกคลานพอลุกขึ้นมาได้ก็พบว่าตัวเองพลัดหลงกับชิโลและสการ
       “อ้าว...บอกให้ตามมาติดๆ แล้วหายไปไหนกันหมดแล้ว...ชิโล...ผู้กอง...ชิโล”
      
       สการกุมมือชิโลพาหนีแล้วหยุดพักเพราะคิดว่าหนีมาพ้น ชิโลนึกได้
       “แล้วอุ้มสมล่ะ”
       สการพยายามมองหา
       “คงหลงกันแล้ว”
       ชิโลเป็นห่วง
       “อุ้มสม...อุ้มสม”
       ชิโลพยายามตะโกนเรียก สการช่วยเรียกด้วยแต่ระหว่างนั้นเอง ต้นไม้ตรงหน้าขยับไหวไปมา สการหันมาปิดปากชิโลให้เงียบเอาไว้ก่อนเพราะต้องระวังตัว สการคว้าท่อนไม้ขึ้นมาเตรียมรับมือ ชิโลหลบหลังสการใจเต้นตึกๆ แต่ที่โผล่พรวดเข้ามากลับไม่ใช่ราชสีห์ กลายเป็นตรัสวิน
       “นี่พวกเจ้ายังไม่ไปจากหิมพานต์อีกเหรอ เจ้ามนุษย์”
       ชิโลกับสการถึงกับโล่งอกเกือบไปแล้ว
      
       สการพาชิโลเดินตามตรัสวินออกมาจากแนวเขตป่า มาโผล่ที่ทุ่งหญ้าโล่งๆดูปลอดภัย
       “แถวนี้ไม่ใช่เขตของราชสีห์ พวกเจ้าปลอดภัยแล้ว”
       “ขอบใจนายมากนะตรัสวิน”
       “เราไม่ใช่ครุฑไร้น้ำใจ ในเมื่อพวกเจ้าช่วยชีวิตเราไว้เราก็ต้องตอบแทน สัตว์ในป่าหิมพานต์ไม่มีตัวไหนที่เราไม่รู้จัก อย่างบัณฑุราชสีห์ก็สนิทกับเรา แค่บอกว่าพวกเจ้าเป็นเพื่อนของเรา ราชสีห์ก็ไม่ยุ่งกับพวกเจ้าแล้ว เอาล่ะ หมดธุระเราแล้ว ไปล่ะ”
      
       ชิโลเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนตรัสวิน ถ้าเธอรู้จักสัตว์ในป่าหิมพานต์ดี ได้โปรดช่วยเราตามหาอุ้มสมกับตามหาพวกอสูรได้มั้ย”
       
       “นั่นไม่ใช่ธุระของเรา แค่เราช่วยชีวิตพวกเจ้าไว้ก็ถือว่าไม่มีหนี้กรรมต่อกันแล้ว”
       “ฉันขอร้องล่ะตรัสวิน ครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์ ย่อมต้องมีจิตใจดี การช่วยเหลือมนุษย์ก็เหมือนการสร้างกุศลอันแรงกล้า ทำให้เธอเติบโตเป็นครุฑที่มากบารมี”
       ตรัสวินนิ่งไปคิ้วขมวดครุ่นคิด
       “พี่สาวคนสวยนี่รู้เรื่องของเราเยอะจัง กลิ่นกายก็หอมไม่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ถามจริงๆเถอะ เจ้าไม่ใช่มนุษย์ใช่มั้ย”
       สการตัดสินใจบอก
       “ชิโลไม่ใช่มนุษย์อย่างผมหรอกตรัสวิน เธอเป็นนางฟ้าที่ทำผิดกฎสวรรค์เลยถูกสาปให้กลายเป็นมนุษย์”
       ตรัสวินตาโตสนใจทันที
       “นางฟ้าถูกสาป...ว่าแล้วเชียวว่าทำไมถึงได้สวยผิดมนุษย์ขนาดนี้ แบบนี้ชักสนุกแล้วสิ ไหนๆปีกของเราก็ได้รับบาดเจ็บยังบินกลับวิมานฉิมพลีไม่ได้ อยู่ๆว่างช่วยเหลือพวกเจ้าแก้เบื่อก็ดี...แต่พวกเจ้าต้องเล่าให้เราฟังมาให้ หมดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้าถึงมาตามหาอสูรอยู่ในป่าหิมพานต์”
       สการกับชิโลมีความหวังขึ้นมาทันทีที่ตรัสวินรับปากว่าจะช่วย
      
       ในคอนโด...ได้เวลาที่พรรณรายต้องกลับสวรรค์ สิริสุดารีบถาม
       “ได้เวลาต้องกลับสวรรค์แล้วเหรอคะพี่พรรณราย”
       “หมดธุระของเราแล้ว เราต้องรีบกลับก่อนที่เทพบิดาจะผิดสังเกต”
       ดรัณพูดขึ้น
       “งั้นก่อนที่พี่พรรณรายจะไป ผมมีเรื่องสงสัยอยากถามครับ”
       “เจ้ายังข้องใจเรื่องอะไร”
       “เรื่องเกี่ยวกับพรหมลิขิตครับ ทำไมคนธรรมดาอย่างไอ้แซมถึงได้มีพรหมลิขิตกับนางฟ้า อย่างชิโลได้ ทั้งๆที่มนุษย์กับนางฟ้าไม่น่าจะรักกันได้เลย”
       “เพราะภพชาติที่แล้วสการเคยอยู่ในภพสภาวะแบบชิโลมาก่อน”
       “ว้าว...ชาติที่แล้วผู้กองเคยเป็นเทวดา...มิน่าถึงได้แสนดีแบบนี้” สิริสุดาหันมาหางตามองดรัณ “แล้วคนนี้ล่ะ สงสัยชาติที่แล้วเป็นอสูร ชาตินี้ถึงได้เจ้าชู้ยักษ์”
       ดรัณจ๋อยๆ
       “โธ่สิจ๋า...ผมถอดเขี้ยวถอดเล็บหมดแล้วนะ”
       พรรณรายหันมายิ้มกับนารี
       “และเพราะคุณแม่มีจิตอันบริสุทธิ์ ขยันหมั่นทำบุญเลยทำให้ทั้งสการ และเราได้มาเกิดเป็นลูกของคุณแม่”
       นารีน้ำตารื้นดีใจ
       “แม่ดีใจและขอบคุณที่หนูมาเกิดเป็นลูกของแม่ ถึงเราจะอยู่ด้วยกันได้ไม่ นาน แต่ความรักที่แม่มีต่อลูกจะไม่หายไปไหน แม่จะคิดถึงลูกเสมอ”
       “บุญกรรมจะลิขิตทุกอย่าง ถ้าหมั่นทำกรรมดี สักวันนึงเราก็อาจจะได้พบกันอีก”
       พรรณรายเข้าไปจับมือนารีที่ตื้นตันจนน้ำตาไหล ก่อนที่ร่างของเธอจะเปล่งประกายเรืองรองแล้วหายวับ สิริสุดาพลอยน้ำตารื้นร้องไห้เสียใจซบอกดรัณ
       “สิ...เป็นอะไร”
       “เห็นพี่พรรณรายพูดถึงบุญถึงกรรมแล้ว...สิคิดถึงคุณป๋า สงสารคุณป๋าด้วย ป่านนี้ไม่รู้ว่า คุณป๋าจะเป็นตายร้ายดียังไง ฮือๆๆ”
       ดรัณสงสารโอบกอดปลอบใจ
       “ไม่ต้องห่วงผมจะตามเรื่องนี้ให้”
      
       ดรัณพาสิริสุดามาพบกับผู้การดำเกิง
       “ยังไม่ได้ข่าวคราวของคุณพ่อเลยเหรอคะผู้การ” หญิงสาวถามอย่างกังวล
       “ยังไม่มีวี่แววเลยครับ ที่ผมให้ดรัณตามคุณมาก็เพราะอยากทราบว่าอาจมีที่อื่นตกหล่น ที่คุณยังไม่ได้แจ้งกับเราไว้”
       “แต่สิบอกตำรวจไปหมดทุกที่ ที่คิดว่าคุณพ่อจะหลบหนีไปหมดแล้วนะคะ”
       ผู้การดำเกิงนิ่งไปมองหน้ากับดรัณ ด้วยสีหน้าหนักใจกันทั้งคู่จนสิริสุดาสงสัย
       “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะดรัณ มีเรื่องอะไรที่คุณไม่ยอมบอกสิใช่มั้ย”
       “ไม่ใช่ว่าบอกไม่ได้หรอกนะสิ แต่...”
       “บอกสิมานะดรัณ...สิเป็นห่วงพ่อ สิไม่อยากให้พ่อหนีไปตลอดชีวิต พ่อควรจะต้อง มารับโทษที่พ่อทำไว้”
       ดรัณหันไปมองหน้าผู้การดำเกิงที่พยักหน้าอนุญาต
       “ถ้าเราไม่รีบเร่งตามหาคุณป๋าให้พบโดยเร็ว ชีวิตคุณป๋าก็จะตกอยู่ในอันตราย เพราะเรา ได้ข่าวมาว่าพวกแกงค์อาชญากรข้ามชาติที่คุณป๋าไปเกี่ยวข้องด้วย กำลังตามล่าตัว คุณป๋า พวกมันไม่ต้องการให้มีชีวิตอยู่เพื่อเป็นพยานซัดทอดไปถึง”
       สิริสุดาตกใจหน้าเสีย
       “โธ่...คุณป๋า...ฮือๆๆๆ”
      
       สิริสุดาสะอื้นไห้ มีตรีชฎาโอบไหล่ปลอบใจพาเดินออกมา
       “ท่านผู้การกับผู้กองรับปากจะช่วยกันตามหาคุณพ่อคุณให้พบโดยเร็ว ถ้าคุณสิคิดออกว่ามีที่ไหนที่จะตามพบได้อีก ก็รีบแจ้งนะคะ เราจะได้ช่วยกัน”
 สิริสุดาพยักหน้ารับ แต่ระหว่างนั้นกลุ่มนักข่าวจากหลายสำนักกรูเข้ามาจนเต็มทางเดิน แสงไฟแฟลชวูบวาบ
       
       “คุณสิริสุดาคะ ข่าวที่ว่าทรัพย์สินของคุณทองทิวถูกยึดทรัพย์ไปหมด ช่วยยืนยันได้มั้ยคะ”
       “แล้วที่ลือกันว่าคุณทองทิวหนีออกไปต่างประเทศพร้อมเงินสดเต็มตู้คอนเทนเนอร์ล่ะคะ”
       “ตอนนี้คุณทองทิวอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านเหมือนกับผู้ต้องหาหนีคดีคนอื่นๆรึเปล่าครับ”
       ทั้งคำถามที่เซ็งแซ่และแสงไฟแฟลชวูบวาบทำให้สิริสุดาตกใจกลัว ตรีชฎาต้องช่วยกันนักข่าวให้
       “ขอโทษสื่อทุกสำนักด้วยนะคะ ตอนนี้คุณสิยังไม่พร้อมตอบคำถาม ขอตัวนะคะ”
       ตรีชฎารีบพาสิริสุดาเดินหนีหนักข่าวไปอีกทาง และให้ตำรวจบริเวณนั้นช่วยกันพวกนักข่าวไม่ให้ตามไป พวกนักข่าวพยายามแย่งกันถ่ายรูปทั้งเบียดทั้งดัน หนึ่งในกลุ่มท้ายแถวที่พยายาม เบียดขึ้นมาก็คือมัดหมี่
       “หลบ...หลบไป...อย่ามาเบียดได้มั้ย โอ๊ย...ไอ้บ้า ใครมาเหยียบเท้าฉันเนี่ย โอ๊ย...แล้ว ใครมาดึงผมฉัน เดี๋ยวแม่ก็จี๊ดให้หรอก”
       มัดหมี่พยายามสุดฤทธิ์แต่สู้แรงเบียดของพวกนักข่าวไม่ได้โดนเบียดจนกระเด็นมาล้มจ้ำเบ้า
       “โอ๊ย ! นังบ้า...แก!”
       มัดหมี่เข้าไปกระชากไหล่นักข่าวสาวสวยรุ่นน้องคนหนึ่งที่เบียดจนเธอล้ม
       “หล่อนกล้าดียังไง อยากชะตาขาดใช่มั้ย ไม่รู้จักฉันเหรอไงว่าฉันเป็นใคร”
       นักข่าวมองหัวจรดเท้าอย่างเหยียดๆ
       “รู้จักสิคะ ในวงการข่าวมีใครไม่รู้จักพี่มั่ง”
       มัดหมี่เชิดทันที
       “รู้ก็ดี...จะได้หลบทางให้ฉัน พวกมือใหม่หัดทำข่าวอย่างพวกหล่อน ต้องรู้จัก สัมมาคารวะ เคารพรุ่นพี่อนาคตจะได้ไม่รุ่งริ่ง”
       พวกนักข่าวพากันมองมัดหมี่อย่างสมเพชแล้วขำกันเองจนมัดหมี่ไม่พอใจ
       “หัวเราะอะไรฉัน”
       “ถ้านักข่าวดีๆมีจรรยาบรรณพวกเราก็คงเคารพหรอกค่ะ แต่สำหรับพี่ วีรกรรมเอาตัวเข้า แลกเพื่อให้ได้ข่าวพวกเราไม่ขอเลียนแบบ ไม่อยากให้น้ำเน่ามาปนกับน้ำดีในวงการสื่อ”
       พวกนักข่าวเชิดใส่พากันยกขโยงเดินออกไป มัดหมี่ อึ้งหน้าเสียไม่พอยังหน้าแหกอีกด้วย
       “หนอย...ไม่รู้จักมัดหมี่จี๊ดถึงใจซะแล้วนังพวกนี้”
      
       ผู้การดำเกิงกับดรัณเดินมาตามทางอีกมุมหนึ่งของสำนักงานตำรวจ
       “ผมฝากบอกผู้กองสการด้วยว่าผมไม่อนุมัติหนังสือลาออกจากราชการ แต่อนุญาตให้ ลาพักจนกว่าเขาจะพร้อมกลับมาทำงาน”
       “ถ้ามันรอดกลับมาได้ผมจะบอกมันทันทีเลยครับท่าน”
       ผู้การดำเกิงแปลกใจ
       “หมายความว่ายังไง”
       “เปล่าครับท่าน”
       “ยังไงคุณก็บอกให้ผู้กองรู้ด้วยแล้วกันว่าความผิดของเขาผมเข้าใจดี เพราะถ้าเป็นผม ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นผมก็ต้องทำเหมือนกัน ว่าแต่ว่าผมไม่ได้ข่าวคุณชิโลเลย เธอหายไปไหน ทางเราอยากจะมอบรางวัลให้เธอที่ช่วยให้เราปิดคดีได้”
       “คุณชิโลคงไม่มารับรางวัลหรอกครับท่าน เธอเป็นเหมือนนางฟ้าที่ชอบทำดีไม่หวังผล ยังไงผมขออนุญาตไปดูสิก่อนนะครับท่าน”
       “ตามสบายเลยผู้กอง”
       ดรัณทำความเคารพแล้วรีบเดินออกไป
      
       ตรีชฎาพาสิริสุดาหนีพวกนักข่าวมาที่ลานจอดรถด้านหลัง
       “คุณสิรอผู้กองดรัณอยู่ตรงนี้นะคะ ดิฉันจะไปรับมือพวกนักข่าวให้”
       “ขอบคุณมากนะคะคุณตรีชฎา”
       ตรีชฎายิ้มรับแล้วออกไป สิริสุดาหันมาหน้าเศร้ายังเสียใจเรื่องพ่อไม่หาย มัดหมี่ก็โผล่พรวดเข้ามา
       “ถ้าคุณสิไม่อยากให้ข่าวกับใคร ให้กับฉันก็ได้ค่ะ รับรองว่าฉันจะไม่ทำข่าวออกมาให้ คุณสิกับคุณป๋าเสียชื่อแน่นอน”
       “มัดหมี่ !...ฉันไม่มีข่าวอะไรจะให้เธอ”
       สิริสุดาจะเดินหนี แต่มัดหมี่เกาะติด
       “อย่ามาโกหกฉันดีกว่าค่ะคุณสิ ฉันเคยช่วยเหลือคุณ ตอนนี้ฉันลำบากคุณก็น่าจะช่วย ฉันคืนบ้าง ถ้าฉันเป็นคนเดียวที่ได้ข่าวของพ่อคุณ ฉันจะได้กลับไปเป็นมัดหมี่ผู้ประกาศ ข่าวที่จี๊ดถึงใจประชาชนอีก”
       “ฉันไม่รู้ว่าพ่อฉันอยู่ไหน ไปให้พ้นหน้าฉัน ฉันไม่อยากยุ่งกับเธออีก”
       “แต่ฉันไม่ปล่อยให้คุณทำให้ชีวิตฉันต้องตกอับหรอกคุณสิ”
       มัดหมี่รีบเข้าไปแย่งกระเป๋าถือของสิริสุดาแล้วค้นเอาโทรศัพท์ของสิริสุดาออกมา
       “หยุดนะ เธอจะเอาโทรศัพท์ฉันไปทำไม”
       “พ่อลูกกันยังไงก็ต้องติดต่อกัน ฉันต้องสืบรู้ให้ได้ว่าพ่อคุณหนีไปอยู่ที่ไหน”
       สิริสุดาเข้าไปแย่งคืน
       “เอาของฉันคืนมา ฉันไม่รู้ว่าพ่อฉันอยู่ไหน”
       สิริสุดากับมัดหมี่ยื้อแย่งโทรศัพท์ไม่มีใครยอมใคร ระหว่างนั้นดรัณเข้ามากระชากมัดหมี่ออกไปอย่างแรง
       “ไปให้พ้นจากที่นี่นะคุณมัดหมี่ ไม่อย่างนั้นคุณโดนผมจับโยนเข้าห้องขังแน่"
       “ดรัณ”
       ดรัณกอดสิริสุดาปลอบใจแล้วหันมาขึงขังกับมัดหมี่
       “ผมพูดจริงๆนะคุณ คนทำผิดแต่รู้จัก กลับตัวผมให้อภัยได้เสมอ แต่คนที่ยังหลงทำผิดหน้ามืดตามัวไม่รู้จักบาปกรรม มันต้องเจอคนอย่างผม”
       มัดหมี่เจ็บใจ
       “ฝากไว้ก่อนเถอะผู้กอง มัดหมี่จี๊ดขึ้นมาแล้ว ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆหรอก...เชอะ”
      
       มัดหมี่สะบัดบ๊อบเชิดหน้าเดินออกไป ดรัณกอดสิริสุดาปลอบใจ

source: manager.co.th 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น