วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครหงส์สะบัดลาย ตอนที่6


   บริเวณสนามหญ้าหน้าที่ทำการพรรคสยามพัฒนา ศิวัชซึ่งอยู่ในการดูแลความปลอดภัยของบอดี้การ์ด มองไปรอบๆ เห็นคนที่มาร่วมงานนอนจมกองเลือดอยู่สามสี่ราย ส่วนคนอื่นๆ พอตั้งหลักได้ก็วิ่งเอาตัวรอดกันอลหม่าน
      
       ศิวัชค่อยๆ ตั้งสติได้รีบเข้าไปประคองปฏิพรที่ยังรู้สึกตะลึงงันกับเรื่องที่เกิดขึ้น ปฏิพรร้องไห้โผเข้ากอดศิวัชแน่น
       “น้องตี้เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
       “พี่ศิวัช”
       ศิวัชรีบหันไปอีกทางเห็นเนติมาพยายามขยับร่างออกจากระบิลที่นอนคว่ำ หน้าทับอยู่ ศิวัชรีบส่งปฏิพรให้บอดี้การ์ดคนหนึ่งทันที แล้ววิ่งไปหาเนติมา
       “เนติ์ ! … ฝากคุณปฏิพรด้วย”
       “พี่ศิวัช..พี่ศิวัชจะไปไหนคะ”
       ศิวัชวิ่งมาจับมือเนติมาด้วยความเป็นห่วง
       “เนติ์..เนติ์เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ”
       “ไม่เป็นอะไรค่ะ แต่คุณระบิลสิคะ...โอ๊ย..ลุกได้แล้วฉันหนักนะ”
       เนติมาพยายามดันระบิลออกแต่ไม่สามารถทำได้ ศิวัชรีบเข้าไปช่วยเนติมา
       “คุณระบิล..คุณระบิลครับ”
       ศิวัชพยายามเรียกพลางเอื้อมไปพลิกตัวของระบิล
       เนติมากับศิวัชตกใจเมื่อเห็นระบิลหมดสติ มีเลือดไหลออกมาจากศีรษะ
       “คุณระบิล !”
       เนติมาตะลึงด้วยความตกใจกับภาพตรงหน้าเป็นอย่างมาก
      
       ภายในห้องพักคนไข้พิเศษในเวลาต่อมา เนติมานั่งมองระบิลซึ่งมีผ้าพันแผลบนศีรษะนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความเป็นห่วง
       ศิวัชเปิดประตูเดินเข้ามายืนข้างๆเนติมา เนติมาหันไปมองศิวัชด้วยความไม่สบายใจนัก
       “คุณตี้เป็นยังไงบ้างคะ”
       “แค่ช็อกไปน่ะ คุณหมอให้พักอีกนิดก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ”
       เนติมาพยักหน้ารับรู้อย่างเศร้าๆ ในใจยังรู้สึกผิดอยู่
       “เขาเจ็บเพราะเนติ์แท้ๆเลย”
       “เขาทำตามหน้าที่น่ะเนติ์ แต่ก็โชคดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก”
       ศิวัชเอื้อมมือไปโอบไหล่เนติมาอย่างเข้าใจ
       “พี่เป็นห่วงเนติ์แทบแย่ กลัวว่าเนติ์จะเป็นอะไรไป”
       “เนติ์ก็เป็นห่วงพี่ศิวัชนะคะ ไม่น่าเชื่อว่าผลประโยชน์ในการเมือง จะมากถึงขนาดเอาชีวิตกันได้” เนติมาพูดพลางถอนใจ
       “เนติ์...”
       เนติมาคิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนฉายสายตาที่มุ่งมั่นงออกมา
       “แต่พี่ศิวัชไม่ต้องห่วงเนติ์นะคะ ทำงานให้เต็มที่เรามาถึงขั้นนี้แล้ว เราต้องมองข้ามความกลัวให้ได้นะคะ”
       ศิวัชสบตากับเนติมาอย่างเข้าใจกันก่อนดึงเนติมาเข้ามากอด สองคนชะงักเมื่อได้ยินเสียงระบิลกระแอมขึ้นมา เนติมากับศิวัชหันไปเห็นระบิลนอนยิ้มอยู่บนเตียง
       “คุณระบิล !”
       “นายเป็นไงบ้าง !”
       “สบายมากคุณ ป่วยนานได้ที่ไหน เดี๋ยวคุณก็หักเงินเดือนเฉือนเบี้ยเลี้ยงผมน่ะสิ”
       ระบิลพูดด้วยสีหน้าที่ยังอ่อนเพลียอยู่บ้าง เนติมาค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ ก่อนหันไปพูดกับศิวัช
       “นี่..ฉันไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอกน่า...ปากเสียได้ขนาดนี้ ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะพี่ศิวัช” เนติมาบอก
       “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว... โชคดีนะครับ ที่สะเก็ดแค่เฉียดไป ส่วนแผลอื่นๆก็แค่เศษหินเท่านั้นเอง”
       “ไม่ต้องห่วงครับ หน้าที่อย่างผม ห้ามเจ็บ..ห้ามป่วย..ห้ามลา..ห้ามตาย ไปครับ กลับบ้านกัน”
       “อะไรนะ นี่นาย...”
       “เรามีอะไรทำอีกตั้งเยอะนะคุณ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
       “แต่ผมว่าน่าจะนอนพักอีกสักวันนะครับ” ศิวัชบอก
       “แผลพวกนี้ไกลหัวใจครับ”
       ระบิลพูดอย่างไม่คิดมาก ก่อนเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียงกดโทรออก
       “สวัสดีครับคุณพยาบาล”
       เนติมากับศิวัชมองหน้ากันด้วยความเป็นห่วงระบิล แต่เนติมาจะอดหงุดหงิดในความรั้นของระบิลไม่ได้
      
       ภายในห้องนั่งเล่น บ้านกันต์เวลาต่อมา ระบิลทรุดตัวลงนั่งพลางยิ้มให้กันต์กับเจือจันทร์ที่มองมาอย่างเป็นห่วง
       “ทำไมไม่นอนที่โรงพยาบาลให้หายดีก่อนล่ะคุณระบิล” กันต์ถาม
       “ทุกคนก็ถามอย่างนี้แหละค่ะ แต่คนเจ็บดื้อขนาดหมอยังรั้งไม่อยู่ ทีฉันไม่สบายฉันยังเชื่อนายเลย”
       เนติมาพูดพลางค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ ระบิลลอยหน้าลอยตาพูดอย่างอารมณ์ดี
       “โธ่..นั่นมันคุณ นี่มันผม อีกอย่างแผลก็อยู่ที่ผมไม่ได้อยู่ที่หมอนี่ครับ เพราะฉะนั้น ไหวหรือไม่ไหวผมรู้น่า”
       “เห็นมั้ยคะ อวดเก่งที่สุด...”
       เนติมาพูดอย่างหัวเสีย จังหวะนั้น ขวัญชนกเดินเข้ามายืนมองระบิลด้วยความเป็นห่วง ระบิลหันไปยิ้มให้ขวัญชนก
       “อ้าว..คุณขวัญ ลงมาเดินเล่นเหรอครับ”
       “คุณระบิลเจ็บมากมั้ยคะ” ขวัญชนกถาม
       “ไกลหัวใจครับ เรื่องบาดเจ็บล้มตายมันวนเวียนอยู่กับอาชีพผมอยู่แล้ว เหมือนหมองูน่ะครับ ถ้าโชคร้ายก็โดนงูกัดตาย”
       ระบิลพูดอย่างเข้าใจชีวิตยิ่งทำให้ขวัญชนกรู้สึกสงสารระบิลมากขึ้น เจือจันทร์ถอนหายใจ
       “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกไหนเป็นคนทำ” เจือจันทร์หันไปพูดกับกันต์
       “นี่มันชักถี่มากขึ้นแล้วนะคุณ คราวก่อนหนูเนติ์ก็โดนไล่ยิง นี่ถ้าเมื่อไหร่มันคิดจะทำอะไรกับบ้านหลังนี้ ก็คง...”
       เจือจันทร์พูดด้วยความไม่สบายใจ ขวัญชนกรู้สึกกลัวขึ้นมาเอื้อมมือไปกุมมือเจือจันทร์ กันต์เอื้อมมือไปจับมือภรรยาและลูกสาวอย่างปลอบโยน
       
       ระบิลกับเนติมานิ่งคิดตามด้วยความไม่สบายใจนัก
ที่สนามไดร์ฟกอล์ฟ พงษ์เลิศหวดลูกกอล์ฟออกไปอย่างหัวเสีย สมาธิไม่ได้อยู่ที่กอล์ฟแต่อย่างใดพลางถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
      
       “เกมกำลังจะเดิน ดันมาเตะตัดขากันเองซะอีก...ติดต่อได้มั้ย”
       พงษ์เลิศพูดเสียงแข็ง ชลกรพยายามโทรติดต่ออิทธิหาญ แต่หันมาพูดอย่างอ่อนใจ
       “ไม่ยอมรับสายค่ะ คงรู้ตัวว่าจะโดนคุณต่อว่า”
       “เพิ่งแพ้มาหยกๆ แล้วยังมาเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีก ดูสิข่าวแต่ละสำนักเสนอข่าวด่าเราทั้งนั้น นี่ถ้าไอ้ศิวัชมันเกิดจะเล่นงานเร่งขุดคุ้ยเราขึ้นมามีหวังแย่แน่”
       พงษ์เลิศพูดอย่างร้อนตัว ชลกรเดินยิ้มเข้ามากอดพงษ์เลิศจากทางด้านหลัง
       “ใจเย็นๆสิคะ มีฉันอยู่ทั้งคน คุณจะกลัวอะไร”
       “ตอนนี้จะทำอะไรได้ วันนั้นคุณเองก็ยังหน้าซีดออกมาเลยไม่ใช่เหรอ”
       “วันนั้นทุกคนก็ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งนั้น”
       ชลกรซบลงที่ไหล่ของพงษ์เลิศพลางกระซิบเบาๆที่ข้างหูพูดด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่
       “แต่คุณก็รู้นี่คะว่า ฝีปากฉันกล่อมคนมานักต่อนักแล้ว”
       “โดยเฉพาะผู้ชาย”
       พงษ์เลิศอมยิ้มอย่างเข้าใจความหมาย ชลกรเอื้อมมือไปไล้หลังมือของพงษ์เลิศอย่างแผ่วเบา
       “แค่ฉันสบตา สัมผัสตัวคุณธำรงเขาแค่นิดเดียว ฉันก็รู้แล้วว่าเขาต้องการอะไร”
       ชลกรอมยิ้มอย่างมีเลศนัย ขณะที่พงษ์เลิศยิ้มออกมาอย่างมีความหวังมากขึ้น
      
       เวลากลางวันของวันใหม่ ดล คำเที่ยงและอนงค์นั่งอยู่ที่หน้าสถูป ที่มีรูปของวิเชียรกับพรรณศรีติดอยู่ หน้ารูปมีกระถางธูปซึ่งยังมีธูปปักอยู่สามดอก ในแจกันมีดอกไม้สดและพวงมาลัยที่เพิ่งนำมาเปลี่ยนใหม่
       ดลมองรูปพ่อกับแม่ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
       “คุณพ่อคุณแม่ คุ้มครองพี่เนติ์ด้วยนะครับ”
       “ครั้งนี้ยังโชคดีที่มีบอดี้การ์ดมาช่วยไว้ นี่ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรอีกบ้าง คนที่กำลังจะสูญเสียอำนาจ มันทำได้ทุกอย่างจริงๆ” คำเที่ยงพูดขึ้น
       “ผมอยากพบพี่เนติ์เร็วๆครับพ่อ”
       ดลหันไปพูดกับคำเที่ยงเป็นเชิงปรึกษา คำเที่ยงเอื้อมมือไปแตะไหล่ดลอย่างเข้าใจ
       “ยังไงก็ระวังหน่อยนะ ถ้าพวกมันรู้ว่าดลเป็นใคร มันไม่เอาไว้แน่”
       “แล้วยิ่งเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ อ้อว่าเรายิ่งเข้าถึงตัวพี่เนติ์ลำบากขึ้นแน่ๆ”
       อนงค์ออกความเห็นด้วยความเป็นห่วง ดลถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ คำเที่ยงหันไปมองรูปวิเชียรกับพรรณศรีก่อนพูดออกมาด้วยความหนักแน่น
       “คุณวิเชียรไม่ต้องห่วงนะครับ สัญญาที่ผมให้ไว้กับคุณจะต้องสำเร็จ เด็กสองคนโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง ผมมั่นใจว่าเขาจะเป็นคนดีอย่างที่คุณอยากให้เป็น”
       คำเที่ยงอดสะเทือนใจไม่ได้จนน้ำตาคลอเบ้า อนงค์เอื้อมมือไปแตะที่มือพ่ออย่างเข้าใจ
       “พ่อ...”
       “คุณวิเชียรมีบุญคุณกับพ่อมาก ถ้าวันนั้นพ่อไม่ได้คุณวิเชียร ชีวิตพ่อวันนี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง”
       คำเที่ยงพูดขึ้นมาอย่างเศร้าๆพลางมองดูรูปวิเชียรแล้วอดนึกถึงความหลังไม่ได้
      
       บริเวณสวนหย่อมที่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง วิเชียรที่แต่งตัวภูมิฐานเดินมายังรถที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้และกำลังจะเปิด ประตูรถเข้าไป แต่ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นคำเที่ยงนั่งเหม่อสีหน้าเครียดอยู่ที่ม้าหิน ใกล้ๆ
       วิเชียรมองด้วยความสงสัยก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหา
       “คำเที่ยง”
       “คุณวิเชียร”
       คำเที่ยงสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ รีบลุกขึ้นจากม้าหินอย่างเจียมตัว ขณะที่วิเชียรยิ้มอย่างเป็นกันเอง
       “นั่งตามสบายเถอะ ฉันไม่ใช่คนถือตัวขนาดนั้น”
       คำเที่ยงยังยืนเกร็งทำอะไรไม่ถูก วิเชียรต้องพูดเน้นเสียงย้ำขึ้นอีก
       “นั่งเถอะ”
       “เออ..ครับๆ”
       คำเที่ยงนั่งลงที่เดิมอย่างนอบน้อม วิเชียรลงนั่งที่ม้าหินอีกตัว พลางถอดสูทคลายปมเนคไทดูผ่อนคลายและเป็นกันเอง
       “เป็นอะไรคำเที่ยง ทำไมหน้าตาอมทุกข์อย่างนั้นล่ะ”
       คำเที่ยงพูดอะไรไม่ออกได้แต่ก้มหน้าด้วยสีหน้าเครียด วิเชียรพูดอย่างใจดี
       “พูดมาเถอะ เผื่อฉันจะช่วยอะไรได้บ้าง หรืออย่างน้อยนายก็ได้ระบายความอัดอั้นออกมาบ้าง หรือถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ฉันไม่สมควรจะยุ่ง ฉันก็ขอโทษด้วยก็แล้วกันนะ”
       วิเชียรพูดพลางขยับจะลุกขึ้น คำเที่ยงรีบพูดทันทีด้วยความเกรงใจ
       “เออ..ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณวิเชียร เออ..คือลูกชายผมไม่สบายน่ะครับ”
       วิเชียรชะงักขยับลงนั่งอีกครั้งมองคำเที่ยงอย่างให้ความสนใจ
       “ลูกชายผมอยู่ห้องไอซียูมาหลายวันแล้วครับ”
      
       คำเที่ยงพูดเสียงสั่นด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก วิเชียรมองคำเที่ยงด้วยความเห็นใจ
ภายในร้านอาหารที่ดูดีแห่งหนึ่ง วิเชียรยื่นซองให้คำเที่ยงซึ่งนั่งอย่างเจียมตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ คำเที่ยงมองซองที่วิเชียรยื่นมาให้อย่างลังเล
      
       “รับไปสิคำเที่ยง”
       คำเที่ยงถอนใจออกมานิดหนึ่งก่อนยกมือไหว้วิเชียรแล้วรับซองไปเปิดดู เห็นเงินสดปึกหนึ่งอยู่ด้านใน สีหน้าของคำเที่ยงดูตกใจและรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
       “เออ..ผมรับไม่ได้หรอกครับคุณวิเชียร”
       “รับไปเถอะ นายจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้”
       คำเที่ยงมีสีหน้าลำบากใจ วิเชียรพูดย้ำอย่างมีเมตตา
       “มีเมื่อไหร่ค่อยคืน ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรมาก อ้อ..แล้วก็ไม่ต้องบอกคุณพงษ์เลิศนะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าฉันวุ่นวายกับคนของเขา มันไม่ดี”
       “คุณวิเชียร”
       “ก็ไม่ต้องกลัวว่า เรื่องนี้จะเป็นบุญคุณที่ติดตัวนายไปตลอดชีวิต ถึงฉันจะเป็นนักธุรกิจ แต่การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มันไม่ใช่การค้า”
       วิเชียรพูดอย่างหนักแน่น คำเที่ยงรู้สึกซึ้งในพระคุณมากขยับจะลงกราบที่พื้น แต่วิเชียรรีบรั้งไว้
       “อย่า..อายคนอื่นเขา อีกอย่างฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่ไหน ขอแค่นายเอาไปรักษาลูก เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี แล้วนายก็รักษาความดีในตัวนายไว้ เหมือนที่ฉันเคยได้ยินคนเขาชมนายก็พอ”
       วิเชียรพูดอย่างมีเมตตา คำเที่ยงรู้สึกซึ้งใจจนน้ำตาคลอเบ้า
      
       บริเวณทางร่มรื่นในวัด ดล อนงค์และคำเที่ยงเดินคุยกันมา คำเที่ยงถอนใจแล้วพูดอย่างเศร้าๆ
       “พ่อรู้สึกว่า ชีวิตเล็กๆของพ่อ ชดใช้อีกกี่ครั้งก็คงไม่เท่ากับความเมตตาที่คุณวิเชียรมีให้”
       “แต่พ่อก็ทำทุกอย่างดีที่สุดแล้วนี่ครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพ่อ ถ้าไม่ได้พ่อ ผมคง...” ดลพูดขึ้นน้ำเสียงสลด
       คำเที่ยงเอื้อมมือไปโอบไหล่ดลอย่างเอ็นดู
       “พ่อภูมิใจที่สุดที่พ่อมีส่วนทำให้ลูกโตขึ้นมาเป็นคนดี เออ..วันครบรอบวันเสียชีวิตคุณวิเชียรกับคุณพรรณศรีปีนี้ พ่อคงไม่ได้มา ดลจัดการเองได้นะลูก”
       “ได้ครับพ่อ สบายมากครับ”
       ดลพูดยิ้มๆ ขณะที่อนงค์แกล้งมองคำเที่ยงกับดลอย่างงอนๆ
       “แหม..คุยกันอยู่สองคน ลืมแล้วเหรอจ๊ะ ว่ามีอ้ออยู่ด้วย”
       “อ้าว..ลืมไป มัวแต่คุยกับลูกรัก ลืมว่ามีลูกชังอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคน”
       “พ่ออ่ะ...”
       คำเที่ยงแกล้งพูดหยอกจนอนงค์หน้าง้ำ คำเที่ยงเอามืออีกข้างโอบไหล่ลูกสาวอย่างเอาใจ
       “โอ๋ๆล้อเล่นน่า ใครจะลืมไอ้แสบของพ่อได้ล่ะ ขืนลืมมันอาละวาดบ้านแตกแน่ ฮ่าๆ”
       คำเที่ยงหัวเราะ อนงค์ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีพลางเอียงคอซบพ่ออย่างประจบ ดลกับอนงค์หันมายิ้มกันให้ก่อนพากันเดินออกไป
      
       ทางเดินภายในบ้านกันต์ เวลากลางคืน รอบๆบริเวณเหลือแต่ไฟดวงเล็กๆที่เปิดไว้ให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อย เนติมาเดินคุยโทรศัพท์อยู่
       “พี่ศิวัชรีบฟอร์มทีมทำงานเถอะนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงเนติ์นะ ทางนี้เรียบร้อยดี เนติ์ก็รักพี่ศิวัชค่ะ”
       เนติมาวางสายโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม ก่อนต้องชะงักเมื่อเห็นห้องหนังสือยังเปิดประตูค้างไว้ ในห้อง
       มีแสงสว่างลอดออกมาด้วย เนติมามองเข้าไปด้วยความสงสัย
      
       ภายในห้องหนังสือ ระบิลกำลังทำแผลที่ศีรษะและปิดแผลอย่างทุลักทุเลเพราะไม่ถนัด
       “โธ่เว้ย..ทำไมไม่ได้ซะทีนะ”
       ระบิลพยายามจะปิดแผลแต่พลาดทำผ้าก๊อซหลุดมือตกลงพื้น “เฮ้ย” ระบิลถอนใจอย่างหงุดหงิดก่อนก้มลงจะหยิบ แต่หัวก็ไปโขกกับโต๊ะเข้าอีก
       “โอ๊ย...อะไรวะเนี่ย อูยเจ็บ”
       ระบิลกุมหัวป้อยก้มลงเก็บผ้าก๊อซซึ่งตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใช้ปากเป่า ทำความสะอาดอย่างง่ายๆ แต่ต้องชะงักเมื่อเนติมาปรี่เข้ามาแย่งผ้าก๊อซจากมือระบิล
       “นายจะทำอะไรน่ะ”
       “อ้าว..ถามได้ ก็ทำแผลสิคุณ มานี่..เอาคืนมา”
       “แต่นี่มันหล่นพื้นแล้ว สกปรก”
       “สกปรกที่ไหน ผมเป่าแล้ว” ระบิลพูด
       เนติมาจ้องหน้าระบิลอย่างตำหนิ ระบิลลอยหน้าลอยตาพูดแถไปเรื่อย
       “ก็..แหมคุณ ดึกป่านนี้เชื้อโรคมันหลับหมดแล้ว บางตัวออกเที่ยวกลางคืนยังไม่กลับมาเลยมั้ง”
       “นี่..อย่าแถ เอากล่องยามานี่”
       เนติมาแบมือพลางมองไปที่กล่องยาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ระบิลมองตามก่อนถามด้วยความสงสัย
       “จะเอาไปทำไม คุณเป็นแผลเหรอ”
       “เอามา...” เนติมาพูดเสียงดุ
       ระบิลยิ้มกวนมองเนติมาด้วยความสงสัย
      
       มุมหนึ่งในห้องหนังสือ ระบิลในสภาพเปลือยท่อนบน นั่งบนเก้าอี้ให้เนติมาที่กำลังปิดแผลที่สีข้างให้อยู่ ระบิลสะดุ้งเล็กน้อยจนเนติมาต้องใช้มือตีอย่างหงุดหงิด
       “อยู่นิ่งๆได้มั้ย”
       “โธ่..ก็มันจั๊กจี้นี่คุณ”
       เนติมาชำเลืองตาขึ้นมองระบิล ระบิลสะดุ้งรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกแกล้งทำเป็นอายอย่างตลกๆ
       จนเนติมาอดหัวเราะออกมาไม่ได้
       “นี่..นายจะบ้าเหรอ เอามือปิดหน้าอกทำไม”
       ระบิลก้มมองหน้าอกตัวเองแล้วแกล้งทำเป็นอาย
       “อ้าว..ผมก็อายเป็นนะ เกิดมาไม่เคยให้ผู้หญิงมาถูกเนื้อถูกตัว มามอง เออ..ผู้ชายก็ต้องรักนวลสงวนตัวเหมือนกันนะคุณ”
       ระบิลพูดลอยหน้าลอยตาพูดจนเนติมามองค้อน เงื้อมือตีต้นแขนระบิลด้วยความหมั่นไส้
       “โอ๊ย..เจ็บนะ ตีผมทำไมเนี่ยเจ้านาย”
       “หมั่นไส้ เลิกโอเว่อร์แล้วก็นั่งนิ่งๆได้แล้ว มานี่ !”
       เนติมาพูดพลางขยับไปนั่งประจันหน้ากับระบิล แล้วเอามือจับหน้าระบิลให้อยู่นิ่งๆ ขณะระบิลได้แต่ถอนหายใจเพราะรู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกฝืนใจ
       เนติมากำลังทำแผลให้ระบิลอย่างเอาใจใส่ เนติมายื่นหน้าใกล้ๆ จนระบิลนั่งเกร็งอย่างอึดอัด
       “ถ้าไม่ได้นาย คนที่ต้องเจ็บตัวคงเป็นฉัน”
       “มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องปกป้องคุณอยู่แล้ว การที่ผมเจ็บแล้วคุณไม่เจ็บเนี่ย ถือว่าผมทำงานสำเร็จนะ”
       “แต่ถ้าฉันไม่เจ็บ นายไม่เจ็บจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ ความจริง ความรู้ความสามารถนาย ไม่จำเป็นต้องมาเป็นบอดี้การ์ดก็ได้นะ ถ้านายกลับเข้ารับราชการฉันว่านายต้องได้เป็น...”
       ยังไม่ทันที่เนติมาจะพูดอะไรต่อ ระบิลก็เบี่ยงหน้าหลบไปทันทีเพราะไม่อยากได้ยินอะไรที่มาสะกิดให้นึกถึงคน รักเก่าที่เสียชีวิตไป
       “ยังไงผมก็ไม่มีวันกลับไปรับราชการ”
       “อะไร...ฉันแค่พูดลอยๆ ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลย มีอะไรเหรอ ทำไมนายถึงไม่อยากกลับไปรับราชการ ก็ในเมื่อ...”
       ระบิลขยับจะลุกจากเก้าอี้ แต่เนติมารีบรั้งไว้ทันที
      
       “โอ๊ยๆ โอเคๆ ไม่ถามแล้วก็ได้ อะไรเนี่ยจู่ๆ ของก็ขึ้น มานี่ๆ มาทำแผลต่อเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

 เนติมาเอามือจับหน้าระบิลให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะทำแผลต่อด้วยความตั้งใจ พลางพูดเปลี่ยนเรื่องอย่างอารมณ์ดี
      
       “นี่..ในหนังสืออาหารของฉัน นายยังทำให้ชิมไม่ครบเลยนะ”
       “คุณอยากทานอะไรก็บอกผมมาก็แล้วกัน”
       “คิดไปคิดมานายไม่ต้องไปทำงานอย่างอื่นน่ะดีแล้ว เพราะฉันจ้างนายคนเดียวเหมือนได้ตั้งหลายคน ทั้งคนสวน ช่างไฟฟ้า พ่อบ้าน พ่อครัว คนขับรถ คน...”
       “โอ๊ย..เบาๆสิคุณ..เจ็บ”
       “อุ๊ย..ขอโทษ”
       ระบิลร้องด้วยความเจ็บพลางคว้ามือเนติมาข้างที่กำลังทายาไว้ทันที ทั้งสองหันมาสบตากันก็ต้องชะงักอย่างไม่รู้ตัว
       ระบิลกับเนติมาสบตากันนิ่งค้างรู้สึกไหวหวั่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ระบิลตั้งสติได้รีบปล่อยมือเนติมาทันที ทั้งสองคนรู้สึกอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
       “เออ..ขอโทษครับ”
       “เออ..ฉันมือหนักไปหน่อย นายไม่เป็นอะไรนะ”
       “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทำต่อเอง”
       “แล้วนายจะปิดแผลถูกมั้ยล่ะ มาฉันทำให้เอง อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”
       เนติมาหันไปหยิบผ้าก๊อซที่เตรียมไว้ขึ้นมาปิดแผลให้ ระบิลซึ่งนั่งนิ่งอยู่อย่างหวั่นไหว ขณะที่เนติมาก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก
      
       เช้าวันใหม่ บริเวณสวนหย่อมภายในบ้านกันต์ ระบิลเดินมองหาเนติมาไปรอบๆสวน
       “ไปไหนไม่บอก น่าตีชะมัด”
       “กล้าตีฉันเหรอ”
       ระบิลชะงักเมื่อได้ยินเสียงเนติมาดังมาจากด้านหลัง ระบิลหันขวับไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเนติมาเอาปืนจ่ออยู่ด้านหลัง “เฮ้ย !” ระบิลรีบปัดบิดมือของเนติมาข้างที่ถือปืนทันทีจนเนติมาร้องลั่น
       “โอ๊ย ! ปล่อยนะ เจ็บ !”
       เนติมารีบปล่อยมือจนปืนตกไปที่พื้น ขวัญชนกเดินมาเห็นพอดีต้องตกใจที่เห็นปืน
       “เนติ์เป็นอะไร...ปืน !”
       ระบิลปล่อยมือเนติมาทันที และมองเนติมาอย่างตำหนิ ระบิลหันไปพูดกับขวัญชนก
       “คุณขวัญไม่ต้องกลัวครับ...คุณเล่นอะไรของคุณเนี่ย”
       เนติมากุมมือด้วยความเจ็บพลางมองขวัญชนกอย่างรู้สึกผิด ก่อนหันไปค้อนระบิลด้วยความหงุดหงิด
      
       ระบิลเอาปืนวางบนโต๊ะพลางมองเนติมาที่นั่งกุมมือโดยมีขวัญชนกนั่งอยู่ข้างๆด้วยความเป็นห่วง
       “เจ็บมากมั้ยจ๊ะเนติ์”
       “เจ็บสิถามได้ คนอะไรมือหนักชะมัดเลย แค่ล้อเล่นแค่นี้เอง”
       เนติมาพูดงอนๆ แต่ระบิลพูดสอนด้วยน้ำเสียงดุ
       “ปืนไม่ใช่ของเล่นนะคุณ กระสุนมันไม่เข้าใครออกใครรู้มั้ย”
       “รู้น่า ฉันก็เอาซองกระสุนออกแล้วไม่เห็นเหรอ”
       “แล้วคุณรู้ได้ไงว่าจะไม่มีกระสุนค้างในตัวปืน”
       ระบิลพูดดักคอทำเอาเนติมาชะงักหน้าเจื่อนไป ระบิลยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆเนติมาแล้วพูดเสียงเข้ม
       “ไปเอาปืนที่ไหนมาครับ”
       “ก็..ฉันอยากยิงปืนเป็น จะได้เอาไว้ป้องกันตัว ก็เลยยืมเพื่อนมา”
       “แต่คุณมีผมเป็นบอดี้การ์ดอยู่แล้ว”
       ระบิลพยายามอธิบาย แต่เนติมาไม่ยอมเถียงตอบทันที
       “แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์แบบวันนั้นอีกล่ะ นายสลบไปหรือจังหวะที่นายไม่อยู่กับฉัน แล้วใครจะดูฉัน นะขอฉันฝึกยิงปืน เนี่ยเห็นมั้ยฉันให้เพื่อนสมัครสมาชิกให้แล้ว”
       เนติมายื่นบัตรสมาชิกให้ ระบิลหยิบไปดูแล้วยิ้มอย่างขำๆ
       “อืม..มีทั้งยิงปืน สอนศิลปะป้องกันตัว เยอะดีนี่ครับ”
       “จะดีเหรอเนติ์ น่ากลัวออกจะตาย”
       ขวัญชนกพูดด้วยความเป็นห่วง ขณะที่ระบิลเก็บทั้งปืนและบัตรสมาชิกของเนติมาใส่กระเป๋าดื้อๆซะอย่างงั้น
       “ใช่ครับ..น่ากลัวมาก ปืนนี่ผมริบไว้ก่อน ส่วนสมาชิกของคุณผมยกเลิกให้เอง”
       “อะไรนะ !”
       “รุ่นพี่ผมเป็นเจ้าของโรงเรียนที่คุณจะไปเรียนพอดี”
       “เฮ้ย..อย่านะ”
       เนติมาโวยวายขึ้น ขณะที่ระบิลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางถอนใจ
       “ถ้าคนที่ผมปกป้องต้องมาฝึกอาวุธคุ้มครองตัวเอง ผมเลิกเป็นบอดี้การ์ดดีกว่า ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำอันตรายคุณเด็ดขาด แล้วถ้าถึงเวลาที่คุณจะต้องใช้ปืน ผมจะเป็นคนสอนคุณด้วยมือผมเอง”
       เนติมาครุ่นคิดตามที่ระบิลพูดพลางถอนหายใจอย่างเซ็งก่อนหันไปสบตากับขวัญชนกที่พยักหน้าช้าๆเป็นเชิงเห็นด้วยกับระบิล
       เนติมายอมจำนนในเหตุผลของระบิล
      
       ระบิลขับรถมาจอดที่หน้าคฤหาสน์หรูของธำรง ทั้งระบิลและเนติมาเปิดประตูลงมาจากรถ ขณะนั้นศิวัชกับผู้กำกับวิเชษฐ์เดินออกมาจากตัวบ้านพอดี
       “พี่ศิวัช”
       เนติมาเดินเข้าไปหาศิวัช ทั้งสองคนจับมือแสดงออกถึงความรักที่มีให้กัน ขณะที่ระบิลเข้าไปทักทาย
       ผู้กำกับวิเชษฐ์อย่างคุ้นเคย
       “ไม่นึกว่าจะเจอพี่เชษฐ์ที่นี่”
       “มาคุยงานกับคุณศิวัชน่ะ โทษทีนะไม่ได้ไปเยี่ยมเลยงานยุ่งๆน่ะ แผลเป็นไงบ้าง”
       “โอ๊ย..สบายมากครับพี่ ผมน่ะแก่ยาก แต่ตายยากกว่า”
       ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี เรียกรอยยิ้มให้ทุกคน
       “อย่างอื่นยาก แต่โม้เนี่ยง่ายถึงง่ายที่สุดเลยล่ะ”
       เนติมาแซวอย่างอารมณ์ดี ก่อนหันไปพูดกับศิวัช
       “แล้วคุณอาล่ะคะพี่ศิวัช”
       “คุณพ่อไปธุระข้างนอกน่ะจ้ะ ท่านบอกไม่ต้องรอ ให้พวกเราทานไปก่อนได้เลย ไปทานข้าวกันเถอะครับ แม่บ้านตั้งโต๊ะไว้พร้อมแล้ว”
       ระบิลกับผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มรับคำก่อนขยับจะเดินเข้าไปด้านใน แต่เนติมารั้งศิวัชไว้อย่างเป็นกังวล
       “พี่ศิวัชคะ แล้ว...”
       “วันนี้ไม่มีตี้จ้ะ ตี้เขาไปธุระกับที่บ้านเขาน่ะ”
       ศิวัชตอบอย่างรู้ทัน เนติมาถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะที่ระบิลหันมาแซวยิ้มๆแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน
       “แหม..กลัวก้างมาขวางคอตอนทานข้าวเหรอคุณ ฮ่าๆ”
      
       เนติมาค้อนระบิลอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ศิวัช ศิวัชจูงมือเนติมาเข้าไปด้านใน
source: manager.co.th  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น