“คุณพ่อ..คุณแม่..ไม่..ไม่ !”
เนติมาสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่งทั้งน้ำตาก่อนตั้งสติแล้วหันไปมอง อนงค์ที่นอนอยู่ข้างๆขยับกายเล็กน้อย เนติมาปาดน้ำตาก่อนหันมองออกไปนอกหน้าต่างด้านนอกซึ่งยังมีฝนพรำอยู่ พลางขยับออกจากมุ้งไปอย่างเงียบๆ
ส่วนระบิลนั่งเหม่อมองฝ่าสายฝน ครุ่นคิดถึงชีวิตของตัวเองในอดีตอยู่ที่บันไดบ้านสวนคำเที่ยงก่อนชำเลืองหาง ตาไปที่ด้านหลังนิดหนึ่งก่อนพูดอย่างรู้ทัน
“ยังไม่นอนอีกเหรอคุณ”
เนติมามองระบิลอย่างเซ็งๆ ก่อนลงนั่งข้างๆ
“อุตส่าห์เดินเบาแล้วเชียว”
“จังหวะการเดินของคุณผมจำได้แล้ว”
ระบิลตอบนิ่งๆ เนติมาอมยิ้มมองระบิลอย่างหมั่นไส้นิดๆ
“แหม..จะอวดว่าประสาทสัมผัสดีก็บอกเถอะ...แล้วนายมานั่งทำอะไรตรงนี้ หน้าตาดูไม่ค่อยสบายใจเลย มีอะไรรึเปล่า”
“คุณจำตอนที่ผมยืนเหม่ออยู่ที่ริมแม่น้ำได้มั้ยครับ”
เนติมาคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“อ๋อ..ที่นายไม่ยอมตอบฉันน่ะเหรอ เห็นมั้ย ฉันเดาไม่ผิดจริงๆด้วยว่านายต้องมีอะไรในใจ นายมีอะไรไม่สบายใจบอกฉันได้มั้ย”
ระบิลยิ้มเศร้าๆก่อนตัดสินใจพูดออกมา
“เห็นคุณพบน้องชาย ผมก็อดคิดถึงพี่ชายผมไม่ได้”
“พี่ชาย”
“ครับ..เรามีกันอยู่สองคนพี่น้อง”
“แล้ว..ตอนนี้พี่ชายนายอยู่ไหนเหรอ”
ระบิลถอนใจออกมา ก่อนพูดด้วยความไม่สบายใจ
“หายสาปสูญครับ ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง”
เนติมาอึ้งกับสิ่งที่ระบิลพูด ระบิลมองฝ่าความมืดออกไปคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต
ที่บ้านสวนระบิล ก้องในชุดเครื่องแบบทหารภาคสนามกำลังยกเป้เดินทางขึ้นสะพาย หันไปพูดกับระบิลในวัย 17 ปีที่มายืนส่งอย่างสนิทสนม
“เที่ยวนี้พี่ไปหลายวัน ยังไงดูแลบ้านดีๆนะระบิล”
“ไม่ต้องห่วงครับพี่ก้อง พี่ก้องนั่นแหละอยู่ชายแดนก็ระวังตัวนะครับ”
ก้องยิ้มพลางตบบ่าระบิลอย่างเป็นกันเอง ก่อนเอื้อมมือไปกุมมือจิ๊กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ดูแลตัวเองดีๆนะจิ๊ก เสร็จภารกิจแล้วพี่จะรีบกลับมาทันที”
จิ๊กพูดอะไรไม่ออกรู้สึกใจเสียจนน้ำตาคลอเบ้า ก้องเอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้ ก่อนหันไปหาปานที่ยืนยิ้มให้อยู่
“ฝากน้องกับแฟนกูด้วยนะปาน”
“เออ..มึงไม่ต้องห่วง แต่กูไม่รับฝากตลอดชีวิตนะโว้ย ยังไงมึงต้องกลับมาเอาน้องกับแฟนมึงคืนไป สองคนกินจุตายชัก โดยเฉพาะไอ้ระบิล กินจุอย่างกับช้าง ขืนฝากไว้นานมีหวังกูกินแกลบ”
ปานพูดขำๆเรียกรอยยิ้มให้ทุกคน ก้องหันไปมองระบิลและพูดด้วยความภูมิใจ
“แน่ใจนะ ว่าแกไม่อยากสวมเครื่องแบบทหารเหมือนพี่”
“ผมอยากเป็นตำรวจครับพี่ก้อง ผมอยากจับผู้ร้าย”
ระบิลพูดยิ้มอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นทันทีที่พูดถึงการเรียนตำรวจ ก้องมองระบิลด้วยความเข้าใจ ก่อนดึงน้องชายเข้ามากอดด้วยความสนิทสนม
“พี่จะรอวันที่แกสวมชุดนักเรียนนายร้อยตำรวจ”
ระบิลกระชับกอดพี่ชาย แววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ได้รับจนเกิดความมั่นใจอย่างที่สุด
ผ่านเวลาไป... ระบิลในชุดเครื่องแบบนักเรียนนายร้อยตำรวจเดินเข้ามาหยุดมองประตูบ้านตัวเอง ที่เปิดค้างไว้ ระบิลยิ้มจัดเครื่องแบบของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางด้วยความภูมิใจ ก่อนจะเดินดิ่งขึ้นไปที่บ้าน
ระบิลเดินขึ้นมาบนบ้านเพื่ออวดเครื่องแบบให้พี่ชายดู
“ทหารอยู่ไหน ตำรวจมาแล้วจ้า...พี่ก้อง อ้าว...”
ระบิลต้องชะงักเมื่อเห็นภายในไม่มีใครอยู่สักคนเดียว ระบิลมองไปรอบๆเห็นข้าวของหล่นระเกะระกะกระจัดกระจาย ระบิลรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันที
“พี่ก้อง..พี่ก้อง !”
ระบิลตะโกนเสียงดังพร้อมวิ่งไปดูตามห้องต่างๆแต่ไม่พบใครสักคนเดียว ก่อนจะกลับมายืนมองรอบๆบริเวณที่ข้าวของหล่นกระจายด้วยความรู้สึกใจไม่ดี ขึ้นมาทันที
สายฝนยังคงพรำต่อเนื่อง ระบิลถอนใจก่อนพูดบอกเนติมาอย่างเศร้าๆ
“จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็สิบปีแล้วล่ะครับ ผมก็ไม่ได้พบพี่ก้องอีกเลย”
เนติมาคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“สิบปีเท่ากับบ้านฉันมีเรื่องเลยนะ”
ระบิลถอนใจแล้วบอก
“ตอนคุณเจอกับน้องคุณ ผมถึงสะท้อนใจไงครับ”
เนติมาเอื้อมมือไปจับมือระบิลให้กำลังใจ
“ฉันเชื่อ ว่าสายใยของพี่น้องจะพานายกับพี่ชายกลับมาพบกัน อืม..แล้วแฟนพี่นายกับเพื่อนสนิทพี่นายล่ะ เขาน่าจะรู้อะไรบ้างนะ”
“พี่จิ๊กย้ายบ้านแล้วติดต่อไม่ได้อีกเลย ส่วนพี่ปาน... คุณเคยเจอแล้ว”
เนติมานิ่วหน้าด้วยความสงสัย ระบิลตัดสินใจพูด
“พี่ปานไปทำงานกับนายอิทธิหาญ”
“อะไรนะ !”
“พี่ปานเป็นนักเลง แต่ก็ไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมายถึงขนาดไปทำงานให้คนชั่วๆอย่างนั้น ที่สำคัญพี่ปานไม่ยอมพูดถึงเรื่องพี่ก้องอีกเลย ได้แต่เตือนให้ผมถอนตัวจากการทำงานให้คุณซะ”
“คำเตือนนี้คงยืนยันได้ ว่าพวกมันไม่ปล่อยฉันกับน้องชายไว้แน่”
เนติมาประเมินสถานการณ์ด้วยความแน่ใจ ระบิลเอื้อมมือไปจับมือเนติมาข้างที่ยังจับมือระบิลค้างอยู่ กระชับอย่างให้กำลังใจ
“คุณไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครทำอะไรคุณเด็ดขาด”
“ขอบคุณนะ ถึงนายจะพูดจายียวนกวนประสาทฉันบ่อยๆ แต่ฉันก็อุ่นใจที่มีนายอยู่ใกล้ๆนะ”
เนติมายิ้มให้ระบิลอย่างขอบคุณ ทั้งสองคนสบตากันอย่างลืมตัว และยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ก่อนที่ทั้งสองคนจะชะงักและรีบปล่อยมือออกจากกันทันที “อุ๊ย”
ทั้งระบิลกับเนติมาต่างยิ้มเจื่อนและรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก
วันใหม่ในเวลากลางวัน รถคันหนึ่งผ่านแนวเขาเขียวขจีเข้ามาจอดที่ไร่อิทธิหาญ
อิทธิหาญ ปานและลูกน้องอีก 2 คนลงมาจากรถ โดยมีทนง โปรย และลูกน้องอีกจำนวนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว อิทธิหาญมองไปรอบๆบริเวณไร่ของตนที่กว้างขวาง สวยงาม มีพื้นที่ติดเขาสูง ซึ่งมีบ้านใหญ่หลังงามของตนตั้งตระหง่านอยู่ด้วยความพอใจ
“ทุกอย่างเรียบร้อยใช่มั้ย”
“เรียบร้อยครับเสี่ย” ทนงบอก
ปานเหมือนมองหาใครแล้วถาม
“ไอ้ชูอยู่ไหน”
“อยู่นี่”
ชูศักดิ์กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาจากตัวบ้านพัก พลางรีบจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองที่หลุดลุ่ยอย่างลวกๆ ลูกน้องที่ยืนรออยู่หันมามองหน้ากันขำๆอย่างรู้กัน ขณะที่ปานมองอย่างระอา
“มูมมามเหมือนเดิมนะมึง”
“แหม..ก็เด็กที่เสี่ยเอามาให้มันเด็ดนี่หว่า ใช่มั้ยวะพวกเรา”
ชูศักดิ์หันไปพูดกับทนง โปรยและลูกน้องที่อยู่ในไร่ แต่ละคนหัวเราะชอบใจอย่างรู้กัน อิทธิหาญยิ้มอย่างสะใจมองเลยไปยังบ้านพักคนงานหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
สาววัยรุ่นคนเดิมอยู่ในสภาพสะบักสะบอม นอนตาลอยตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ใต้ผ้าห่ม อิทธิหาญยืนมองสาววัยรุ่นคนนั้นด้วยความสะใจ ก่อนหันไปสั่งทนง ชูศักดิ์ โปรย อย่างอารมณ์ดี
“แล้วแต่พวกแกว่าจะเก็บไว้สนุกต่อหรือจะเอาไปทำปุ๋ย”
“เสี่ยครับ ผมว่า...”
ปานพยายามห้ามด้วยความสมเพชสาววัยรุ่นคนนั้น อิทธิหาญหันมาตอบอย่างหัวเสีย
“เฮ้ย..ทำไมแกชอบขัดฉันนักวะ สภาพอย่างนี้ขายต่อก็เสียราคา เอาไว้ให้ไอ้พวกเปลี่ยวที่นี่แก้เหงา หรือเอาไปเป็นปุ๋ยยังมีประโยชน์กว่า ช่วยไม่ได้..ใจแตก ก็ต้องแหลกอย่างนี้ล่ะวะ ฮ่าๆๆ”
อิทธิหาญหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ทนง โปรย ชูศักดิ์ยิ้มอย่างชอบใจ จังหวะเดียวกันลูกน้องอิทธิหาญคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน
“เสี่ยครับ !”
“มีอะไร”
“นายมาครับ !”
อิทธิหาญกับปานหันมามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
พงษ์เลิศยืนมองวิวสวยงามของธรรมชาติเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนหันมาพูดกับอิทธิหาญอย่างจริงจัง
“ช่วงนี้เรื่องแรงงานต่างด้าวระวังๆหน่อยก็แล้วกัน” พงษ์เลิศว่า
“เสียจังหวะชะมัด ออเดอร์ยิ่งเยอะๆอยู่ด้วย”
“ยังไงก็ต้องระวังค่ะ นโยบายของนายกฯศิวัชเข้มงวดมาก” ชลกรบอก
“ยิ่งเข้มเท่าไหร่ หายนะก็ยิ่งใกล้ตัวมันมากขึ้นเท่านั้น อย่าเผลอนะมึงจะถีบลงไปคุยกับรากมะม่วงให้ดู”
อิทธิหาญพูดอย่างหงุดหงิด ขณะที่พงษ์เลิศมองไปยังภูเขาที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปอย่างครุ่นคิด
“ปาน...”
“ครับนาย”
“ที่ตรงเชิงเขาลูกนั้นไปถึงไหนแล้ว”
“อีกสองวันคนงานจะเข้าไปถางแล้วครับนาย ส่วนอีกด้านที่ถางไปแล้ว คนงานเตรียมกล้ายางไว้แล้วครับ” ปานบอก
“แล้วอย่างนี้พ่อไม่กลัวพวกไอ้ศิวัชมันเล่นงานเอาเหรอ”
อิทธิหาญถามด้วยความสงสัย พงษ์เลิศยิ้มอย่างใจเย็น
“เราค่อยๆขยายแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ใครจะไปสังเกต อีกอย่างมองจากข้างนอกมาก็ยังเห็นเป็นป่าสมบูรณ์ ใครจะรู้ว่าด้านในมันโบ๋เป็นเขาหัวโล้น”
“คุณก็รู้นี่คะคุณอิทธิหาญว่า เจ้าหน้าที่ที่ดินแถวนี้ก็คนของเราทั้งนั้น อยากได้ตรงไหนก็จิ้มเอา เดี๋ยวโฉนดก็ลอยมาอยู่ในมือ”
ชลกรยิ้มพูดอย่างใจเย็น อิทธิหาญคิดตามแล้วยิ้มออกมาอย่างได้ใจ ก่อนหันไปมองชลกรยิ้มๆ
“รวมทั้งเสน่ห์ของเธอด้วยใช่มั้ย ที่มั่นใจว่าจะกุมบังเหียนไอ้ธำรงมันได้”
ชลกรไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มอย่างมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองว่าจะมัดใจธำรงได้ตามแผน
ภายในห้องประชุม ที่ทำการพรรคสยามพัฒนา ธำรงลงนั่งที่เก้าอี้พลางหันมองนักการเมืองที่ใส่สูทดูภูมิฐานนั่งเรียงกัน อยู่ที่โต๊ะประชุมอย่างพร้อมเพรียง ธำรงยิ้มอย่างชอบใจ
“ขอบคุณทุกพรรคมากนะครับที่มาประชุมนอกรอบวันนี้”
นักการเมืองคนหนึ่งพูดขึ้น
“แต่แปลก ไม่ยักมีคุณพงษ์เลิศ”
นักการเมืองต่างมองกันด้วยความสงสัย ธำรงยิ้มพูดอย่างใจเย็น
“เรื่องนี้ผมคงตอบไม่ได้เพราะเป็นความต้องการของท่านนายกฯ”
ธำรงยิ้มหันไปที่หัวโต๊ะซึ่งมีศิวัชนั่งเป็นประธานอยู่ ศิวัชยิ้มเล็กน้อยก่อนพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“เพราะผมต้องการพูดในสิ่งที่คุณพงษ์เลิศไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะวันนี้เราจะไม่พูดกันเรื่องผลประโยชน์ทางการเมือง แต่เราจะพูดถึงสิ่งที่พวกเราจะทำให้ประเทศชาติ และผมก็เลือกแล้วว่าทุกท่านที่ผมเชิญมาวันนี้มองไปในทิศทางเดียวกับผม”
ศิวัชคิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนพูดออกมาอย่างหนักแน่น
“ประเทศถูกย่ำยีมามากแล้ว เราต้องช่วยกันนะครับ ก่อนลูกหลานจะตำหนิคนรุ่นเราได้ว่า ทิ้งมรดกเฮงซวยไว้ให้พวกเขา”
นักการเมืองที่นั่งฟังอยู่ต่างพยักหน้ารับ เข้าใจในสิ่งที่ศิวัชพูด
ศิวัชลุกขึ้นยืนเดินไปรอบๆพลางอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างคล่องแคล่ว นักการเมืองคนหนึ่งถามศิวัชด้วยความสงสัย ศิวัชตอบคำถามอย่างฉะฉานฉายภาพความเป็นผู้นำออกมาอย่างชัดเจน
ธำรงมองการทำงานของลูกชายแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ด้วยความชื่นชมและมั่นใจ
บนโต๊ะอาหารบ้านกันต์ ผู้กำกับวิเชียรกับเจือจันทร์ช่วยกันยกจานกับข้าวมาวางบนโต๊ะอาหาร โดยมีกันต์นั่งรออยู่แล้ว ขวัญชนกเดินเข้ามามองอาหารบนโต๊ะด้วยความแปลกใจ
“ทำไมวันนี้คุณแม่ทำอาหารเยอะจังคะ”
“ไม่ใช่แม่ทำหรอกลูก ทั้งหมดเนี่ยของผู้กำกับเขาทั้งนั้น” เจือจันทร์บอก
“บอกไม่ต้องๆก็ไม่เชื่อ ดูสิเต็มโต๊ะเลย” กันต์พูดอย่างอารมณ์ดี
ขวัญชนกมองผู้กำกับวิเชษฐ์ที่ยิ้มอารมณ์ดีด้วยความแปลกใจ
“ไม่ต้องตกใจครับน้องขวัญ พี่ไม่ใช่เชฟกระทะทองอย่างเจ้าระบิลเขา พี่เป็นพ่อบ้านร้านข้าวแกง ฝากลูกน้องซื้อมาทั้งนั้น แต่ร้านนี้เขาอร่อยนะครับ มาครับมาลองชิมดู”
ผู้กำกับวิเชษฐ์เดินไปขยับเก้าอี้ให้ขวัญชนกนั่งอย่างเอาใจ ขวัญชนกรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะนั่งลง ผู้กำกับวิเชษฐ์รีบเดินไปขยับเก้าอี้ให้เจือจันทร์นั่งอย่างเอาใจ
“เชิญครับ”
ภายในสวนหย่อม ผูกำกับวิเชษฐ์ยื่นหนังสือตำราวิชาการเล่มหนาสองเล่มให้ขวัญชนก
“สองเล่มนี้ใช่มั้ยครับ ที่น้องขวัญหาอยู่”
ขวัญชนกรับหนังสือมาดูนิดหนึ่งอย่างรู้สึกเกรงใจ
“ขอบคุณมากนะคะผู้กำกับ บ้านขวัญรบกวนผู้กำกับตั้งหลายอย่าง ไหนจะมาดูแลความปลอดภัย ไหนจะอาหาร แล้วนี่ยัง...”
“พี่เต็มใจน่ะครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ชิงพูดออกมาด้วยความจริงใจพลางสบตาจนขวัญชนกต้องหลบตา ทำอะไรไม่ถูก
ผู้กำกับวิเชษฐ์กับขวัญชนกกำลังเดินคุยกันอยู่ในแปลงดอกไม้ที่ระบิล ปลูกไว้ ผู้กำกับวิเชษฐ์ช่วยขวัญชนกรดน้ำต้นไม้อยู่ไม่ห่าง เจือจันทร์ที่มองภาพตรงหน้าผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นออกไปด้วยความไม่สบายใจ
“ผู้กำกับวิเชษฐ์นี่ชักยังไงๆแล้วนะคะคุณ”
“ก็ไม่เห็นยังไงนี่คุณ คนรู้จักกันเขาก็ยืนคุยกัน เรื่องปกติ”
กันต์พูดทั้งๆที่ยังอ่านทบทวนหนังสือประมวลกฎหมายอยู่อย่างไม่คิดอะไรมาก แต่เจือจันทร์ยังคงร้อนใจรีบดึงหนังสือออกจากมือกันต์
“โธ่..คุณ สนใจหน่อยสิคะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ”
“แต่มันเป็นเรื่องธรรมชาตินะคุณ”
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา เป็นธรรมชาติเหรอคะ”
เจือจันทร์พูดด้วยน้ำเสียงเครียด นึกถึงอดีตที่เลวร้าย
ภายในห้องนอนบ้านกันต์ เจือจันทร์นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าตื่นกลัวเป็นอย่างมาก
“ไม่ ! อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
เจือจันทร์เห็นโปรยกับชูศักดิ์ มองมาด้วยสีหน้าหื่นกระหาย ทั้งสองคนยิ้มสะใจ
“เสียเวลาน่า ยังไงพวกข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกโว้ย ฮ่าๆ” โปรยบอก
“อยู่เฉยๆจะได้ไม่เจ็บตัว ฮ่าๆ … เฮ้ย..รายนี้ข้าให้เอ็งก่อนเลยโว้ย ฮ่าๆ” ชูศักดิ์บอก
“ได้เลยเพื่อน ฮ่าๆ”
โปรยกับชูศักดิ์หัวเราะชอบใจ ก่อนที่โปรยจะเข้ามาหาเจือจันทร์อย่างหื่นกระหาย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเจือจันทร์ที่เต็มไม่ด้วยความกลัว
ภายในห้องนั่งเล่น เจือจันทร์ร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น เมื่อนึกถึงอดีตอีกครั้ง
“ฉันจะไปเอาลูกเข้าบ้าน”
เจือจันทร์ขยับจะลุกออกไป แต่กันต์รีบรั้งไว้ทันที
“อย่าให้อดีต ไปปิดประตูที่ลูกจะกลับออกไปสู่โลกกว้างเลยนะคุณ”
“แต่...”
“ผมก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าคุณเหมือนกันนะ แต่เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่า เราจะเข้มแข็ง เราต้องหลุดจากความทรงจำร้ายๆนี้ให้ได้นะ”
กันต์พยายามพูดอย่างใจเย็น เจือจันทร์นิ่งฟังพลางมองขวัญชนกกับผู้กำกับวิเชษฐ์อยู่ด้วยสายตาที่อดเป็น ห่วงไม่ได้ กันต์เอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้เจือจันทร์
“เราสองคนคอยเป็นผู้ดูที่ดี ดีกว่านะ ลูกของเรากำลังจะเข้มแข็งขึ้นเห็นมั้ย”
“แต่...”
“ผู้กำกับวิเชษฐ์ก็ไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสียนี่ เขาก็ดูเป็นสุภาพบุรุษดีนะ อย่างน้อยทุกอย่างก็อยู่ในสายตาเรานะคุณ”
กันต์พูดยิ้มๆ เจือจันทร์ดูจะโล่งใจขึ้นบ้างแต่ก็ยังอดเป็นห่วงขวัญชนกอยู่ไม่ได้
ที่บ้านสวนในเวลากลางวัน คำเที่ยงยื่นกล่องไม้เล็กๆให้เนติมา
“นี่ครับกล่องที่คุณวิเชียรให้ผมเก็บไว้ให้คุณหนูครับ”
เนติมามองกล่องในมือแล้วรู้สึกสลดลงเล็กน้อยก่อนหันไปยกมือไหว้คำเที่ยง
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะคุณลุง”
“แล้วแวะมาเที่ยวใหม่กันใหม่นะ … ดลกับอ้อก็ขยันเรียนนะลูก แล้วก็ระวังตัวด้วยล่ะ” คำเที่ยงบอก
“ไม่ต้องห่วงจ้ะพ่อ”
“ผมดูแลน้องเองครับพ่อ” ยศวีร์บอก
ยศวีร์และอนงค์เข้าไปกอดคำเที่ยงด้วยความรักพลางหันมายิ้มให้กันอย่างอบอุ่น ระบิลกับเนติมาอดยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้
ระบิลกับเนติมาเดินเข้ามามองสภาพรอบๆห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายในคอนโดฯของยศวีร์
“อืม..เล็กกะทัดรัดน่าอยู่ดีนะครับ” ระบิลบอก
“แต่สำหรับชาวสวนอย่างพ่อก็ถือว่าราคาแพงอยู่เหมือนกันครับ ผมถึงต้องทำงานพิเศษช่วยพ่อประหยัด” ยศวีร์บอก
“ใครว่าพี่ดลทำคนเดียว อ้อก็ช่วยทำงานพิเศษเหมือนกันนะคะ” อนงค์พูดพลางยกมือนำเสนอด้วยความภูมิใจ
ยศวีร์ยิ้มชอบใจเอื้อมมือไปลูบหัวอนงค์ด้วยความเอ็นดู เนติมาที่เดินดูรอบๆแล้วหันไปพูดกับน้องชายด้วยความไม่สบายใจนัก
“พี่ว่าไปอยู่ด้วยกันดีกว่านะ ดลกับอ้อจะได้เรียนอย่างเดียว ไม่ต้องทำงานลำบากอย่างนี้”
“แต่ผมว่าแยกกันอยู่อย่างนี้ดีแล้วนะครับ” ระบิลพูดแทรกขึ้นมา
เนติมามองหน้าระบิลแล้วถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“เฮ้อ..เรียกชื่อวีร์ไม่ได้ แล้วยังต้องแยกกันอยู่อีก”
“เพื่อความปลอดภัยน่ะครับ”
ระบิลพูดอย่างใจเย็น เนติมาพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่มีทางเลือก
“ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ พี่เนติ์คิดถึงพี่ดลเมื่อไหร่ อ้อจะพาพี่ดลไปหาทันทีเลยจ้ะ” อนงค์บอก
เนติมายิ้มให้อนงค์อย่างขอบคุณ พร้อมดึงยศวีร์เข้ามากอด
“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน พี่เอาความสุขกลับคืนมาให้ครอบครัวของเราให้ได้”
“ครับพี่เนติ์”
ยศวีร์ยิ้มตอบอย่างมีกำลังใจพลางกอดพี่สาวด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความผูกพัน
ภายในรถ เวลาต่อมา เนติมานั่งถอนใจด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ระบิลมองแล้วยิ้มๆ
“หงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจเหรอคุณ”
“นิดหน่อยน่ะ แล้วนี่ดูสิให้เงินก็ไม่ยอมรับอีก”
“คุณน่าจะดีใจนะครับ ที่น้องชายคุณเก่งเอาตัวรอดได้ขนาดนี้”
“แต่ฉันก็อยากทำหน้าที่พี่ที่ดีบ้างนี่ ฉันไปอยู่ต่างประเทศกินอยู่สบายมาตลอด แต่ดูวีร์...”
ระบิลพูดแทรกทันที
“ดลครับ เรียกให้ชินสิคุณ”
“เฮ้อ..ดล แต่ดูดลสิ โตมากับความลำบาก ฉันเหมือนเอาเปรียบน้องยังไงก็ไม่รู้”
เนติมาถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ ระบิลยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“คิดมากน่าคุณ อืม..ไม่เอากล่องที่คุณพ่อคุณให้มาเปิดหน่อยเหรอครับ เผื่อท่านจะฝากอะไรไว้ให้ผมบ้าง” ระบิลแกล้งพูดยียวน
“เพ้อแล้ว นายไปรู้จักคุณพ่อคุณแม่ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
เนติมามองระบิลอย่างขำๆ ก่อนหันไปหยิบกล่องไม้ที่คำเที่ยงให้ออกมาแล้วเอากุญแจดอกเล็กๆที่ติดมาด้วย ไขเปิด แต่ปรากฏว่าไขเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก
“เอ๊ะ..ทำไมเปิดไม่ออกนะ”
“สงสัยไม่ได้เปิดนานมั้งคุณ ล็อกมันเลยติดน่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมเปิดให้”
เนติมาพยักหน้ารับคำก่อนจะเก็บกล่องไม้ จังหวะเดียวกัน...โทรศัพท์มือถือของเนติมาก็ดังขึ้น เนติมาดูเบอร์แล้วยิ้มรีบกดรับสายทันที
“ค่ะพี่ศิวัช ขอโทษนะคะมัวแต่ยุ่งๆเรื่องน้องเลยลืมโทรบอกพี่ศิวัชเลย ตอนนี้เนติ์กลับถึงกรุงเทพฯแล้วนะคะ”
เนติมานิ่งฟังปลายสายนิดหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“พี่ศิวัชว่างเหรอคะ ได้ค่ะแล้วเจอกันนะคะ เนติ์ก็คิดถึงพี่ศิวัชค่ะ”
เนติมากดวางสายยิ้มอย่างมีความสุข ระบิลมองเนติมาแล้วอดยิ้มออกมาด้วยไม่ได้
ท่ามกลางทิวทัศน์ของตึกสูงกรุงเทพฯยามค่ำคืน เนติมากับศิวัชกำลังดินเนอร์กันใต้แสงเทียนท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนจะ โรแมนติก ทั้งสองคนสบตากันด้วยความรักอย่างมีความสุข
“เราไม่ได้ดินเนอร์กันอย่างนี้มานานแล้วนะ”
“ก็พี่ศิวัชยุ่งนี่คะ”
เนติมาชำเลืองไปรอบๆแล้วถาม
“แล้วนี่พี่ศิวัชไม่กลัวเป็นข่าวเหรอคะ”
“ไม่เห็นแปลกนี่จ๊ะ ก็พี่มาทานอาหารกับเลขาส่วนตัว”
ศิวัชเอื้อมมือไปจับมือเนติมาด้วยความอ่อนโยน
“แต่อีกไม่นาน ทุกคนในสังคมจะได้รู้จักเนติ์ในฐานะคนรักไม่ใช่แค่เลขาส่วนตัวอย่างที่ทุกคนเข้าใจ”
“แต่คุณพ่อพี่ศิวัชยังเป็นห่วงว่า...”
“เราเข้ามาบริหารประเทศได้แล้ว พี่ว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก”
ศิวัชขยับมือไปจับแหวนวงที่ให้เนติมาสวมติดนิ้วไว้พร้อมพูดอย่างหนักแน่น
“สัญญาเรื่องงานแต่งงานของเราจะได้เริ่มนับหนึ่งซะที”
เนติมายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินคำพูดของศิวัช เนติมากุมมือศิวัชตอบด้วยความรัก จังหวะเดียวกันเนติมาก็หันไปมองระบิลที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ห่างออกไปแล้วอด รู้สึกเห็นใจไม่ได้
“เกรงใจคุณระบิลเขาจังเลยนะคะ”
ศิวัชมองตามแล้วบอก
“ชวนเขามานั่งด้วยกันมั้ยล่ะจ๊ะ”
“พี่ศิวัชไม่ว่าอะไรนะคะ”
“จะว่าอะไรล่ะจ๊ะ คนกันเองทั้งนั้น”
ศิวัชยิ้มอย่างจริงใจ เนติมายิ้มรับแล้วรีบกดโทรศัพท์ไปหาทันที ระบิลชะงักนิดหนึ่งเมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น ระบิลมองดูชื่อที่ขึ้นมาก็หันมามองเนติมาด้วยความสงสัย เนติมารีบทำท่าทางบอกให้ระบิลรับสาย ระบิลรับสายอย่างงงๆ
“มีอะไรคุณ อยู่กันแค่นี้ทำไมต้องโทรหาด้วย นั่นแน่ ทะเลาะกันอ่ะดิ แล้วจะให้ผมไปเคลียร์ เสียใจนะครับผมรับจ้างเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวไม่ได้รับจ้างเคลียร์ปัญหา หัวใจ”
“นี่..พูดมากจริงๆเลย ฉันแค่จะชวนนายมานั่งด้วยเท่านั้นแหละ”
เนติมาพูดอย่างหมั่นไส้ที่โดนระบิลแกล้ง ระบิลตอบอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ได้หรอกคุณ ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่ อย่าลืมนะคุณ ว่าคุณศิวัชไม่ได้เอาทีมบอดี้การ์ดมาด้วยนะครับ”
“นั่งตรงนี้ก็ปฏิบัติหน้าที่ได้นี่นา นั่งคนเดียวไม่เหงาเหรอไง”
เนติมาพูดด้วยความเป็นห่วง ระบิลมองไปเห็นศิวัชยิ้มมาให้อย่างเชิญชวน ระบิลยิ้มอย่างเกรงใจก่อนพูดสายต่อ
“ผมอยู่คนเดียวจนความเหงาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผมแล้วล่ะครับ คุณกับคุณศิวัชใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ อีกอย่างมุมที่ผมนั่งตรงนี้ ใครไปใครมาผมเห็นได้หมดดูแลความปลอดภัยให้คุณได้ดีที่สุดครับ”
ระบิลพูดด้วยรอยยิ้มแล้วตัดวางสาย เนติมานิ่วหน้ามองระบิลด้วยความหมั่นไส้ ก่อนหันไปบอกศิวัช
“ไม่ยอมมาค่ะดื้อชะมัดเลย”
“คุณระบิลคงเกรงใจน่ะจ้ะ แต่ก็ทำให้เราสองคนอยู่ด้วยกันมากขึ้นไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
ศิวัชยิ้มกระชับมือเนติมาที่ยิ้มสบตาศิวัชอย่างมีความสุข ระบิลชำเลืองแล้วอดที่จะสลดลงไม่ได้ เอื้อมมือไปหยิบรูปของเอมมิกาคนรักเก่าที่อยู่ในกระเป๋าเงินขึ้นมาดูด้วย ความคิดถึง
“เอม..พี่คิดถึงหนูนะคะ”
ระบิลพยายามตัดใจเรียกสติคืนมาก่อนจะเก็บรูปคนรักเก่าแล้วมองออกไปรอบๆแล้วต้องชะงักด้วยความตกใจเมื่อเห็น...
“ซวยแล้วไง !”
เนติมากับศิวัชกำลังสบตากันอย่างมีความสุข
“พี่ศิวัชคะ”
เนติมากับศิวัชชะงักด้วยความตกใจ รอยยิ้มเจื่อนลงพร้อมกับความสุขที่มีอยู่หายวับไปทันที เมื่อหันไปเห็นปฏิพรแต่งตัวสุดเปรี้ยวเข้ามายืนยิ้มอยู่
ศิวัชเดินคุยโทรศัพท์บริเวณทางเดินในร้านอาหารด้วยสีหน้าจริงจัง โดยมีปฏิพรคล้องแขนเดินประกบคู่มาด้วย ส่วนระบิลกับเนติมาเดินตามหลังคู่กันมา เนติมาพยายามเก็บความรู้สึกอย่างที่สุด
“ครับคุณพ่อ อีกไม่เกินชั่วโมงผมไปถึงครับ”
ศิวัชวางสายแล้วถอนใจด้วยความอึดอัด ก่อนหันมายิ้มเจื่อนกับเนติมา
“คุณพ่อให้พี่ตามไปงานบ้านท่านกฤษณ์ ไปกับพี่...”
ปฏิพรรีบพูดแทรกขึ้นทันที
“ท่าทางคุณเนติ์เหนื่อยๆนะคะ เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอคะ”
“แต่...”
“งานที่บ้านท่านกฤษณ์เป็นงานภายใน พี่ศิวัชเองก็ต้องคุยธุระกับท่านทูตตั้งหลายชาติกว่าจะเลิกก็ดึกนะคะ จะเอาเวลาที่ไหนไปเทคแคร์คุณเนติ์ล่ะคะ”
ปฏิพรแกล้งพูดโน้มน้าวด้วยรอยยิ้ม เนติมาถอนใจก่อนฝืนยิ้มพูดกับศิวัชเพื่อความสบายใจ
“พี่ศิวัชไปเถอะ เนติ์เองก็เหนื่อยๆเหมือนกัน อีกอย่างอยากกลับไปเคลียร์งานให้พี่ศิวัชด้วย”
“โชคดีนะคะที่ตี้แวะมาหาเพื่อนแล้วเจอพี่ศิวัชที่นี่พอดี พี่ศิวัชจะได้ไปรถตี้ด้วยกันเลย”
ปฏิพรพูดอย่างชอบใจ ศิวัชยิ้มให้ปฏิพรอย่างปฏิเสธไม่ได้ ก่อนหันไปจับมือเนติมาพูดด้วยความรู้สึกผิด
“พี่ขอโทษนะเนติ์”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะเนติ์เข้าใจ พี่ศิวัชมีหน้าที่ที่ต้องทำนี่คะ สู้ๆนะคะ”
เนติมายิ้มกลบเกลื่อนให้กำลังใจศิวัช ศิวัชยิ้มอย่างโล่งใจหันไปบอกกับระบิล
“ฝากเนติ์ด้วยนะครับคุณระบิล”
“ไม่ต้องห่วงครับ”
ระบิลยิ้มรับปากอย่างหนักแน่น ศิวัชยิ้มตอบอย่างขอบคุณก่อนหันไปสบตาเนติมานิดหนึ่งก่อนเดินออกไปพร้อมปฏิ พร ขณะที่ปฏิพรชำเลืองสายตาหันมามองเนติมาอย่างมีชัย เนติมามองตามศิวัชไปด้วยรอยยิ้มที่ค่อยๆเจื่อนลง
source: manager.co.th
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น