วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อ่านละครหงส์สะบัดลาย ตอนที่ 7

เนติมากำลังนอนหลับอยู่ในมุ้งภายในห้องนอนของอนงค์ที่บ้านสวน เนติมากำลังกระสับกระส่ายจากฝันร้าย
        
       “คุณพ่อ..คุณแม่..ไม่..ไม่ !”
       เนติมาสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่งทั้งน้ำตาก่อนตั้งสติแล้วหันไปมอง อนงค์ที่นอนอยู่ข้างๆขยับกายเล็กน้อย เนติมาปาดน้ำตาก่อนหันมองออกไปนอกหน้าต่างด้านนอกซึ่งยังมีฝนพรำอยู่ พลางขยับออกจากมุ้งไปอย่างเงียบๆ
       ส่วนระบิลนั่งเหม่อมองฝ่าสายฝน ครุ่นคิดถึงชีวิตของตัวเองในอดีตอยู่ที่บันไดบ้านสวนคำเที่ยงก่อนชำเลืองหาง ตาไปที่ด้านหลังนิดหนึ่งก่อนพูดอย่างรู้ทัน
       “ยังไม่นอนอีกเหรอคุณ”
       เนติมามองระบิลอย่างเซ็งๆ ก่อนลงนั่งข้างๆ
       “อุตส่าห์เดินเบาแล้วเชียว”
       “จังหวะการเดินของคุณผมจำได้แล้ว”
       ระบิลตอบนิ่งๆ เนติมาอมยิ้มมองระบิลอย่างหมั่นไส้นิดๆ
       “แหม..จะอวดว่าประสาทสัมผัสดีก็บอกเถอะ...แล้วนายมานั่งทำอะไรตรงนี้ หน้าตาดูไม่ค่อยสบายใจเลย มีอะไรรึเปล่า”
       “คุณจำตอนที่ผมยืนเหม่ออยู่ที่ริมแม่น้ำได้มั้ยครับ”
       เนติมาคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
       “อ๋อ..ที่นายไม่ยอมตอบฉันน่ะเหรอ เห็นมั้ย ฉันเดาไม่ผิดจริงๆด้วยว่านายต้องมีอะไรในใจ นายมีอะไรไม่สบายใจบอกฉันได้มั้ย”
       ระบิลยิ้มเศร้าๆก่อนตัดสินใจพูดออกมา
       “เห็นคุณพบน้องชาย ผมก็อดคิดถึงพี่ชายผมไม่ได้”
       “พี่ชาย”
       “ครับ..เรามีกันอยู่สองคนพี่น้อง”
       “แล้ว..ตอนนี้พี่ชายนายอยู่ไหนเหรอ”
       ระบิลถอนใจออกมา ก่อนพูดด้วยความไม่สบายใจ
       “หายสาปสูญครับ ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง”
       เนติมาอึ้งกับสิ่งที่ระบิลพูด ระบิลมองฝ่าความมืดออกไปคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต
      
       ที่บ้านสวนระบิล ก้องในชุดเครื่องแบบทหารภาคสนามกำลังยกเป้เดินทางขึ้นสะพาย หันไปพูดกับระบิลในวัย 17 ปีที่มายืนส่งอย่างสนิทสนม
       “เที่ยวนี้พี่ไปหลายวัน ยังไงดูแลบ้านดีๆนะระบิล”
       “ไม่ต้องห่วงครับพี่ก้อง พี่ก้องนั่นแหละอยู่ชายแดนก็ระวังตัวนะครับ”
       ก้องยิ้มพลางตบบ่าระบิลอย่างเป็นกันเอง ก่อนเอื้อมมือไปกุมมือจิ๊กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
       “ดูแลตัวเองดีๆนะจิ๊ก เสร็จภารกิจแล้วพี่จะรีบกลับมาทันที”
       จิ๊กพูดอะไรไม่ออกรู้สึกใจเสียจนน้ำตาคลอเบ้า ก้องเอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้ ก่อนหันไปหาปานที่ยืนยิ้มให้อยู่
       “ฝากน้องกับแฟนกูด้วยนะปาน”
       “เออ..มึงไม่ต้องห่วง แต่กูไม่รับฝากตลอดชีวิตนะโว้ย ยังไงมึงต้องกลับมาเอาน้องกับแฟนมึงคืนไป สองคนกินจุตายชัก โดยเฉพาะไอ้ระบิล กินจุอย่างกับช้าง ขืนฝากไว้นานมีหวังกูกินแกลบ”
       ปานพูดขำๆเรียกรอยยิ้มให้ทุกคน ก้องหันไปมองระบิลและพูดด้วยความภูมิใจ
       “แน่ใจนะ ว่าแกไม่อยากสวมเครื่องแบบทหารเหมือนพี่”
       “ผมอยากเป็นตำรวจครับพี่ก้อง ผมอยากจับผู้ร้าย”
       ระบิลพูดยิ้มอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นทันทีที่พูดถึงการเรียนตำรวจ ก้องมองระบิลด้วยความเข้าใจ ก่อนดึงน้องชายเข้ามากอดด้วยความสนิทสนม
       “พี่จะรอวันที่แกสวมชุดนักเรียนนายร้อยตำรวจ”
       ระบิลกระชับกอดพี่ชาย แววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ได้รับจนเกิดความมั่นใจอย่างที่สุด
       ผ่านเวลาไป... ระบิลในชุดเครื่องแบบนักเรียนนายร้อยตำรวจเดินเข้ามาหยุดมองประตูบ้านตัวเอง ที่เปิดค้างไว้ ระบิลยิ้มจัดเครื่องแบบของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางด้วยความภูมิใจ ก่อนจะเดินดิ่งขึ้นไปที่บ้าน
       ระบิลเดินขึ้นมาบนบ้านเพื่ออวดเครื่องแบบให้พี่ชายดู
       “ทหารอยู่ไหน ตำรวจมาแล้วจ้า...พี่ก้อง อ้าว...”
       ระบิลต้องชะงักเมื่อเห็นภายในไม่มีใครอยู่สักคนเดียว ระบิลมองไปรอบๆเห็นข้าวของหล่นระเกะระกะกระจัดกระจาย ระบิลรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันที
       “พี่ก้อง..พี่ก้อง !”
       ระบิลตะโกนเสียงดังพร้อมวิ่งไปดูตามห้องต่างๆแต่ไม่พบใครสักคนเดียว ก่อนจะกลับมายืนมองรอบๆบริเวณที่ข้าวของหล่นกระจายด้วยความรู้สึกใจไม่ดี ขึ้นมาทันที
      
       สายฝนยังคงพรำต่อเนื่อง ระบิลถอนใจก่อนพูดบอกเนติมาอย่างเศร้าๆ
       “จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็สิบปีแล้วล่ะครับ ผมก็ไม่ได้พบพี่ก้องอีกเลย”
       เนติมาคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
       “สิบปีเท่ากับบ้านฉันมีเรื่องเลยนะ”
       ระบิลถอนใจแล้วบอก
       “ตอนคุณเจอกับน้องคุณ ผมถึงสะท้อนใจไงครับ”
       เนติมาเอื้อมมือไปจับมือระบิลให้กำลังใจ
       “ฉันเชื่อ ว่าสายใยของพี่น้องจะพานายกับพี่ชายกลับมาพบกัน อืม..แล้วแฟนพี่นายกับเพื่อนสนิทพี่นายล่ะ เขาน่าจะรู้อะไรบ้างนะ”
       “พี่จิ๊กย้ายบ้านแล้วติดต่อไม่ได้อีกเลย ส่วนพี่ปาน... คุณเคยเจอแล้ว”
       เนติมานิ่วหน้าด้วยความสงสัย ระบิลตัดสินใจพูด
       “พี่ปานไปทำงานกับนายอิทธิหาญ”
       “อะไรนะ !”
       “พี่ปานเป็นนักเลง แต่ก็ไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมายถึงขนาดไปทำงานให้คนชั่วๆอย่างนั้น ที่สำคัญพี่ปานไม่ยอมพูดถึงเรื่องพี่ก้องอีกเลย ได้แต่เตือนให้ผมถอนตัวจากการทำงานให้คุณซะ”
       “คำเตือนนี้คงยืนยันได้ ว่าพวกมันไม่ปล่อยฉันกับน้องชายไว้แน่”
       เนติมาประเมินสถานการณ์ด้วยความแน่ใจ ระบิลเอื้อมมือไปจับมือเนติมาข้างที่ยังจับมือระบิลค้างอยู่ กระชับอย่างให้กำลังใจ
       “คุณไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครทำอะไรคุณเด็ดขาด”
       “ขอบคุณนะ ถึงนายจะพูดจายียวนกวนประสาทฉันบ่อยๆ แต่ฉันก็อุ่นใจที่มีนายอยู่ใกล้ๆนะ”
       เนติมายิ้มให้ระบิลอย่างขอบคุณ ทั้งสองคนสบตากันอย่างลืมตัว และยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ก่อนที่ทั้งสองคนจะชะงักและรีบปล่อยมือออกจากกันทันที “อุ๊ย”
       
       ทั้งระบิลกับเนติมาต่างยิ้มเจื่อนและรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก
 วันใหม่ในเวลากลางวัน รถคันหนึ่งผ่านแนวเขาเขียวขจีเข้ามาจอดที่ไร่อิทธิหาญ
        
       อิทธิหาญ ปานและลูกน้องอีก 2 คนลงมาจากรถ โดยมีทนง โปรย และลูกน้องอีกจำนวนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว อิทธิหาญมองไปรอบๆบริเวณไร่ของตนที่กว้างขวาง สวยงาม มีพื้นที่ติดเขาสูง ซึ่งมีบ้านใหญ่หลังงามของตนตั้งตระหง่านอยู่ด้วยความพอใจ
       “ทุกอย่างเรียบร้อยใช่มั้ย”
       “เรียบร้อยครับเสี่ย” ทนงบอก
       ปานเหมือนมองหาใครแล้วถาม
       “ไอ้ชูอยู่ไหน”
       “อยู่นี่”
       ชูศักดิ์กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาจากตัวบ้านพัก พลางรีบจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองที่หลุดลุ่ยอย่างลวกๆ ลูกน้องที่ยืนรออยู่หันมามองหน้ากันขำๆอย่างรู้กัน ขณะที่ปานมองอย่างระอา
       “มูมมามเหมือนเดิมนะมึง”
       “แหม..ก็เด็กที่เสี่ยเอามาให้มันเด็ดนี่หว่า ใช่มั้ยวะพวกเรา”
       ชูศักดิ์หันไปพูดกับทนง โปรยและลูกน้องที่อยู่ในไร่ แต่ละคนหัวเราะชอบใจอย่างรู้กัน อิทธิหาญยิ้มอย่างสะใจมองเลยไปยังบ้านพักคนงานหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
      
       สาววัยรุ่นคนเดิมอยู่ในสภาพสะบักสะบอม นอนตาลอยตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ใต้ผ้าห่ม อิทธิหาญยืนมองสาววัยรุ่นคนนั้นด้วยความสะใจ ก่อนหันไปสั่งทนง ชูศักดิ์ โปรย อย่างอารมณ์ดี
       “แล้วแต่พวกแกว่าจะเก็บไว้สนุกต่อหรือจะเอาไปทำปุ๋ย”
       “เสี่ยครับ ผมว่า...”
       ปานพยายามห้ามด้วยความสมเพชสาววัยรุ่นคนนั้น อิทธิหาญหันมาตอบอย่างหัวเสีย
       “เฮ้ย..ทำไมแกชอบขัดฉันนักวะ สภาพอย่างนี้ขายต่อก็เสียราคา เอาไว้ให้ไอ้พวกเปลี่ยวที่นี่แก้เหงา หรือเอาไปเป็นปุ๋ยยังมีประโยชน์กว่า ช่วยไม่ได้..ใจแตก ก็ต้องแหลกอย่างนี้ล่ะวะ ฮ่าๆๆ”
       อิทธิหาญหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ทนง โปรย ชูศักดิ์ยิ้มอย่างชอบใจ จังหวะเดียวกันลูกน้องอิทธิหาญคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน
       “เสี่ยครับ !”
       “มีอะไร”
       “นายมาครับ !”
       อิทธิหาญกับปานหันมามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
      
       พงษ์เลิศยืนมองวิวสวยงามของธรรมชาติเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนหันมาพูดกับอิทธิหาญอย่างจริงจัง
       “ช่วงนี้เรื่องแรงงานต่างด้าวระวังๆหน่อยก็แล้วกัน” พงษ์เลิศว่า
       “เสียจังหวะชะมัด ออเดอร์ยิ่งเยอะๆอยู่ด้วย”
       “ยังไงก็ต้องระวังค่ะ นโยบายของนายกฯศิวัชเข้มงวดมาก” ชลกรบอก
       “ยิ่งเข้มเท่าไหร่ หายนะก็ยิ่งใกล้ตัวมันมากขึ้นเท่านั้น อย่าเผลอนะมึงจะถีบลงไปคุยกับรากมะม่วงให้ดู”
       อิทธิหาญพูดอย่างหงุดหงิด ขณะที่พงษ์เลิศมองไปยังภูเขาที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปอย่างครุ่นคิด
       “ปาน...”
       “ครับนาย”
       “ที่ตรงเชิงเขาลูกนั้นไปถึงไหนแล้ว”
       “อีกสองวันคนงานจะเข้าไปถางแล้วครับนาย ส่วนอีกด้านที่ถางไปแล้ว คนงานเตรียมกล้ายางไว้แล้วครับ” ปานบอก
       “แล้วอย่างนี้พ่อไม่กลัวพวกไอ้ศิวัชมันเล่นงานเอาเหรอ”
       อิทธิหาญถามด้วยความสงสัย พงษ์เลิศยิ้มอย่างใจเย็น
       “เราค่อยๆขยายแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ใครจะไปสังเกต อีกอย่างมองจากข้างนอกมาก็ยังเห็นเป็นป่าสมบูรณ์ ใครจะรู้ว่าด้านในมันโบ๋เป็นเขาหัวโล้น”
       “คุณก็รู้นี่คะคุณอิทธิหาญว่า เจ้าหน้าที่ที่ดินแถวนี้ก็คนของเราทั้งนั้น อยากได้ตรงไหนก็จิ้มเอา เดี๋ยวโฉนดก็ลอยมาอยู่ในมือ”
       ชลกรยิ้มพูดอย่างใจเย็น อิทธิหาญคิดตามแล้วยิ้มออกมาอย่างได้ใจ ก่อนหันไปมองชลกรยิ้มๆ
       “รวมทั้งเสน่ห์ของเธอด้วยใช่มั้ย ที่มั่นใจว่าจะกุมบังเหียนไอ้ธำรงมันได้”
       ชลกรไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มอย่างมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองว่าจะมัดใจธำรงได้ตามแผน
      
       ภายในห้องประชุม ที่ทำการพรรคสยามพัฒนา ธำรงลงนั่งที่เก้าอี้พลางหันมองนักการเมืองที่ใส่สูทดูภูมิฐานนั่งเรียงกัน อยู่ที่โต๊ะประชุมอย่างพร้อมเพรียง ธำรงยิ้มอย่างชอบใจ
       “ขอบคุณทุกพรรคมากนะครับที่มาประชุมนอกรอบวันนี้”
       นักการเมืองคนหนึ่งพูดขึ้น
       “แต่แปลก ไม่ยักมีคุณพงษ์เลิศ”
       นักการเมืองต่างมองกันด้วยความสงสัย ธำรงยิ้มพูดอย่างใจเย็น
       “เรื่องนี้ผมคงตอบไม่ได้เพราะเป็นความต้องการของท่านนายกฯ”
       ธำรงยิ้มหันไปที่หัวโต๊ะซึ่งมีศิวัชนั่งเป็นประธานอยู่ ศิวัชยิ้มเล็กน้อยก่อนพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
       “เพราะผมต้องการพูดในสิ่งที่คุณพงษ์เลิศไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะวันนี้เราจะไม่พูดกันเรื่องผลประโยชน์ทางการเมือง แต่เราจะพูดถึงสิ่งที่พวกเราจะทำให้ประเทศชาติ และผมก็เลือกแล้วว่าทุกท่านที่ผมเชิญมาวันนี้มองไปในทิศทางเดียวกับผม”
       ศิวัชคิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนพูดออกมาอย่างหนักแน่น
       “ประเทศถูกย่ำยีมามากแล้ว เราต้องช่วยกันนะครับ ก่อนลูกหลานจะตำหนิคนรุ่นเราได้ว่า ทิ้งมรดกเฮงซวยไว้ให้พวกเขา”
       นักการเมืองที่นั่งฟังอยู่ต่างพยักหน้ารับ เข้าใจในสิ่งที่ศิวัชพูด
       ศิวัชลุกขึ้นยืนเดินไปรอบๆพลางอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างคล่องแคล่ว นักการเมืองคนหนึ่งถามศิวัชด้วยความสงสัย ศิวัชตอบคำถามอย่างฉะฉานฉายภาพความเป็นผู้นำออกมาอย่างชัดเจน
       
       ธำรงมองการทำงานของลูกชายแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ด้วยความชื่นชมและมั่นใจ
บนโต๊ะอาหารบ้านกันต์ ผู้กำกับวิเชียรกับเจือจันทร์ช่วยกันยกจานกับข้าวมาวางบนโต๊ะอาหาร โดยมีกันต์นั่งรออยู่แล้ว ขวัญชนกเดินเข้ามามองอาหารบนโต๊ะด้วยความแปลกใจ
       
       “ทำไมวันนี้คุณแม่ทำอาหารเยอะจังคะ”
       “ไม่ใช่แม่ทำหรอกลูก ทั้งหมดเนี่ยของผู้กำกับเขาทั้งนั้น” เจือจันทร์บอก
       “บอกไม่ต้องๆก็ไม่เชื่อ ดูสิเต็มโต๊ะเลย” กันต์พูดอย่างอารมณ์ดี
       ขวัญชนกมองผู้กำกับวิเชษฐ์ที่ยิ้มอารมณ์ดีด้วยความแปลกใจ
       “ไม่ต้องตกใจครับน้องขวัญ พี่ไม่ใช่เชฟกระทะทองอย่างเจ้าระบิลเขา พี่เป็นพ่อบ้านร้านข้าวแกง ฝากลูกน้องซื้อมาทั้งนั้น แต่ร้านนี้เขาอร่อยนะครับ มาครับมาลองชิมดู”
       ผู้กำกับวิเชษฐ์เดินไปขยับเก้าอี้ให้ขวัญชนกนั่งอย่างเอาใจ ขวัญชนกรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะนั่งลง ผู้กำกับวิเชษฐ์รีบเดินไปขยับเก้าอี้ให้เจือจันทร์นั่งอย่างเอาใจ
       “เชิญครับ”
      
       ภายในสวนหย่อม ผูกำกับวิเชษฐ์ยื่นหนังสือตำราวิชาการเล่มหนาสองเล่มให้ขวัญชนก
       “สองเล่มนี้ใช่มั้ยครับ ที่น้องขวัญหาอยู่”
       ขวัญชนกรับหนังสือมาดูนิดหนึ่งอย่างรู้สึกเกรงใจ
       “ขอบคุณมากนะคะผู้กำกับ บ้านขวัญรบกวนผู้กำกับตั้งหลายอย่าง ไหนจะมาดูแลความปลอดภัย ไหนจะอาหาร แล้วนี่ยัง...”
       “พี่เต็มใจน่ะครับ”
       ผู้กำกับวิเชษฐ์ชิงพูดออกมาด้วยความจริงใจพลางสบตาจนขวัญชนกต้องหลบตา ทำอะไรไม่ถูก
      
       ผู้กำกับวิเชษฐ์กับขวัญชนกกำลังเดินคุยกันอยู่ในแปลงดอกไม้ที่ระบิล ปลูกไว้ ผู้กำกับวิเชษฐ์ช่วยขวัญชนกรดน้ำต้นไม้อยู่ไม่ห่าง เจือจันทร์ที่มองภาพตรงหน้าผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นออกไปด้วยความไม่สบายใจ
       “ผู้กำกับวิเชษฐ์นี่ชักยังไงๆแล้วนะคะคุณ”
       “ก็ไม่เห็นยังไงนี่คุณ คนรู้จักกันเขาก็ยืนคุยกัน เรื่องปกติ”
       กันต์พูดทั้งๆที่ยังอ่านทบทวนหนังสือประมวลกฎหมายอยู่อย่างไม่คิดอะไรมาก แต่เจือจันทร์ยังคงร้อนใจรีบดึงหนังสือออกจากมือกันต์
       “โธ่..คุณ สนใจหน่อยสิคะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ”
       “แต่มันเป็นเรื่องธรรมชาตินะคุณ”
       “เรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา เป็นธรรมชาติเหรอคะ”
       เจือจันทร์พูดด้วยน้ำเสียงเครียด นึกถึงอดีตที่เลวร้าย
      
       ภายในห้องนอนบ้านกันต์ เจือจันทร์นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าตื่นกลัวเป็นอย่างมาก
       “ไม่ ! อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
       เจือจันทร์เห็นโปรยกับชูศักดิ์ มองมาด้วยสีหน้าหื่นกระหาย ทั้งสองคนยิ้มสะใจ
       “เสียเวลาน่า ยังไงพวกข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกโว้ย ฮ่าๆ” โปรยบอก
       “อยู่เฉยๆจะได้ไม่เจ็บตัว ฮ่าๆ … เฮ้ย..รายนี้ข้าให้เอ็งก่อนเลยโว้ย ฮ่าๆ” ชูศักดิ์บอก
       “ได้เลยเพื่อน ฮ่าๆ”
       โปรยกับชูศักดิ์หัวเราะชอบใจ ก่อนที่โปรยจะเข้ามาหาเจือจันทร์อย่างหื่นกระหาย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเจือจันทร์ที่เต็มไม่ด้วยความกลัว
      
       ภายในห้องนั่งเล่น เจือจันทร์ร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น เมื่อนึกถึงอดีตอีกครั้ง
       “ฉันจะไปเอาลูกเข้าบ้าน”
       เจือจันทร์ขยับจะลุกออกไป แต่กันต์รีบรั้งไว้ทันที
       “อย่าให้อดีต ไปปิดประตูที่ลูกจะกลับออกไปสู่โลกกว้างเลยนะคุณ”
       “แต่...”
       “ผมก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าคุณเหมือนกันนะ แต่เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่า เราจะเข้มแข็ง เราต้องหลุดจากความทรงจำร้ายๆนี้ให้ได้นะ”
       กันต์พยายามพูดอย่างใจเย็น เจือจันทร์นิ่งฟังพลางมองขวัญชนกกับผู้กำกับวิเชษฐ์อยู่ด้วยสายตาที่อดเป็น ห่วงไม่ได้ กันต์เอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้เจือจันทร์
       “เราสองคนคอยเป็นผู้ดูที่ดี ดีกว่านะ ลูกของเรากำลังจะเข้มแข็งขึ้นเห็นมั้ย”
       “แต่...”
       “ผู้กำกับวิเชษฐ์ก็ไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสียนี่ เขาก็ดูเป็นสุภาพบุรุษดีนะ อย่างน้อยทุกอย่างก็อยู่ในสายตาเรานะคุณ”
       กันต์พูดยิ้มๆ เจือจันทร์ดูจะโล่งใจขึ้นบ้างแต่ก็ยังอดเป็นห่วงขวัญชนกอยู่ไม่ได้
      
       ที่บ้านสวนในเวลากลางวัน คำเที่ยงยื่นกล่องไม้เล็กๆให้เนติมา
       “นี่ครับกล่องที่คุณวิเชียรให้ผมเก็บไว้ให้คุณหนูครับ”
       เนติมามองกล่องในมือแล้วรู้สึกสลดลงเล็กน้อยก่อนหันไปยกมือไหว้คำเที่ยง
       “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะคุณลุง”
       “แล้วแวะมาเที่ยวใหม่กันใหม่นะ … ดลกับอ้อก็ขยันเรียนนะลูก แล้วก็ระวังตัวด้วยล่ะ” คำเที่ยงบอก
       “ไม่ต้องห่วงจ้ะพ่อ”
       “ผมดูแลน้องเองครับพ่อ” ยศวีร์บอก
       ยศวีร์และอนงค์เข้าไปกอดคำเที่ยงด้วยความรักพลางหันมายิ้มให้กันอย่างอบอุ่น ระบิลกับเนติมาอดยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้
      
       ระบิลกับเนติมาเดินเข้ามามองสภาพรอบๆห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายในคอนโดฯของยศวีร์
       “อืม..เล็กกะทัดรัดน่าอยู่ดีนะครับ” ระบิลบอก
       “แต่สำหรับชาวสวนอย่างพ่อก็ถือว่าราคาแพงอยู่เหมือนกันครับ ผมถึงต้องทำงานพิเศษช่วยพ่อประหยัด” ยศวีร์บอก
       “ใครว่าพี่ดลทำคนเดียว อ้อก็ช่วยทำงานพิเศษเหมือนกันนะคะ” อนงค์พูดพลางยกมือนำเสนอด้วยความภูมิใจ
       ยศวีร์ยิ้มชอบใจเอื้อมมือไปลูบหัวอนงค์ด้วยความเอ็นดู เนติมาที่เดินดูรอบๆแล้วหันไปพูดกับน้องชายด้วยความไม่สบายใจนัก
       “พี่ว่าไปอยู่ด้วยกันดีกว่านะ ดลกับอ้อจะได้เรียนอย่างเดียว ไม่ต้องทำงานลำบากอย่างนี้”
       “แต่ผมว่าแยกกันอยู่อย่างนี้ดีแล้วนะครับ” ระบิลพูดแทรกขึ้นมา
       เนติมามองหน้าระบิลแล้วถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
       “เฮ้อ..เรียกชื่อวีร์ไม่ได้ แล้วยังต้องแยกกันอยู่อีก”
       “เพื่อความปลอดภัยน่ะครับ”
       ระบิลพูดอย่างใจเย็น เนติมาพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่มีทางเลือก
       “ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละครับ”
       “ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ พี่เนติ์คิดถึงพี่ดลเมื่อไหร่ อ้อจะพาพี่ดลไปหาทันทีเลยจ้ะ” อนงค์บอก
       เนติมายิ้มให้อนงค์อย่างขอบคุณ พร้อมดึงยศวีร์เข้ามากอด
       “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน พี่เอาความสุขกลับคืนมาให้ครอบครัวของเราให้ได้”
       “ครับพี่เนติ์”
      
       ยศวีร์ยิ้มตอบอย่างมีกำลังใจพลางกอดพี่สาวด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความผูกพัน
 ภายในรถ เวลาต่อมา เนติมานั่งถอนใจด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ระบิลมองแล้วยิ้มๆ
        
       “หงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจเหรอคุณ”
       “นิดหน่อยน่ะ แล้วนี่ดูสิให้เงินก็ไม่ยอมรับอีก”
       “คุณน่าจะดีใจนะครับ ที่น้องชายคุณเก่งเอาตัวรอดได้ขนาดนี้”
       “แต่ฉันก็อยากทำหน้าที่พี่ที่ดีบ้างนี่ ฉันไปอยู่ต่างประเทศกินอยู่สบายมาตลอด แต่ดูวีร์...”
       ระบิลพูดแทรกทันที
       “ดลครับ เรียกให้ชินสิคุณ”
       “เฮ้อ..ดล แต่ดูดลสิ โตมากับความลำบาก ฉันเหมือนเอาเปรียบน้องยังไงก็ไม่รู้”
       เนติมาถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ ระบิลยิ้มอย่างอารมณ์ดี
       “คิดมากน่าคุณ อืม..ไม่เอากล่องที่คุณพ่อคุณให้มาเปิดหน่อยเหรอครับ เผื่อท่านจะฝากอะไรไว้ให้ผมบ้าง” ระบิลแกล้งพูดยียวน
       “เพ้อแล้ว นายไปรู้จักคุณพ่อคุณแม่ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
       เนติมามองระบิลอย่างขำๆ ก่อนหันไปหยิบกล่องไม้ที่คำเที่ยงให้ออกมาแล้วเอากุญแจดอกเล็กๆที่ติดมาด้วย ไขเปิด แต่ปรากฏว่าไขเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก
       “เอ๊ะ..ทำไมเปิดไม่ออกนะ”
       “สงสัยไม่ได้เปิดนานมั้งคุณ ล็อกมันเลยติดน่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมเปิดให้”
       เนติมาพยักหน้ารับคำก่อนจะเก็บกล่องไม้ จังหวะเดียวกัน...โทรศัพท์มือถือของเนติมาก็ดังขึ้น เนติมาดูเบอร์แล้วยิ้มรีบกดรับสายทันที
       “ค่ะพี่ศิวัช ขอโทษนะคะมัวแต่ยุ่งๆเรื่องน้องเลยลืมโทรบอกพี่ศิวัชเลย ตอนนี้เนติ์กลับถึงกรุงเทพฯแล้วนะคะ”
       เนติมานิ่งฟังปลายสายนิดหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
       “พี่ศิวัชว่างเหรอคะ ได้ค่ะแล้วเจอกันนะคะ เนติ์ก็คิดถึงพี่ศิวัชค่ะ”
       เนติมากดวางสายยิ้มอย่างมีความสุข ระบิลมองเนติมาแล้วอดยิ้มออกมาด้วยไม่ได้
      
       ท่ามกลางทิวทัศน์ของตึกสูงกรุงเทพฯยามค่ำคืน เนติมากับศิวัชกำลังดินเนอร์กันใต้แสงเทียนท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนจะ โรแมนติก ทั้งสองคนสบตากันด้วยความรักอย่างมีความสุข
       “เราไม่ได้ดินเนอร์กันอย่างนี้มานานแล้วนะ”
       “ก็พี่ศิวัชยุ่งนี่คะ”
       เนติมาชำเลืองไปรอบๆแล้วถาม
       “แล้วนี่พี่ศิวัชไม่กลัวเป็นข่าวเหรอคะ”
       “ไม่เห็นแปลกนี่จ๊ะ ก็พี่มาทานอาหารกับเลขาส่วนตัว”
       ศิวัชเอื้อมมือไปจับมือเนติมาด้วยความอ่อนโยน
       “แต่อีกไม่นาน ทุกคนในสังคมจะได้รู้จักเนติ์ในฐานะคนรักไม่ใช่แค่เลขาส่วนตัวอย่างที่ทุกคนเข้าใจ”
       “แต่คุณพ่อพี่ศิวัชยังเป็นห่วงว่า...”
       “เราเข้ามาบริหารประเทศได้แล้ว พี่ว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก”
       ศิวัชขยับมือไปจับแหวนวงที่ให้เนติมาสวมติดนิ้วไว้พร้อมพูดอย่างหนักแน่น
       “สัญญาเรื่องงานแต่งงานของเราจะได้เริ่มนับหนึ่งซะที”
       เนติมายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินคำพูดของศิวัช เนติมากุมมือศิวัชตอบด้วยความรัก จังหวะเดียวกันเนติมาก็หันไปมองระบิลที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ห่างออกไปแล้วอด รู้สึกเห็นใจไม่ได้
       “เกรงใจคุณระบิลเขาจังเลยนะคะ”
       ศิวัชมองตามแล้วบอก
       “ชวนเขามานั่งด้วยกันมั้ยล่ะจ๊ะ”
       “พี่ศิวัชไม่ว่าอะไรนะคะ”
       “จะว่าอะไรล่ะจ๊ะ คนกันเองทั้งนั้น”
       ศิวัชยิ้มอย่างจริงใจ เนติมายิ้มรับแล้วรีบกดโทรศัพท์ไปหาทันที ระบิลชะงักนิดหนึ่งเมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น ระบิลมองดูชื่อที่ขึ้นมาก็หันมามองเนติมาด้วยความสงสัย เนติมารีบทำท่าทางบอกให้ระบิลรับสาย ระบิลรับสายอย่างงงๆ
       “มีอะไรคุณ อยู่กันแค่นี้ทำไมต้องโทรหาด้วย นั่นแน่ ทะเลาะกันอ่ะดิ แล้วจะให้ผมไปเคลียร์ เสียใจนะครับผมรับจ้างเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวไม่ได้รับจ้างเคลียร์ปัญหา หัวใจ”
       “นี่..พูดมากจริงๆเลย ฉันแค่จะชวนนายมานั่งด้วยเท่านั้นแหละ”
       เนติมาพูดอย่างหมั่นไส้ที่โดนระบิลแกล้ง ระบิลตอบอย่างอารมณ์ดี
       “ไม่ได้หรอกคุณ ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่ อย่าลืมนะคุณ ว่าคุณศิวัชไม่ได้เอาทีมบอดี้การ์ดมาด้วยนะครับ”
       “นั่งตรงนี้ก็ปฏิบัติหน้าที่ได้นี่นา นั่งคนเดียวไม่เหงาเหรอไง”
       เนติมาพูดด้วยความเป็นห่วง ระบิลมองไปเห็นศิวัชยิ้มมาให้อย่างเชิญชวน ระบิลยิ้มอย่างเกรงใจก่อนพูดสายต่อ
       “ผมอยู่คนเดียวจนความเหงาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผมแล้วล่ะครับ คุณกับคุณศิวัชใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ อีกอย่างมุมที่ผมนั่งตรงนี้ ใครไปใครมาผมเห็นได้หมดดูแลความปลอดภัยให้คุณได้ดีที่สุดครับ”
       ระบิลพูดด้วยรอยยิ้มแล้วตัดวางสาย เนติมานิ่วหน้ามองระบิลด้วยความหมั่นไส้ ก่อนหันไปบอกศิวัช
       “ไม่ยอมมาค่ะดื้อชะมัดเลย”
       “คุณระบิลคงเกรงใจน่ะจ้ะ แต่ก็ทำให้เราสองคนอยู่ด้วยกันมากขึ้นไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
       ศิวัชยิ้มกระชับมือเนติมาที่ยิ้มสบตาศิวัชอย่างมีความสุข ระบิลชำเลืองแล้วอดที่จะสลดลงไม่ได้ เอื้อมมือไปหยิบรูปของเอมมิกาคนรักเก่าที่อยู่ในกระเป๋าเงินขึ้นมาดูด้วย ความคิดถึง
       “เอม..พี่คิดถึงหนูนะคะ”
       ระบิลพยายามตัดใจเรียกสติคืนมาก่อนจะเก็บรูปคนรักเก่าแล้วมองออกไปรอบๆแล้วต้องชะงักด้วยความตกใจเมื่อเห็น...
       “ซวยแล้วไง !”
       เนติมากับศิวัชกำลังสบตากันอย่างมีความสุข
       “พี่ศิวัชคะ”
       เนติมากับศิวัชชะงักด้วยความตกใจ รอยยิ้มเจื่อนลงพร้อมกับความสุขที่มีอยู่หายวับไปทันที เมื่อหันไปเห็นปฏิพรแต่งตัวสุดเปรี้ยวเข้ามายืนยิ้มอยู่
      
       ศิวัชเดินคุยโทรศัพท์บริเวณทางเดินในร้านอาหารด้วยสีหน้าจริงจัง โดยมีปฏิพรคล้องแขนเดินประกบคู่มาด้วย ส่วนระบิลกับเนติมาเดินตามหลังคู่กันมา เนติมาพยายามเก็บความรู้สึกอย่างที่สุด
       “ครับคุณพ่อ อีกไม่เกินชั่วโมงผมไปถึงครับ”
       ศิวัชวางสายแล้วถอนใจด้วยความอึดอัด ก่อนหันมายิ้มเจื่อนกับเนติมา
       “คุณพ่อให้พี่ตามไปงานบ้านท่านกฤษณ์ ไปกับพี่...”
       ปฏิพรรีบพูดแทรกขึ้นทันที
       “ท่าทางคุณเนติ์เหนื่อยๆนะคะ เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอคะ”
       “แต่...”
       “งานที่บ้านท่านกฤษณ์เป็นงานภายใน พี่ศิวัชเองก็ต้องคุยธุระกับท่านทูตตั้งหลายชาติกว่าจะเลิกก็ดึกนะคะ จะเอาเวลาที่ไหนไปเทคแคร์คุณเนติ์ล่ะคะ”
       ปฏิพรแกล้งพูดโน้มน้าวด้วยรอยยิ้ม เนติมาถอนใจก่อนฝืนยิ้มพูดกับศิวัชเพื่อความสบายใจ
       “พี่ศิวัชไปเถอะ เนติ์เองก็เหนื่อยๆเหมือนกัน อีกอย่างอยากกลับไปเคลียร์งานให้พี่ศิวัชด้วย”
       “โชคดีนะคะที่ตี้แวะมาหาเพื่อนแล้วเจอพี่ศิวัชที่นี่พอดี พี่ศิวัชจะได้ไปรถตี้ด้วยกันเลย”
       ปฏิพรพูดอย่างชอบใจ ศิวัชยิ้มให้ปฏิพรอย่างปฏิเสธไม่ได้ ก่อนหันไปจับมือเนติมาพูดด้วยความรู้สึกผิด
       “พี่ขอโทษนะเนติ์”
       “ไม่เป็นไรหรอกค่ะเนติ์เข้าใจ พี่ศิวัชมีหน้าที่ที่ต้องทำนี่คะ สู้ๆนะคะ”
       เนติมายิ้มกลบเกลื่อนให้กำลังใจศิวัช ศิวัชยิ้มอย่างโล่งใจหันไปบอกกับระบิล
       “ฝากเนติ์ด้วยนะครับคุณระบิล”
       “ไม่ต้องห่วงครับ”
       ระบิลยิ้มรับปากอย่างหนักแน่น ศิวัชยิ้มตอบอย่างขอบคุณก่อนหันไปสบตาเนติมานิดหนึ่งก่อนเดินออกไปพร้อมปฏิ พร ขณะที่ปฏิพรชำเลืองสายตาหันมามองเนติมาอย่างมีชัย เนติมามองตามศิวัชไปด้วยรอยยิ้มที่ค่อยๆเจื่อนลง
       
source: manager.co.th  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น