วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

อ่านละคร ท่านชายในสายหมอก ตอนที่ 5

บรรยากาศงานฝังลูกนิมิตเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย พัชรีเดินเบียดผู้คนมาด้านหน้า เธอรู้สึกว่าอากาศร้อนแล้วก็เหนื่อย
       "นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าชาย ชั้นไม่มีทางมางานนี้หรอก"
       พัชรีเบียดมาถึงด้านหน้าแล้วส่องกล้องไปเห็นชรินทร์ ติ๊งโหน่ง ฉาดประภา และอำนาจกำลังเดินเข้ามาในงาน พัชรีหน้าตาตื่น รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปทันที
      
       ชรินทร์ ติ๊งโหน่ง และฉาดประภากำลังจะเริ่มทำพิธี พัชรีเดินไปถ่ายรูปไปโดยไม่ได้มองจึงชนหลังอำนาจเข้าอย่างจัง
       "โอ๊ย!”
       อำนาจหันมามองด้วยใบหน้าโหด เขามองหน้าพัชรีจนเธอผงะ
       "อุ๊ย ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ"
       พัชรีรีบเดินออกไป อำนาจมองแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
      
       ชรินทร์ ฉาดประภา และติ๊งโหน่งกำลังไหว้พระ โดยมีอำนาจยืนคุม พอใครจะเข้าใกล้ชรินทร์ อำนาจก็จะจับตัวเอาไว้
       "เดินไปอีกทาง" อำนาจสั่ง
       ชายคนนั้นตกใจรีบเดินออกไปอีกทาง
       ชรินทร์ ฉาดประภา และติ๊งโหน่งลุกขึ้นยืน ทั้งหมดเดินมาที่กล่องรับบริจาค ชรินทร์หยิบแบงค์พันปึกหนึ่งออกมา คนแถวนั้นตาลุกวาว ชรินทร์ยืดๆ ขึ้นมาทันที
       พัชรีย่องเข้ามาสอดแนมที่ด้านหลัง เธอหันไปมองติ๊งโหน่งแล้วก็เห็นว่าอยู่กับฉาดประภาตลอดเวลา
       "ชั้นจะเข้าถึงตัวยัยช้างน้ำยังไงดีเนี่ย? เฮ้อ"
       ชรินทร์ค่อยๆเอาแบงค์พันใส่ลงในกล่องรับบริจาค คนแถวนั้นเฮลั่นเป็นจังหวะ ติ๊งโหน่งกับฉาดประภาปรบมือด้วยความภูมิใจ
       "สามีเดี๊ยนเองฮ่ะ"
       "พ่อติ๊งเองค่า"
       พัชรีมองครอบครัวนี้แล้วก็ส่ายหน้าเอือมๆ
       "ประหลาดทั้งครอบครัว"
      
       ชรินทร์กำลังคุยอย่างออกรสกับเจ้าอาวาส โดยมีฉาดประภา ติ๊งโหน่ง และอำนาจยืนอยู่ใกล้ๆ
       "หลวงพ่อขา ชาติหน้าติ๊งอยากสวยเหมือนชาตินี้ ไม่ทราบว่าติ๊งต้องทำบุญด้วยอะไรคะ" ติ๊งโหน่งถาม
       "ก็ทำบุญด้วยของหอมๆ ของสวยๆ สิโยม ชาติหน้าจะได้เกิดมาหน้าสวย ตัวหอม" หลวงพ่อตอบ
       "ว๊าย! หลวงพ่ออ่ะ ชมกันได้ ติ๊งเขิน"
       หลวงพ่อเหวอ ฉาดประภารีบกระซิบลูกสาวที่กำลังเสียจริต
       "ลูกติ๊ง หลวงพ่อท่านไม่ได้ชม ท่านแค่พูดเป็นประโยคบอกเล่า"
       "อ้าว??" ติ๊งโหน่งเซ็ง
       ระหว่างนั้น เด็กที่มางานเห็นติ๊งโหน่งยืนอยู่ก็ทำท่าตื่นเต้นแล้วหันไปบอกพ่อกับแม่
       "พ่อแม่ ในวัดมีตัวประหลาดด้วย"
       พ่อกับแม่ของเด็กหันมามองติ๊งโหน่ง ติ๊งโหน่งยังไม่รู้ตัว
       "ไหนอ่ะตัวประหลาดอยู่ไหน" ติ๊งโหน่งมองหา
       เด็กชี้ไปที่ติ๊งโหน่ง พ่อกับแม่หน้าเสีย ติ๊งโหน่งกำมือแน่นแล้วก้โกรธจนควันออกหู
       "เด็กบ้า เดี๋ยวจับกินตับเลย"
       พ่อกับแม่กลัวมากจึงรีบพาลูกหนีไป ติ๊งโหน่งขู่ไล่หลัง
       "จะไปไหน แน่จริงมาตัวต่อตัวดิ แฮ่ แฮ่"
       ชรินทร์กับฉาดประภาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบไหว้หลวงพ่อ
       "ขอตัวนะครับ ลูกผมอาการกำเริบ" ชรินทร์รีบมาหาติ๊งโหน่ง "ลูกติ๊ง ใจเย็น ยุบหนอพองหนอ"
       ติ๊งโหน่ง หันขวับ "คุณพ่อว่าเค้าตัวพองเหรอ ตัวพองก็เป็นเหมือนคางคกสิ คุณพ่อว่าติ๊งเป็นคางคกหรอ เค้าไม่ยอม" ติ๊งโหน่งลงไปนั่งดีดดิ้นที่พื้น "ไม่ยอม ไม่ยอม"
       ติ๊งโหน่งลงไปดิ้นกับพื้นและไปชนคนนั้นคนนี้จนวุ่นวายไปหมด ชรินทร์ต้องเข้ามาจับตัว
       "พ่อไม่ได้บอกว่าลูกตัวพองเป็นคางคก ลูกติ๊งของพ่อน่ะน่ารักจะตายอยู่แล้ว" ติ๊งโหน่งยิ้มชอบใจ "แต่ว่าที่นี่เป็นวัด พ่อไม่อยากให้ลูกเหวี่ยง เดี๋ยวชาติหน้าเกิดมาไม่สวยน้า"
       ติ๊งโหน่งจับหน้าตัวเอง "จริงด้วย งั้นติ๊งขอไปเติมหน้าก่อนนะคะ"
       ติ๊งโหน่งเดินออกไป อำนาจบ่นพึมพำ
       "เติมทั้งตัวก็ได้"
       พัชรีเบียดเสียดผู้คนเข้ามาใกล้กับกลุ่มของชรินทร์ เธอมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยแต่ในใจก็ยังสู้ พัชรีทั้งเบียดทั้งแทรกเข้าไปพอเห็นติ๊งโหน่งเดินไปอีกทางก็ยิ้ม
       "โอกาสมาถึงแล้วเรา"
       แต่พัชรีกลับถูกดันจนกระเด็นออกมาชนกับอำนาจ
       "โอ้ย!”
       อำนาจหันมามองหน้าพัชรีด้วยสีหน้าเข้ม พัชรีตกใจ
       "อุ๊ย ขอโทษอีกทีค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆค่ะ"
       พัชรีรีบเดินออกไป อำนาจหันไปยืนคุมเชิงให้ชรินทร์กับฉาดประภาต่อ
      
       ติ๊งโหน่งกำลังนั่งเติมหน้าเติมปากแต่เติมเยอะเกินไป เธอวาดปากเลอะออกมาพลันมีกระดาษยื่นมาตรงหน้า ติ๊งโหน่งหันไปเห็นคนส่งกระดาษให้ก็จำได้
       "คุณนักข่าว"
       "ค่า พัชรีเอง"
       "วันนั้นคุณนักข่าวหายไปไหน พอติ๊งออกมาจากห้อง คนใช้ที่บ้านบอกว่าคุณรีบร้อนออกไป"
       "อ๋อ พอดีวันนั้นหมาที่บ้านไม่สบายก็เลยต้องรีบกลับไป วันนี้พัชก็เลยตามมาถ่ายรูปคุณติ๊งโหน่งกับครอบครัวไงคะ"
       "แหม ตายแล้ว น่าจะโทรมาบอกก่อน ติ๊งไม่ได้แต่งหน้าเลย"
       "อุ๊ยยยย นี่ขนาดไม่ได้แต่งนะคะ ขนตายังเด้งขนาดนี้" พัชรีมองที่นิ้วแต่ไม่เห็นแหวนก็แปลกใจ "เอ..มือคุณติ๊งวันนี้ดูโล่งๆนะคะ แบบว่าๆ แหวน สร้อยอะไรเงี้ย ไม่ได้ใส่มาเลยเหรอคะ"
       "คุณแม่ท่านกลัวติ๊งจะถูกตัดมือน่ะค่ะ โจรสมัยนี้น่ากลัว คุณแม่ก็เลยให้ติ๊งถอดแหวนเพชรออกให้หมด"
       "แหวนเพชรเหรอคะ? คุณติ๊งมีแต่แหวนเพชรอย่างเดียวเหรอคะ แหวนสีๆ แบบพวกมรกต ทับทิม ไม่มีเหรอคะ พัชว่าผิวขาวๆอย่างคุณติ๊ง น่าจะเหมาะกับอัญมณีสีๆ"
       "ติ๊งไม่ชอบพวกอัญมณีค่ะ ติ๊งชอบเพชร ต้องคุณพ่อของติ๊งสิคะ ท่านชอบสะสมพวกอัญมณี ท่านมีแหวนมรกตอยู่วงหนึ่งด้วยค่ะ"
       "เหรอคะ แหมบังเอิญจัง พัชกำลังอยากได้แหวนมรกตเอาไปให้คุณพ่ออยู่พอดี ไม่ทราบจะหาซื้อได้จากที่ไหน"
       ติ๊งโหน่งยังไม่ทันได้ตอบ อำนาจก็เดินเข้ามาหา
       "คุณหนูครับ คุณพ่อเรียกครับ"
       "ติ๊งต้องไปแล้ว ไว้คุยกันต่อนะคะ ถ้าจะนัดสัมภาษณ์ก็โทรหาติ๊งได้เลย"
       ติ๊งโหน่งเดินออกไป พัชรีทำหน้าเสียดาย เธอหันไปเห็นอำนาจยืนมองหน้า พัชรีรีบทำหน้านิ่งๆ แล้วเดินออกไปทันที อำนาจมองพัชรีอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะตามติ๊งโหน่งออกไป
พัชรีทิ้งตัวนั่งลงด้วยความเซ็ง แล้วก็ทอดถอนใจอย่างหนัก
       "เกือบจะได้เรื่องอยู่แล้วเชียว ไม่รู้ไอ้เก็กนั่นจะโผล่มาทำไม เฮ้อ"
       ทันใดนั้น เสียงมือถือของเธอก็ดังขึ้น
       พัชรีเห็นชื่อที่หน้าจอแล้วก็ตกใจ
       "เจ้าชาย!!" พัชรีหน้าเสีย "ตายแล้ว จะทำยังไง ยังไม่รู้เลยว่าแหวนวงนั้นซื้อที่ไหน ซวยแล้วพัชรี ซวยแล้ว"
       ปีเตอร์โทรตามไม่หยุดแต่พัชรีรีบปิดเครื่องไปก่อน
       "เท่านี้ เจ้าชายก็โทรตามเราไม่ได้แล้ว ฮ่าๆๆ ฉลาดจริงๆ"
       ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น
       พัชรีรับสายด้วยเสียงอ่อนหวาน "ฮัลโหล พัชรี พูดค่ะ" พอได้ยินเสียงปลายสาย เธอก็แทบตกเก้าอี้ "เจ้าชาย!! จะจะเจ้าชายทรงทราบเบอร์ออฟฟิศหม่อมชั้นได้ยังไง"
       ปีเตอร์ส่งเสียงดังออกมา "คนอย่างชั้นรู้ทุกอย่าง อย่าลืมสิว่าชั้นเป็นใคร หาเจอเหรอยัง!”
       พัชรีทำเสียงอ่อน "ยังค่ะ ใจเย็นๆสิคะ ร้านขายแหวนมีเป็นหมื่นร้านในประเทศไทย บางทีเค้าอาจจะซื้อแหวนวงนี้มาจากเมืองนอกก็ได้" พัชรีนิ่งฟัง "ให้หม่อมชั้นไปหาเจ้าชายเดี๋ยวนี้!!! แต่หม่อมชั้นยังทำงานไม่สำเร็" พัชรีตกใจจนลนลาน "ค่ะค่ะ ไปค่ะไป"
       พัชรีวางสายด้วยสีหน้าเสีย
      
       โซว์พลิกตัวลืมตาขึ้นมา เขาเห็นขิงนั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ โซว์มองเธอแล้วก็ยิ้ม ขิงตัวเอนไปมากำลังจะล้มลงไปบนพื้น โซว์รีบลุกเข้ามาประคองขิงให้อยู่ในอ้อมกอดพอดี ขิงรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าโซว์อยู่ในระยะใกล้ก็ตกใจ เธอรีบผละออกห่างด้วยความเขิน
       "นายตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่" ขิงถาม
       "เมื่อกี๊ น่าปลื้มใจจริงๆ ที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ" โซว์ยิ้มกรุ่มกริ่ม
       "บ้า ชั้นไม่ได้เฝ้านายซักหน่อย ชั้นง่วงขึ้นมากะทันหันก็เลยกะจะงีบ รีบไปแปรงฟันได้แล้ว ปากเหม็น"
       โซว์รีบหุบปาก ขิงเดินอายๆออกไป โซว์อมยิ้ม ยายขมแอบมองเหตุการณ์อยู่ถึงกับถอนหายใจด้วยความกลุ้ม
      
       เวลาผ่านไป ยายขมตักน้ำแกงลงในชามแล้วเอามาวางบนถาดก่อนจะหันไปสั่งตุ๊ก
       "เอ็งเอาไปให้ไอ้หนุ่มนั่นมันดื่มซะ"
       "อ่ะแนแนแน๊ ต้มน้ำแกงให้เค้าดื่ม แสดงว่าแม่ใจอ่อนให้ไอ้โซ่มันแล้วใช่มั้ย" ตุ๊กแซว
       "ข้าไม่ได้ใจอ่อน ข้าอยากให้มันแข็งแรงเร็วๆ มันจะได้ไปจากบ้านเราซักที"
       ตุ๊กผงะ "แม่หมายความว่ายังไง"
       ยายขมหันขวับ "ข้าว่าข้าไม่ได้พูดอะไรซับซ้อน ทำไมถึงไม่เข้าใจห๊ะ!!”
       "ไอ้ที่ไม่เข้าใจคือแม่จะไล่มันออกจากบ้านทำไม"
       ยายขมเดินไปนั่งริมหน้าต่าง "ข้ากังวลใจ ไม่อยากให้นังขิงกับไอ้หน้าวอกมันได้กันน่ะสิ"
       ตุ๊กเดินตามมานั่งข้างๆ "แม่คิดมากไปป่าวจ๊ะ ฮ่าๆๆๆ" ตุ๊กแซว ยายขมหน้านิ่ง ตุ๊กถึงกับผงะ "แม่พูดจริงเหรอเนี่ย"
       "เอ็งไม่เห็นแววตาที่สองคนมองกันเหรอ สมัยพ่อเอ็งจีบข้า พ่อเอ็งก็มองข้าด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ไอ้หน้าวอกมองนังขิง เผลอแป๊บเดียวก็มีแม่นังขิงกับเอ็งออกมา"
       "ห๊ะ แม่กับพ่อนี่ไวไฟน่าดู เปิดปุ๊บติดปั๊บป่องปุ๊บ"
       "ถ้าเอ็งยังไม่หยุดพูด เอ็งจะถูกข้าแพ่นกบาลปุ๊บ"
       "อุ้ย แหมแม่ก้อ ถ้าหลานเราจะมีความรักขึ้นมาจริงๆ แม่จะไปห้ามมันทำไม?”
       "ไอ้มีน่ะมีได้ แต่ไม่ใช่กับไอ้คนนี้ หัวนอนปลายเท้ามาจากไหนก็ไม่รู้ แค่เจอกันไม่กี่อาทิตย์ จะรู้ได้ยังไงว่าไอ้หน้าวอกมันดีหรือไม่ดี ข้ากลัวนังขิงจะถลำลึกจนถอนตัวไม่ขึ้น แล้วมันจะเจ็บ คนหล่อๆอย่างไอ้หน้าวอกจะมาจริงจังอะไรกับสาวบ้านนอกอย่างนังขิง"
       "แม่พูดก็ถูก หลานสาวเราออกจะสวยเลือกได้ มีย่าเป็นถึงหม่อม มีน้าเป็นถึงเจ้าชาย แถมยังมีบ้านหลังใหญ่"
       "ตุ๊ก เอ็งไม่ต้องประชดข้า" ยายขมว่า ตุ๊กยิ้มแหยๆ "ข้าต้องตัดไฟแต่ต้นลม"
       ตุ๊กหยิบขวดน้ำมาให้ยายขม "อ่ะแม่"
       "เอาน้ำมาให้ข้าทำไม ข้าไม่หิว"
       "จะตัดไฟ มันก็ต้องใช้น้ำดับไงแม่"
       "ตุ๊ก!!”
       "ล้อเล่นน่าแม่" ตุ๊กนิ่วหน้า "ว่าแต่แม่จะทำอะไร"
       ยายขมมองตุ๊กด้วยสีหน้าเครียด
   โซว์กับขิงเดินมาเจอยายขมนั่งอยู่กับตุ๊ก
       "ขิง ตุ๊ก เอ็งออกไปก่อน" ยายขมเอ่ย
       ขิงถามด้วยความเป็นห่วงโซว์ "ยายจะคุยอะไรกับโซ่เหรอจ๊ะ"
       ยายขมหันไปมอง ขิงไม่กล้าถามต่อจึงเดินออกไปกับตุ๊ก โซว์หันไปมองยายขมอย่างงงๆ ก่อนจะเดินมานั่ง ขิงแอบฟัง ตุ๊กสะกิดถามหลานสาว
       "นังขิง เอ็งจะทำอะไร?”
       "ชั้นจะอยู่ตรงนี้ เผื่อยายทำอะไรโซ่ เราจะได้เข้าไปช่วยกันทัน" ขิงบอก
       "อย่าเลย ถ้ายายเอ็งเห็นขึ้นมา ตายนะ"
       "ชั้นไม่กลัว"
       ตุ๊กอึ้ง ขิงหันไปแอบดูโซว์กับยายขม
       โซว์กับยายขมคุยกันด้วยสีหน้าเครียด
       "ข้าเห็นความตั้งใจ และความพยายามของเอ็งแล้ว" ยายขมบอก
       โซว์ยิ้ม
       ขิงที่แอบดูอยู่ก็ยิ้มออกมา
       "สงสัยยายจะโอเคกับโซ่แล้วแน่ๆเลยน้าตุ๊ก"
       ตุ๊กเงียบและรู้สึกเครียด
       "ข้าขอบใจที่เอ็งมีความมุ่งมั่น" ยายขมพูดต่อ "เอาจริงในการเล่นลิเก แต่ของบางอย่างมันต้องใช้เวลา ไม่ใช่ฝึกไม่กี่วันก็จะทำได้" โซว์นิ่งฟัง "เพราะฉะนั้นเลิกเถอะ"
       โซว์ตกใจ ขิงเองก็แทบช็อค ตุ๊กนิ่งเพราะรู้อยู่แล้ว
       "ทำไมล่ะครับยาย ผมสัญญาว่าผมจะตั้งใจและฝึกฝนให้มากกว่านี้" โซว์บอก
       "ไม่ว่าเอ็งจะฝึกหนักแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์ ข้ามาคิดๆดูแล้ว ข้าว่าที่เอ็งทำไปเสียเวลาเปล่า" ยายขมบอก โซว์อึ้ง "ข้าไม่อยากเจ็บอีกครั้ง เอ็งไม่รู้หรอกว่ากว่าข้าจะผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในวันที่คณะลิเกขาด ซึ่งผู้นำ ความเจริญถดถอย ไม่มีคนดู มีแต่เสียงด่าทอ มันเป็นยังไง ข้าไม่อยากเห็นอดีตซ้ำรอยอีกแล้ว"
       โซว์ได้ยินก็พูดไม่ออก ขิงเดินออกไป ตุ๊กยืนมองตาโตแล้วถามขึ้น
       "ขิง แกจะไปไหน?”
       ขิงเดินเข้าไปหายายขม ยายขมชะงัก
       "ยายเห็นแก่ตัว" ขิงต่อว่า ยายขมนิ่ง ตุ๊กกับโซว์ตกใจ "ทำไมยายถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้ โรงลิเกเป็นความต้องการของยายคนเดียวเมื่อไหร่ ชั้นเองก็อยากเห็นโรงลิเกฟื้นคืนมาอีกครั้ง แล้วทำไมยายถึงไม่ให้โอกาสโซ่เค้าบ้าง"
       "เอ็งไม่รู้อะไร ไม่ต้องพูด พาเพื่อนเอ็งกลับไปได้แล้ว ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันอีก อยู่ไปก็เสียเวลา"
       ยายขมเดินออกไป ขิง ตุ๊ก และโซว์ถึงกับอึ้ง
      
       โซว์นั่งมองเงาตัวเองที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำแล้วก็เศร้า ขิงเดินมานั่งข้างๆ
       โซว์หันมาพูดกับเธอ "ยายเธอคงเกลียดชั้นมาก ขอบใจนะขิงที่สอนอะไรหลายๆอย่างให้กับชั้น ความจริงชั้นชอบที่นี่มาก ไม่ว่าจะเป็นผู้คน ธรรมชาติ แต่ที่นี่คงไม่เหมาะกับชั้น"
       ขิงจับแขนโซว์ "ชั้นไม่ยอมให้นายไป ชั้นไม่ยอมให้นายกลับไปเพื่อโดนไอ้พวกนั้นมันฆ่าเด็ดขาด"
       "ชั้นไม่ตายง่ายๆหรอก ไม่ต้องห่วง ถ้าชั้นกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ ชั้นจะโทรหานะ" โซว์จับมือขิง "จำไว้นะขิงว่าเธอเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนรัก เพียงคนเดียวของชั้น"
       ขิงจับมือโซว์ตอบ ทั้งคู่มองตากัน ขิงมองโซว์ด้วยสายตาห่วงใยสุดๆ
       "ชั้นจะไปเก็บของ" โซว์บอก
       โซว์ปล่อยมือขิงแล้วจะเดินไป แต่ขิงจับมือโซว์ไว้ไม่ให้ไป โซว์หันมาเจอขิงพูดดด้วยสายตามุ่งมั่น
       "นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ชั้นจะคุยกับยายเอง"
       โซว์มองขิงด้วยความสงสัย
      
       ยายขมนั่งยองๆ เด็ดผักสวนครัวอยู่ จู่ๆ เธอก็เกิดปวดหลังขึ้นมา ยายขมพยายามจะลุกแต่ก็ลุกไม่ขึ้น ขิงรีบเข้ามาประคอง ยายขมหันไปมอง
       "ไม่ดูอายุเลยนะยาย เจ็ดสิบแล้วนะไม่ใช่สิบเจ็ด จะได้มานั่งยองๆเด็ดผักเด็ดหญ้า" ขิงว่า
       "ก็หลานมันไม่รัก มันบอกว่าข้าเห็นแก่ตัว อะไรทำเองได้ ข้าก็ต้องทำเอง"
       ขิงพายายมานั่งตรงแคร่ใต้ต้นไม้ "ยายจ๋า" ขิงก้มกราบที่ตัก "ขิงขอโทษ ปากมันพาไป" ขิงตบปากตัวเอง "นี่แน่นี่แน่ ปากเสียเลยต้องลงโทษ ยายอย่าโกรธขิงเลยนะ ขิงพูดไปเพราะอารมณ์" แล้วขิงก็โผเข้ากอด "ขิงรักยายนะจ๊ะ รักยายคนเดียว"
       "ไม่ต้องมาอ้อน ข้าไม่มีวันเปลี่ยนใจยอมให้ไอ้หน้าวอกมันอยู่ที่นี่ต่อหรอก เอ็งรีบไปส่งมันได้แล้ว"
       ขิงแกล้งทำเป็นกลุ้มใจ "สงสัยถึงเวลาที่ชั้นต้องเล่าความจริงให้ยายฟังแล้ว"
       "ความจริงอะไรของเอ็ง หรือว่า" ยายขมตบเข่าดังฉาด "ข้าว่าแล้ว ไอ้หน้าวอกมันเป็นผัวเอ็งจริงๆใช่มั้ย?”
       "ไอ้หน้าวอกของยายไม่ใช่ผัว แต่เป็นลูกหนี้ชั้น" ขิงบอก
       ยายขมตกใจ "ห๊ะ!!! ลูกหนี้!!”
       "ใช่" ขิงทำหน้าเศร้า "แต่ที่ชั้นไม่อยากเล่าให้ยายฟังเพราะกลัวยายจะฆ่ามันตายซะก่อนมันจะใช้หนี้ ชั้นหมด ชั้นถึงต้องคอยจับตาดูมันทุกฝีก้าว ไม่กล้าใช้งานมันหนัก เพราะถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาเงินจะสูญ"
       "โธ่เอ๊ย นังขิง แล้วก็ไม่เล่าให้ข้าฟังตั้งแต่แรก ปล่อยให้ข้าคิดว่าเอ็งชอบมัน"
       ขิงแทบสะอึก "ตายแล้ว ยายคิดอะไรอ่ะ ขิงไม่มีทางชอบไอ้หน้าวอกของยายหรอก สเป็คขิงต้องคนไทย ยายไม่เสียดุลการค้าให้ใครแน่"
       "เออดี อย่าไปเห่อไอ้พวกเกาหลีมากนัก เงินไทยออกนอกประเทศไปหลายบาทแล้ว ว่าแต่มันเป็นหนี้เอ็งเท่าไหร่"
       ขิงชูห้านิ้ว
       "ห้าร้อย" ยายขมทาย ขิงส่ายหัว "ห้าพัน" ขิงส่ายหัวอีก
       “50000” ขิงบอก
       "อ๋อ ห้าหมื่น" ยายขิงตกใจ "ห้าหมื่น!!" ยายขิงตกใจจนแทบตกเก้าอี้ "พระเจ้าช่วย แล้วเอ็งมีเงินมากมายขนาดนี้ให้มันยืมตั้งแต่เมื่อไหร่"
       "ชั้นไม่มีหรอกยาย ชั้นทำงานให้เค้า เค้าให้ค่าจ้างเป็นเงินยูโร พอคิดเป็นเงินไทยมันก็เลยเยอะ แต่ไอ้โซ่ไม่ยอมจ่ายเงินชั้นซักที ชั้นก็เลยต้องพามาที่นี่ด้วย"
       ยายขมหรี่ตามอง "แน่ใจนะว่าเอ็งทำงานให้มันอย่างเดียว ไม่ได้มีอย่างอื่นด้วย"
       "อย่างอื่น? อะไรเหรอยาย"
       "มันให้เงินเอ็งตั้งมากขนาดนี้ เอ็งกับมันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันใช่มั้ย"
       "ยาย!! พูดจาน่าเกลียด"
       "ถามอีกทีเพื่อความสบายใจ แต่ถ้าเอ็งบอกว่าไม่มีอะไรกับมัน งั้นข้าก็อนุญาตให้มันอยู่ที่นี่ต่อ แต่เอ็งต้องรับปากนะว่าห้ามชอบไอ้หน้าวอกเด็ดขาด"
       "จ๊ะ ไม่ชอบจ๊ะ"
       ขิงยิ้ม ยายขมรู้สึกสบายใจ ขิงหันมาลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก 

ขิงมีท่าทางตื่นเต้นดีใจในขณะที่เดินออกมาหาโซว์ที่ยืนซึมอยู่
       "โซ่ นายโซ่" ขิงเรียก โซว์หันไป ขิงวิ่งมาตรงหน้าเขา "ยายอนุญาตให้นายอยู่ที่นี่ต่อ"
       โซว์ดีใจ "จริงเหรอ"
       "จริงสิ ขิงซะอย่าง ไม่มีพลาด"
       โซว์ดีใจสุดๆ ด้วยความลืมตัวทำให้เขากอดขิงแน่น ขิงตกใจ
       "ขอบใจมากนะขิง ขอบใจ ขอบใจ"
       ขิงอาย "เออ รู้ว่าดีใจ แต่ปล่อยได้แล้ว"
       โซว์รู้ตัวจึงรีบปล่อย เขายิ้มเขินๆ ส่วนขิงทำหน้าไม่ถูก
      
       ยายขมกำลังเลือกซื้อผักอยู่ที่ตลาด โดยมีตุ๊กยืนอยู่ข้างๆ
       "อะไรกัน! มะนาวลูกล่ะสามบาท มันจะเอาเปรียบกันเกินไปแล้ว มะนาวเป็นของไทย ไม่ได้นำเข้าจากนอกนะเว๊ย ลูกล่ะบาทก็พอแล้ว เอามั้ยเอา"
       "ลูกล่ะบาทก็ได้ เห็นแก่พระเอกลิเกคนใหม่ของยายหรอกนะ" แม่ค้าบอก
       "พระเอกลิเกคนใหม่? ทำไมมันรู้แล้วว่ะ" ยายขมงง
       ตุ๊กรีบเก็กทันที "ชั้นไม่อยากจะบอกแม่เลย แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว" ยายขมกับแม่ค้ายืนงง "ชั้นนี่แหละ พระเอกลิเกคนใหม่ ตุ๊กติ๊ก ศิษย์ยายขม" ตุ๊กร้องลิเก "เฮชา เฮชา ชาชาหนอยแน่"
       "บ้า! น้ำหน้าอย่างแกเป็นพ่อพระเอกยังไม่ได้เลย" แม่ค้าว่า
       "ว่าจะอำซักหน่อย รู้ทันซะอีก ใครบอกน้าเรื่องพระเอกลิเกคนใหม่"
       "นังรุ้งยังไงล่ะ มันพาพ่อพระเอกมาเที่ยวตลาด" แม่ค้าบอก
       ยายขมกับตุ๊กมองหน้ากันแล้วก็รู้ทันทีว่าคือใคร
       "ถ้าเปิดโรงลิเกเมื่อไหร่ บอกชั้นด้วยนะ ตอนนี้มีแต่คนอยากดูพระเอกลิเกคนใหม่ของยายทั้งนั้น" แม่ค้าบอก
       ยายขมหันไปมองตุ๊กด้วยสีหน้าครุ่นคิด
      
       ตุ๊กช่วยยายขมหิ้วถุงกับข้าวเดินมาตามทางกลับบ้าน
       "นี่ยังไม่ทันเปิดแสดง กระแสไอ้โซ่มันยังแรงขนาดนี้ มีสาวน้อยสาวใหญ่เข้าคิวรอเป็นแม่ยกมันกันทั้งน้านนนน โอกาสดีดีแบบนี้ไม่ได้มากันบ่อยๆนะแม่ ชั้นว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ" ตุ๊กบอก
       "ข้าว่ามันยังเร็วเกินไป ไอ้โซ่มันยังไม่พร้อม"
       "ไม่ต้องรอแล้วแม่ ชั้นมั่นใจว่าไอ้หนุ่มนี่มันจะทำให้เราใช้หนี้ได้จนหมด"
       ยายขมหันไปมองตุ๊กด้วยท่าทีลังเล
      
       ปีเตอร์หันมามองพัชรีที่มาหาเขาที่โรงแรมด้วยสีหน้าไม่พอใจ
       "มาซะเย็นเลยนะ ชั้นบอกให้รีบมา คำว่ารีบ เธอไม่เข้าใจเหรอไง" ปีเตอร์ว่า
       "เข้าใจค่ะ แต่หม่อมชั้นทำงานประจำนะเพคะ ต้องรอให้งานเลิกก่อนถึงมาได้"
       "ไม่ต้องมาอ้าง ปกติชั้นก็เห็นเธอมาหาชั้นได้ตลอดเวลา"
       "วันนี้เจ้านายอยู่เลยชิ่งออกมาไม่ได้เพคะ ว่าแต่เจ้าชายเรียกหม่อมชั้นมาทำไม"
       "เรียกมาด่าน่ะสิ" ปีเตอร์บอก
       "อุ้ย....”
       "นี่มันผ่านมาหนึ่งวันแล้วนะ เธอยังหาร้านขายแหวนแบบนั้นไม่เจออีกเหรอไง"
       "มันไม่ได้หากันได้ง่ายๆนะเพคะ แต่วันนี้หม่อมชั้นก็เกือบได้เรื่องแล้ว หม่อมชั้นไปเจอคุณติ๊งโหน่งมาค่ะ ทำให้รู้ว่าแหวนวงนั้นเป็นของคุณชรินทร์ แต่พอกำลังจะหลอกถามว่าซื้อแหวนจากร้านไหน ก็ดั๊นมีคนมาขัดซะนี่"
       "แล้วเธอปล่อยให้คนมาขัดได้ยังไง"
       "เอ้า...หม่อมชั้นเป็นใครคะ"
       ปีเตอร์งง "เป็นนักข่าว"
       "ใช่ค่ะ ก็แค่นักข่าว ใครเค้าจะเกรงใจ หม่อมชั้นว่างานนี้เจ้าชายต้องทรงออกโรงเองแล้วล่ะเพคะ"
       ปีเตอร์เหวอ "ชั้นเหรอ?”
       "เจ้าชายทำทีเป็นว่าอยากได้แหวนแบบนี้แล้วก็หลอกถามคุณชรินทร์สิคะ รับรองคุณชรินทร์ต้องบอกแน่"
       ปีเตอร์มองพัชรีอย่างเห็นด้วย
      
       ยายขมนั่งดูรูปสามีด้วยความคิดถึง ทันใดนั้นคำพูดของตุ๊กก็ดังขึ้นในความคิดของยายขม
       "นี่ยังไม่ทันเปิดแสดง กระแสไอ้โซ่มันยังแรงขนาดนี้ มีคนสาวน้อยสาวใหญ่เข้าคิวรอเป็นแม่ยกมันกันทั้งน้านนนน โอกาสดีดีแบบนี้ไม่ได้มากันบ่อยๆนะแม่ ชั้นว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ"
      
       "โธ่แม่ แม่จะดื้อไปถึงไหน ไม่แน่นะไอ้หนุ่มนี่มันอาจจะทำเงินให้เราก็ได้นะแม่"
      
       "แต่ความฝันของพ่อคือการที่เห็นลิเกกลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แม่ไม่อยากให้ความฝันของพ่อเป็นจริงเหรอ"
      
       ยายขมนั่งหน้าเครียด เธอมองรูปสามีอีกครั้งอย่างตัดสินใจ 

source: manager.co.th  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น