วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

อ่านละคร สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 9

 ส่วนที่อยุธยาสุคนธรสยังคงสลบอยู่ แต่หว่างคิ้วเริ่มขมวดหน้าเครียดตึงเพราะภาพตอนที่สู้กับหมอผีสมคิดอย่างดุ เดือนยังอยู่ในความคิดของสุคนธรส สุคนธรสกระสับกระส่าย อึดอัดกับความฝันจนกระทั่งถึงตอนที่เพลี้ยงพล้ำ
        
      
       “อ๊าก”
       จู่ๆ สุคนธรสก็เบิกตาโพลง กระเด้งลุกพรวด ปากจุ๊บกับปากของไตรรัตน์ที่กำลังโน้มหน้ามาดูสุคนรสเข้าเต็มๆ
       ทั้งสองค้างอึ้งตาเหลือก สุคนธรสถอยแล้วเหวี่ยงหมัดฟาดหน้าไตรรัตน์อย่างแรง
       “ไอ้เลว”
       ไตรรัตน์กำหมัดสุคนธรสได้ทัน
       “อ้ะ...อย่าด่านะ ผมไม่ได้ฉวยโอกาส ไม่ได้ขโมยจูบคุณ คุณนั่นแหละที่เอาปากมาชนปากผมเอง”
       “แล้วทำไมไม่หลบ”
       สุคนธรสเหวี่ยงหมัดอีกข้างฟาดหน้าไตรรัตน์
       “โอ๊ย”
       สมศักดิ์กับสมศรีเข้ามา
       “ยัยรส ทำไมรุนแรงกับคุณไตรอย่างนี้ โถ...เจ็บไหมพ่อคุณ”
       ไตรรัตน์ส่ายหน้า สมศรีตีสุคนธรส
       “ใจร้ายจริงเลยเรา เดี๋ยวแม่ฟาดด้วยก้านมะยมซะเลยนี่”
       “เรานี่ก็เหลือเกินเลยนะ ชอบตีกับเด็กต่างสถาบัน เรียนจบตั้งนาน ยังแค้นกับอริเก่าโรงเรียนตรงกันข้ามอีก นี่ถ้าไม่ได้คุณไตรรัตน์ช่วยไว้...”
       “โรงเรียนตรงกันข้าม...”
       สุคนธรสมองไตรรัตน์ ไตรรัตน์ยักคิ้ว สุคนธรสนึกเคือง
      
       สุคนธรสลากไตรรัตน์ลงมาจากบนบ้าน
       “ใครสั่งให้นายโกหกพ่อแม่ฉัน ที่ผ่านมาเรายังบาปไม่พอหรือไง”
       “ก็แล้วคุณโดนอะไรมาล่ะ”
       “โดนของ...ของจอมขมังเวทย์...”
       สุคนธรสขยับปากจะด่าแต่ไออย่างแรง รีบนำผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงมาปิดปาก สุคนธรสเปิดผ้าเช็ดออกเลือดอยู่บนผ้า ไตรรัตน์ใช้ปลายนิ้วค่อยๆ ปาดเลือดที่มุมปากของสุคนธรสแล้วถูนิ้วตัวเองไปมา เช็คว่าเป็นเลือดจริงไหม แล้วเขาก็อึ้ง ใจไม่ดีขึ้นมา
       “โดนของ...หมายถึงคุณไสยน่ะเหรอ แล้วนี่... มันเลือดจริง...คุณ...โดนของอะไร...ถึงขั้นกะอักเลือดเลย”
       “ชั้นอาจไม่ได้ตามดูแลนายไปตลอด ถ้านายบวชได้จริงจะดี หลวงลุงท่านเป็นพระท่านไม่โกหกนายกำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ”
       ไตรรัตน์จ้องหน้าสุคนธรสอย่างไม่แน่ใจ เสียงเคธี่ดังขึ้น
       “ไฮ...ธไรย์”
       ไตรรัตน์กับสุคนธรสหันไปเห็นเคธี่ยิ้มสดใส
       “เคธี่”
       ใบหน้าไตรรัตน์ซีดเผือด
      
       เนตรศิตางศุ์เดินทางมาพัทยาพร้อมกับกรรัมภา กรรณาและก๊อง ก๊องเดินตามสามสาวเข้ามาในโรงละคร แล้ว
       มองซ้ายขวาอย่างตื่นเต้นสนใจ
       “หลังเวทีเป็นอย่างนี้เหรอ...สวยจริงๆ”
       ปาณัทเดินผ่านมา
       “สวัสดีค่ะคุณปาณัท นี่เพื่อนๆ เนตรค่ะ วันนี้จะมาดูละครกัน”
       “งั้นไม่ต้องซื้อบัตรนะ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่วันนั้นคุณช่วยออนซ์และพวกเรา”
       “แต่...”
       “คุณปาณัท...ดีใจจัง ที่ได้เจอตัวจริง ขอจับมือหน่อยสิคะ”
       กรรัมภาถอดถุงมือตั้งจิตตอนจับมือกับปาณัท ทั้งหมดสังเกตมือปาณัท แต่ภาพที่กรรัมภาเห็นไม่มีอะไรผิดปกติ มีแต่ภาพความทรงจำดีๆ ระหว่างปาณัทและใบหม่อนในโรงละคร
       “นี่เจ้าของโรงละครเหรอพี่” ก๊องกระซิบถามกรรัมภา
       “อืม”
       กรรัมภามองเนตรศิตางศุ์ กรรณา แล้วส่ายหน้าว่าไม่ใช่คนนี้ ก๊องรีบแยกไปยืนเดี่ยวเก๊กหน้าขรึม ทอดสายตาออกไปด้านนอก
       “แผ่นฟ้าเบื้องบน...กว้างไกล สุดสายตา... เมฆขาวบนฟ้า...”
       ก๊องร้องเพลง ปาณัทยิ้มขำก๊อง
       “ผมขอตัวก่อนนะ ชมละครให้สนุกนะครับ” ปาณัทเดินออกไป
       “อ้าว...คุณ ผมยังร้องเพลงละครมิวสิเคิ่ลไม่จบเลย”
       กรรณาบิดหูก๊อง
       “ไอ้บ้าก๊อง แกทำบ้าอะไร พวกฉันอายนะโว้ย”
       “ผมจะแสดงศักยภาพให้เขาเห็นไง เผื่อเขาจะเอาผมไปเล่นละครบ้าง เป็นดารา เป็นนักแสดงดีจะตาย ทำงานสบาย เงินก็ดี เดินไปไหนก็มีแต่คนกรี๊ด”
       “ไม่จริ๊ง” ใบหม่อนบอกเสียงดัง กรรณารีบปิดหู ทนฟังเสียงหวีดไม่ไหว เนตรศิตางศุ์หันไปเจอใบหม่อนยืนอยู่ก็สะดุ้ง “บอกไปสิว่าฉัน...ใบหม่อนนางเอกชื่อดัง ดาวเด่นของที่นี่ตายยังไง พวกมันอิจฉาฉัน มันถึงฆ่าฉัน ฮือๆๆ”
       ใบหม่อนร้องไห้
       “ช่วยพูดช้าๆ ทีละคำนะคะ เป็นประโยคยาวๆ ฉันจับความไม่ได้”
       กรรณาบอก กรรัมภามองรอบๆ กระซิบถามเนตรศิตางศุ์กับกรรณา
       “มาแล้วสิ”
       เนตรศิตางศุ์พยักหน้า กรรัมภาจับตัวเนตรศิตางศุ์จึงเห็นใบหม่อน
       “เธอหายไปไหนมา” ใบหม่อนโวยวาย
       “เขาถามว่าแกหายไปไหน”
       กรรณาบอกเนตรศิตางศุ์ ก๊องเห็นท่าทางสามสาวก็กลัว กระเด้งไปยืนหลบหลังสาวๆ
       “เนตรถูกขู่ค่ะ” เนตรศิตางศุ์หยิบซองจดหมายในกระเป๋าออกมา “คุณใบหม่อนรู้ไหมคะว่าใครเป็นเจ้าของจดหมายฉบับนี้” ใบหม่อนมองจดหมาย...นิ่วหน้าคิด สามสาวลุ้น แต่ใบหม่อนส่ายหน้า “คุณลองคิดให้ดีๆ นะคะ เพราะถ้าเราตามหาเจ้าของจดหมายนี้เจอ เราก็จะรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าคุณ”
       “ฉันไม่รู้ ใบหม่อนตายแล้วๆๆ เขียนเข้าไปได้ยังไง หยาบคายที่สุด”
       “งั้นคุณสงสัยใคร หรือคิดว่าใครที่ไม่น่าไว้ใจบ้างคะ”
       พลันใบหม่อนหันขวับไปด้านหนึ่ง เสียงหวีดดังแรงขึ้น กรรณาปิดหู
       “คุณใบหม่อนโกรธอะไรวะ”
       “หูจะแตกอยู่แล้ว”
       ใบหม่อนลอยออกไป เนตรศิตางศุ์กับกรรัมภาตาม กรรณากับก๊องตามไป
      
       “ตายล่ะ หยุดก่อนคุณใบหม่อน ใจเย็นๆ ค่ะ”
  มาริโอ้กับแองเจโล่กำลังนั่งป้อสาวๆ อยู่มุมหนึ่งของโรงละคร
        
      
       “พี่สองคนเนี่ยซี้ปึ้กกับคุณปาณัทเลย ใครมาออดิชั่น คุณปาณัทจะต้องมาให้พวกพี่ฟันทุกคน”
       สาวๆ ทำท่าสะดุ้ง
       “ฟันธงครับ ฟันธง”
       “งั้นพี่ช่วยพวกหนูได้ไหมคะ” สาวส่งตาหวาน
       “ได้สิจ๊ะ งั้นวันหลังเรานัดทานไอติมกันดีกว่า พวกพี่จะได้ติวแอ็คติ้งให้”
       เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณา ก๊องวิ่งเข้ามายืนมองสองแฝดกำลังเม็มเบอร์สาวๆ ใบหม่อนโผล่ไปยืนกลางโต๊ะ แต่ไม่มีใครเห็น ใบหม่อนก้มมองสองแฝดอย่างโกรธๆ
       “ไอ้พวกเลว อย่าให้นังพวกนี้เข้าใกล้คุณปาณัทของฉัน”
       “หรือสองคนนี้จะเป็นคนร้าย” กรรณาบอก
       “ไม่น่าเป็นไปได้ พี่ๆ เค้าไม่ใช่คนใจร้ายนะ แค่ขี้หลีนิดหน่อย”
       “อย่างนี้ไม่นิดหน่อยแล้วพี่เนตร เข้าข่ายล่อลวงนะ”
       “งั้นต้องดูให้แน่ใจ”
       หญิงสาวเดินออกไป แองเจโล่ มาริโอ้โบกมือให้...ส่งจูบๆ
      
       กรรัมภาเดินเข้าไปหามาริโอ้กับแองเจโล่ เนตรศิตางศุ์ กรรณา ก๊องตกใจว่ากรรัมภาทำอะไร จึงรีบตาม
       แองเจโล่กับมาริโอ้เห็นกรรัมภาก็ตาลุกวาว รีบลุกไปหา
       “สวัสดีครับ พี่สองคนเป็นนักแสดงของที่นี่ เล่นเป็นพระเอกด้วย น้องมาทำอะไรแถวนี้ครับ อ้าว...น้องเนตร”
       “พี่ๆ คะ นี่แก้ม กรรณ ก๊อง เพื่อนเนตรค่ะ”
       ทุกคนไหว้สองแฝด
       “เอ๊...เมื่อตะกี้พี่ๆ บอกว่าพี่เป็นพระเอกด้วยเหรอคะ”
       สองแฝดมองเนตรแล้วอึกอัก
       “เอ่อ...พี่หมายถึงเรื่องหน้าน่ะจ้ะ เห็นคุณปาณัทบอกว่าจะทำเรื่องอิน-จัน”
       “อิน-จันแฝดสยาม...โอ...ใช่เลยค่ะ ในอนาคตพี่ๆ จะดังมาก”
       “แหม...คุณน้องพูดอย่างกับเป็นหมอดูงั้นแหละ”
       “พี่ๆ สนใจอยากให้แก้มดูให้ไหมคะ แต่ต้องมีการถูกเนื้อต้องตัวกัน...จับมือกัน...นิดนึง”
       “ว้าว...งั้นจับเลยครับ...เอ๊ย ดูให้พี่เลยครับ”
       สองแฝดแบมือ กรรัมภาจับดู ตั้งจิตเพ่ง เนตรศิตางศุ์ กรรณา ก๊องมองๆ กัน มีเลศนัยไปมา
      
       เย็นวันเดียวกันนั้นหมอวรวรรธขับฮาร์เลย์มาจอดหน้าบริษัทซิกส์เซ้นส์ หมอวรวรรธมองเข้าไปในบริษัทไม่เห็นใครจึงลงมายืนหน้าประตู แต่ยังไม่ทันกดออด บานประตูไม้ก็เปิดดังแอ๊ดทั้งที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
       หมอวรวรรธคิ้วขมวด แต่ก็ตัดสินใจก้าวเข้าไปบริษัท ทันใดประตูไม้ก็ปิดทันทีและใส่กลอนเองดังคลิก
       “สวัสดีครับ ผมมาหาคุณเนตรครับ มีใครอยู่ไหมครับ...เอ...เมื่อเช้าก็ยังอยู่กันเต็มเลยนี่นา”
       ไม่มีเสียงตอบ หมอวรวรรธตัดสินใจเดินต่อไป หยุดยืนใกล้ประตูตัวบ้านได้ยินเสียงดังตุบๆ เหมือนมีคนกระโดดไปมาอยู่รอบตัว
       “มีใครอยู่มั้ยครับ”
       กุมาริกาโผล่มาด้านหลังหมอวรวรรธ กุมาริกาตัวยืดสูงกว่า 2 เมตร หมอวรวรรธรู้สึกตัว ลมเย็นๆ วาบด้านหลัง จึงหันหลัง ก่อนจะเห็นกุมาริกา กุมาริกาก็ตัวหดเล็กลงมาเหลือเท่าเดิม
       “คนน่ะไม่มีจ้ะ มีแต่กุมาริกาเท่านั้น” กุมาริกาลอยหน้าลอยตาบอก แล้วหัวร่อเมื่อเห็นหมอวรวรรธชะงัก “พี่เนตรออกไปธุระค่ะ”
       ท่านเจ้าที่กับหลวงพิชัยภักดีโผล่ออกมาเดินผ่านหมอวรวรรธไปทางโต๊ะนั่งเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่
       “คุณหมอมาจีบเนตรเหรอ”
       หมอวรวรรธไม่ตอบ แต่สาวเท้าตามไปที่โต๊ะนั่งเล่น ซึ่งพบว่ากุมาริกามานั่งอยู่บนโต๊ะแล้ว
       “เฮ้ย...ทำไมหนู...”
       “ชอบเล่นๆ หรือชอบจริงๆ ล่ะ”
       “ทำไมผมมาที่นี่บ่อยๆไม่เคยเห็นพวกคุณเลยล่ะครับ แล้วแต่งชุด...”
       หมอวรวรรธงงกับชุดที่ทั้ง 3 ใส่
       “คุณหมอมีแฟนรึยัง”
       “ยังครับ”
       “มีลูก เมีย กิ๊ก หรืออีหนูซ่อนบ้างไหม”
       “ห๊า...ไม่มีครับ”
       “แล้วเคยติดยา หรือมีโรคติดต่อร้ายแรงไหม”
       “ไม่เคยติดยา ไม่มีโรคติดต่อ เออ...คุณเนตรไปไหนล่ะครับ”
       กุมาริกาโดดลงมาจากโต๊ะแล้วถาม
       “ระหว่างสาวสวยเซ็กซี่กับสาวน่ารักไร้เดียงสา คุณหมอชอบแบบไหน”
       ท่านเจ้าที่กับหลวงพิชัยภักดีแว๊บกลายเป็นสาวสวยเซ็กซี่กับสาวน่ารัก หมอวรวรรธเงยหน้ามองแล้วตาโต
       “อ้าว...”
       “ว่าไง...พ่อหนุ่ม...”
       หมอวรวรรธหันตามเสียงพบหลวงพิชัยภักดีมาอยู่หลังตัวเองกับกุมาริกาแล้ว
       “โอย...” หมอวรวรรธเริ่มกลัว “ชอบสาวน่ารักครับ...” หมอวรวรรธหันกลับไปไม่เจอสองสาวแล้ว ท่านเจ้าที่นั่งอยู่บนต้นไม้
       “เอาละ คำถามสุดท้าย...คุณหมอเชื่อเรื่องผีมั้ย...”
       หลวงพิชัยภักดีและกุมาริกาที่อยู่หลังหมอวรวรรธแปลงกายเป็นผี แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกใส่โดยที่หมอวรวรรธไม่เห็น...
       “ชะชะ...เชื่อครับ”
       ท่านเจ้าที่โดดลงมายืนอย่างนิ่มนวล
       “หมดคำถามแล้ว”
       “ยินดีด้วย...คุณผ่านการสัมภาษณ์ของพวกเรา”
       “พวกเราอนุญาตให้คุณจีบยัยเนตรต่อไปได้”
       “แล้วคุณเนตรไปไหนล่ะครับ”
       “พัทยา”
       “ห๊า...ไปพัทยาอีกแล้ว...”
      
       หมอวรวรรธเป็นห่วงเนตรศิตางศุ์ กลัวจะตกอยู่ในอันตราย

  หมอวรวรรธสตาร์ทมอเตอร์ไซค์แล้วรีบบึ่งออกไปอย่างเร็ว
        
      
       “พ่อหนุ่มนี่ใจหนักแน่นดีนะ ที่เจอพวกเราแล้วไม่วิ่งเผ่นแนบกลับไป”
       “ใช่ค่ะ...คุณหลวง”
       ทันใดร่างของหลวงพิชัยภักดีและกุมาริกาเริ่มจางลง จางลง
       “เป็นอะไรน่ะ” ท่านเจ้าที่ถามอย่างแปลกใจ
       “ชั้นยังไม่อยากกลับ...ขออีกแป๊บ”
       หลวงพิชัยภักดีบอกแต่หลังจากนั้นร่างทั้งสองก็หายแว๊บไปกับสายลม
       “โธ่เอ๊ย...นานๆ จะมีเพื่อนที ยังไม่หายสนุกเลย”
       ท่านเจ้าที่บ่นอย่างอารมณ์เสีย
      
       หลวงพิชัยภักดีและกุมาริกามาโผล่ที่รีสอร์ทติณห์ ฝุ่นกระจาย ใบไม้ปลิว ญาณินยืนถือธูป 1 ดอกยกมือพนมไหว้อยู่
       “เธอเอง...ฉันยังอยากอยู่บางกอกต่อ เรียกฉันกลับมาทำไม”
       “คุณหลวงรู้ไหมเกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง มัวแต่จะเที่ยวอยู่ได้”
       “เกิดอะไรขึ้น หลานชั้นเป็นไง”
       “อารมณ์เปลี่ยนเร็วจัง...คุณหลวง”
       “เดี๋ยวก็รู้เองแหละคุณหลวง ขี้เกียจเล่า”
       ขณะนั้นเพ็ญนภาเดินตามติณห์อยู่ในบ้าน
       “ติณห์ขา ติณห์อย่าโกรธเพนนีสิคะ ไปดินเนอร์กันในเมืองดีกว่านะคะ เราไม่ได้ทานอาหารอิตาเลี่ยนกันนานแล้ว”
       “เพนนี...ผมไม่ได้โกรธอะไรคุณ แต่วันนี้ผมยุ่งมาก ผมไม่มีอารมณ์ออกไปไหนทั้งนั้น”
       “นั่นไง คุณโกรธเพนนีจริงๆ ด้วย”
       เพ็ญนภาทำท่าเวียนหัว ติณห์เข้าประคอง ญาณินจะเข้ามาถามติณห์โดยมีป้าอรวรรณมาด้วยแต่พอเดินเข้ามาก็เจอติณห์ประคอง เพ็ญนภาอยู่ จึงรู้สึกไม่พอใจทันที
       “คุณพร้อมหรือยังคะ” ญาณินถามเสียงแข็ง)
       “ไหนติณห์บอกว่าจะไม่ออกไปไหนแล้วไงล่ะคะ โอย...โลกหมุนค่ะติณห์”
       “ผมไม่ได้จะออกไปข้างนอก...คุณญาณิน ทนายสมชาติ ผู้รับเหมา หัวหน้าคนงาน นัดประชุมสรุปรายการสิ่งของที่พี่ชายคุณทำเสียหาย...รวมทั้งคนที่โดนทำ ร้าย...จะขอค่าทำขวัญ...จะได้ส่งรายการค่าเสียหายให้พ่อคุณพรุ่งนี้เลยไง”
       กุมาริกา หลวงพิชัยภักดี ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ
       “เป็นอย่างนี้นี่เอง”
       ติณห์กับญาณินเดินไป
       “เดี๋ยวระหว่างประชุม ป้าจะเอาพวกสลัดอร่อยๆ ไปเสิร์ฟนะคะ จะได้ไม่หนักเกินไป” ป้าอรวรรณบอกติณห์
       “แต๊งกิ้วครับ”
       เพ็ญนภาวิ่งตาม
       “ติณห์ เพนนีประชุมด้วย”
       “ไปไม่ได้นะคะคุณ แล้วลืมอาการเวียนหัวแล้วเหรอคะ” ป้าอรวรรณถาม
       “ยุ่งน่ะ” เพ็ญนภาไม่สนป้าอรวรรธรีบตามติณห์ไป
       “เธอไม่ควรมารู้ความลับบริษัทนะ ยัยปากแดง” หลวงพิชัยภักดีบอก
       “จงหยุด”
       กุมาริกาขัดขา
       “อูปส์” เพ็ญนภาสะดุด เกือบล้ม “อะไรกันเนี่ย” เพ็ญนภามองหารอบๆ ไม่เห็นอะไร “บ้าไปแล้ว ยังกับสะดุดอะไรแน่ะ” เพ็ญนภาก้าวต่อ หลวงพิชัยภักดีเอาไม้เท้ามาแหย่บ้าง เพ็ญนภาสะดุดอีก “ว้าย”
       เพ็ญนภามองหา ไม่เจออะไรอีกจึงเดินต่อ กุมาริกาเอาขาขัดอีก เพ็ญนภาแทบหัวทิ่ม พอก้าวอีก หลวงพิชัยภักดีก็ใช้ไม้เท้าขัด ให้สะดุดอีก เพ็ญนภาเหมือนสะดุดนั่นนี่ไปตลอดทาง
       “เป็นอะไรคะ คุณ...เข่าเสื่อมเหรอ ยังสาวยังแส้” ป้าอรวรรณถาม เพ็ญนภามองหาพวกติณห์เดินทิ้งห่างไปมากแล้ว “ไม่สบายไม่ใช่เหรอคะ ฉันให้คนงานไปส่งที่บ้านไหม”
       เพ็ญนภางงตัวเอง หน้าเสีย
      
       เพ็ญนภากลับมาที่รีสอร์ทตัวเอง จากนั้นก็เอาหมอนฟาดๆ เปรม
       “เพราะพี่เปรมคนเดียวๆๆๆ”
       “เฮ้ย! ที่ไอ้เปรมมันไปทำทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพื่อรักษาศักดิ์ศรีให้น้องสาวสุดที่รักคนนี้นะ”
       “ก็พี่เปรมทำให้ติณห์เขาโกรธเพนนีไปด้วย แล้วเค้าอาจโกรธเตี่ย...โกรธครอบครัวเราทั้งหมด แล้วสิ่งที่เราพยายามทำกันมาตั้งนาน อาจจะล้มเหลวหมด เพราะคนไม่มีสมองอย่างพี่”
       “ยัยเพนนี แกดูถูกไอ้เปรมมันเหรอ โธ่ ไอ้เปรมมันเจ็บปวด ไอ้เปรมมันเซนซิทิฟ...ไอ้เปรมมันเสียใจ! ไอ้เปรมมันไม่มีสมอง แต่มันมีหัวใจ แต่ไม่มีใครเห็น”
       “ชั้นก็มีหัวใจเหมือนกัน แต่หัวใจชั้น...มันกำลังจะแหลกสลาย เพราะนังบิชชี่แพศยา”
       “นังแพศยา...ที่แสนสวย...หยิ่ง ทระนง ลึบลับ ไม่ก้มหัวให้กับผู้ชาย...สุดยอด...ถ้าได้เป็นเมีย ไอ้เปรมมันจะไม่มีวันลืมพระคุณ”
       เพ็ญนภาหัวเราะใส่หน้าพี่ชาย
       “ขี้โม้...คนอย่างพี่เปรม ไม่มีผู้หญิงที่ไหนจะยอมหรอก...ชาตินี้ อย่าหวังว่าจะแอ้มคนสวยๆ”
       เพ็ญนภาแกล้งพูดสบประมาท
       “อ๋ายยยย...อย่ามาดูหมิ่นคนอย่างไอ้เปรมมันนะ ไอ้เปรมมันอยากได้อะไร มันต้องได้”
       เปรมอึดฮัด ฟึดฟัด ทำหน้าเจตนามาดหมาย เพ็ญนภาแอบยิ้มร้าย
      
       ที่อยุธยาเคธี่ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปตัวเองกับสุคนธรส เคธี่ร่าเริงมาก แต่สุคนธรสยืนแข็งทื่อ ส่วนไตรรัตน์มีสีหน้าอึดอัด ไม่รู้ว่าเคธี่มาทำไม
       “ไม่ได้ถ่ายรูปติดบัตรนะคะคุณรส ขอท่าโพสต์เก๋ๆ หน่อยค่ะ อย่าให้เสียชื่อว่าที่เจ้าสาวของธไรย์สิคะ ทำแบบนี้ค่ะ” เคธี่ชูสองนิ้วแนบแก้ม ทำแก้มป่องๆ ตาโตๆ แอ๊บแบ๋วมาก สุคนธรลังเล “ทำสิคะคุณรส”
       สุคนธรสจำใจชูสองนิ้ว ทำแก้มป่อง ตาโตตามเคธี่ ไตรรัตน์ยืนอึ้ง เคธี่ถ่ายรูปเสร็จก็กดหน้าจอโทรศัพท์โพสต์ลงเฟชบุ๊ค สุคนธรสหันไปทำตาเขียวใส่ไตรรัตน์
       “เคธี่ คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
       เคธี่ไม่สนใจที่ไตรรัตน์พูด หัวเราะคิกคัก
       “เพื่อนเคที่กดไลน์รูปเราเพียบเลย อุ๊ย! มีคอมเม้นด้วย คุณรสอ่านสิคะ”
       เคธี่ส่งโทรศัพท์ให้สุคนธรส สุคนธรสรับไปอ่านด้วยความจำใจ
       “ว่าที่เจ้าสาวธไรย์ฮาจัง” “ไม่น่าเชื่อว่ารสนิยม ธไรย์จะเปลี่ยนไป”
       “อุ๊ย” เคธี่รีบเอาโทรศัพท์คืนกลับมา แสร้งทำสีหน้ากระอักกระอ่วน
        “อย่าถือสาเพื่อนเคธี่เลยนะคะ พวกนี้ก็ชอบเม้นอะไรไปเรื่อย”

ไตรรัตน์ยืนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่คิดว่าจะเจอเคธี่ที่นี่ สุคนธรสมองๆ ทั้งคู่ ขณะนั้นมีกบอยู่ใกล้ๆ เท้าไตรรัตน์
      
       “ธไรย์ กบ” เคธี่ชี้บอก
       “เฮ้ย” ไตรรัตน์ผละออกจากสุคนธรสทันที เคธี่หัวเราะ
       “ธไรย์ยังกลัวกบอยู่อีกเหรอคะ”
       “รอให้มันเปลี่ยนหน้าตาเมื่อไหร่ ผมก็จะเลิกกลัวเมื่อนั้น บรึ๋ย...มาได้ไง”
       “สงสัยหลุดมาจากบ่อหลังบ้าน” สุคนธรสบอก
       “บ้านคุณเลี้ยงกบ” ไตรรัตน์ถามเสียงหลง
       “ทำไม ไม่รู้จักเศรษฐกิจพอเพียงหรือไง เมื่อตะกี้ที่แม่ฉันมาเก็บผักก็จะเอาไปทำอาหารเลี้ยงคุณเคธี่กับนาย เห็นไหม...อยากกินอะไรก็ได้กิน ไม่ต้องเข้าซูเปอร์มาเก็ตให้เสียเงิน”
       เคธี่นึกอะไรได้
       “ขนาดเถียงกันยังน่ารักเลย เคธี่ไม่ไหวแล้ว ขอตัวเข้าห้องน้ำเอาน้ำดับไฟที่ตาก่อนนะคะ”
       “รสพาไปค่ะ”
       “ไม่ต้องค่ะ เคธี่ไปเองได้ คุณรส Take care ธไรย์เถอะค่ะ”
       เคธี่เดินออกไป
       “นี่แฟนเก่านายใช่ไหม” สุคนธรสถาม ไตรรัตน์ไม่ตอบ แต่หน้าจ๋อยๆ เหี่ยวๆ “ทำหน้าอย่างนี้ถูกทิ้งแหงๆ แต่ดีแล้วล่ะ คนน่ารักๆ อย่างคุณเคธี่ไม่คู่ควรกับนายเลยสักนิด”
       “ไม่ต้องยุ่งสักเรื่องได้ไหม” ไตรรัตน์เดินออกไปอย่างฉุนๆ
       “เฮ้ย! ด่าฉันว่าสอใส่เกือกเรอะ เดี๋ยวแม่ยัดกบใส่ปากซะเลยนี่”
       สุคนธรสเดินตามไปด่า
       ขณะนั้นสมศรีกำลังโขลกพริกแกงอยู่ในครัว เคธี่เดินเข้ามา
       “หอมจังเลยคะคุณแม่ อาหารไทยนี่ดังมากที่ USA นะคะคุณแม่”
       “ก็แน่นอนอยู่แล้ว คนไทยโบราณเขาใส่ศิลปะลงไปในอาหารด้วยนะ ถึงน่ากินน่าดูขนาดนี้”
       “ค่ะ...แล้ววันนี้ทำอะไรให้พวกเราทานบ้างละคะ”
       “มีต้มโคล้งปลากรอบ น้ำพริกผักสด ผัดผัก ไข่เจียวค่ะ คุณทานได้ไหมคะ”
       “ได้คะ เคธี่ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว แต่ธไรย์สิคะ เห็นบ่นๆ อยู่ว่าอยากกินของโปรด”
       “ของโปรด? อะไรเหรอจ๊ะ”
       เคธี่ยิ้มอย่างมีแผน
      
       ค่ำวันเดียวกันนั้นระหว่างทานอาหารเย็นไตรรัตน์ตักผัดกระเพรากิน อย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่รู้ว่าผัดกระเพราอะไร ไตรรัตน์กินจนเหงื่อแตกพลั่กๆ
       “หนูเคธี่จะพักกับเราที่นี่ไหมล่ะ” สมศักดิ์ถาม
       “ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เคธี่จองโรงแรมที่นี่เอาไว้แล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณพ่อ” เคธี่ยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
       “ไหว้สวยจริงๆ ไม่เหมือนคนโตต่างประเทศเลยนะ” สมศรีเอ่ยชม
       “ยัยรสซะอีก ไหวกระโดกกระเดก มือแข็งเป็นลานปูนเลย”
       สุคนธรสสำลักข้าวเล็กๆ
       “อ้าวพ่อ...ใครสั่งสอนฉันมาล่ะ”
       “มันสวนพ่อตัวเอง...ดูสิ...”
       “ใครสอนวิธีการไหว้ การพูดไทยให้หนูล่ะคะ เคธี่”
       “ธไรย์สอนหนูทุกอย่างเลยค่ะ ตอนเขาเรียนกับหนูที่ USA น่ะค่ะ”
       ไตรรัตน์สำลักข้าวพรวดออกมา แล้วรีบตบหน้าอกตัวเอง หายใจไม่ออก สุคนธรสมองไตรรัตน์ แล้วแอบมองหุ่นเคธี่เปรียบเทียบกับตน ต่างกันหลายขุม
       “ค่อยๆ กินไอ้หนุ่ม อาหารมีอีกเยอะ แม่ศรีเข้าแม่ศรีเรือนด้านทำอาหารอยู่แล้ว”
       “เออ...วันหลังลองกินแบบทอดกระเทียมพริกไทยดูนะ ตอนเด็กๆ ยัยรสชอบกินมาก กินทีเป็นสิบๆ ตัว ถึงขนาดเอาไปฝันว่าโดนวิญญาณกบไล่ฆ่า”
       แก้วน้ำที่กำลังจะเข้าปากไตรรัตน์ชะงักกึก
       “วิญญาณอะไรนะครับ”
       “กบอ๊บๆ”
       แก้วในมือไตรรัตน์ร่วงลงพื้น
      
       ไตรรัตน์รีบออกมาอาเจียนโดยมีเคธี่ลูบหลังให้
       “คุณรสรู้ว่าธไรย์เกลียดกบ ทำไมถึงยังให้คุณแม่ทำผัดกบให้ธไรย์ทานอีก ดีนะคะที่ไม่แพ้”
       “ฮึ่ย...ยัยตัวแสบ”
       สุคนธรสเข้ามา
       “พ่อแม่ให้มาดูว่านายเป็นอะไร”
       “คุณน้าให้มาดูหรือคุณจะมาดูผลงานตัวเองกันแน่ เป็นไง...เอากบยัดปากผมได้แล้ว สะใจคุณแล้วใช่ไหมล่ะ”
       “นี่นายหาว่าฉันแกล้งเอากบให้นายกินเหรอ”
       ไตรรัตน์ก้าวเข้าไปใกล้สุคนธรส พูดให้ได้ยินแค่สองคน
       “ผมจะบอกให้นะ คิดจะแก้แค้นผมเรื่องนั้นยังไงก็ไม่สำเร็จหรอก ต่อให้ผมกินกบเป็นสิบๆ ตัวแลกกับ” ไตรรัตน์ทำหน้าหมั่นเขี้ยวและตาเจ้าเล่ห์ใส่สุคนธรส “ได้ชิมของแบนๆ ยังไงมันก็คุ้ม”
       “ไอ้โรคจิต” สุคนธรสเดินปึงปังออกไป ไตรรัตน์มองตามอย่างสะใจแต่ก็ยังขนลุกที่เพิ่งกินกบ สุคนธรสถือกะละมังใบใหญ่กลับมา “สิบตัวมันไม่คุ้ม ฉันจัดให้ร้อยตัวเลย”
       สุคนธรสเอากบเป็นๆ นับร้อยตัวในกะละมังโยนใส่ไตรรัตน์ ไตรรัตน์เบิกตาโพลง
       “อ๊ากกก” ไตรรัตน์หงายหลังผึง
       “ธไรย์”

source: manager.co.th
 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น