วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

อ่านละคร สาวน้อย ตอนที่ ๒๒

 เชิดนั่งอยู่กับนางนิ่ม เนื่องพยายามอธิบาย
       “ฉันก็บอกแม่ไปหลายทีแล้ว เงินตั้งพันบาท ไม่ใช่น้อยๆ นะแม่ ถ้านิดมันลำบาก มันจะเอาเงินที่ไหนส่งมาให้เรา” เนื่องพูดกับนางนิ่ม
       นางนิ่มถอนหายใจอย่างขัดใจแล้วบอก
       “ไอ้ลำบากน่ะคงไม่หรอก แต่ว่า ไม่รู้สิ มันสังหรณ์ใจยังไงพิกลน่ะ พ่อเชิด”
       “ยังไงจ๊ะ แม่นิ่ม”
       นางนิ่มพยักหน้าให้ เนื่องส่งจดหมาย ๕-๖ ฉบับ ที่นิดส่งมาให้เชิดเปิดอ่านดู
       “กี่ฉบับๆ ส่งมาก็เขียนแต่ว่าไปตระเวณเที่ยวปากใต้กับพ่อเสียม มีความสุขสนุกสนานดี บอกแม่กับพี่ว่าไม่ต้องห่วง...” นางนิ่มบอก
       เชิดก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างรวดเร็วทุกฉบับ แต่ละฉบับสั้นๆ ไม่มีข้อความมากนัก เชิดอ่านจบแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาห่วงใยเปี่ยมล้น
       “นิดเป็นคนช่างจดช่างจำ ได้ไปเที่ยวปากใต้นานตั้งสองสามเดือน ทำไมไม่มีอะไรมาเล่าให้ฟังบ้างเลยว่าไปที่ไหน ไปพบไปเจออะไรบ้าง...” เชิดบอกตามประสาคนที่รู้จักนิดเป็นอย่างดี ก่อนหันไปบอกเนื่อง
       “นี่เหมือนไม่ใช่จดหมายของนิดเลย”
       “แต่มันลายมือนิดชัดๆ ไอ้เชิด ข้าจำได้”
       “นิดเขียนจดหมายนี่จริงๆ... แต่ข้าว่า นิดไม่ได้ไปเที่ยวปากใต้หรอก...นิดหลอกพวกเรา”
       นางนิ่มมองหน้าเชิดแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างเศร้าๆ เชิดมีสีหน้ากังวลหนัก
      
       วันใหม่ เวลากลางวัน ภายในห้องเขียนภาพชั้นบนของร้านสรรค์ศิลป์ สรรค์ยื่นเอามือจับคางมองตรงหน้านิดซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีโต๊ะไม้อ่อนช้อยอยู่ตรงหน้า นิดกำลังจัดตามท่าที่สรรค์กำกับ ในห้องไฟเพดานเปิดไว้เพียงดวงเดียว แสงส่วนใหญ่มาจากช่องหน้าต่างใหญ่ ทาบเข้ามาทางด้านข้างนิด ทำให้เกิดเงาบนใบหน้าซีกหนึ่ง และเงานั้นยังทอดลงบนโต๊ะ ทำให้นิดดูเศร้าสร้อย
       “คุณน้อยลองเท้าศอกทั้งสองข้างบนโต๊ะซีครับ” สรรค์บอก
       นิดเท้าศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะตามที่สรรค์บอก
       “ไหนลองคว่ำมือทั้งสองข้าง เอามือนึงทับมือนึงซิครับ”
       นิดทำตาม แหวนพลอยในมือวูบวับจับตา
       “แล้วคุณน้อยลองจรดคางลงบนหลังมือซีครับ”
      
       นิดจรดคางแตะลงมือข้างหนึ่งแล้วทอดสายตามองดูสรรค์
       สรรค์มองดูนิดตรงหน้าแล้วอึ้งไป ทั้งแสงเงาและลมที่โชยมาอย่างแผ่วเบาต้องเส้นผมบางปอยปลิวตกลง ดวงตาที่ทอดกลับดูโศกซึ้งหวานเศร้าอย่างมาก
       “ดีแล้วครับ เอาเท่านี้ก็แล้วกัน”
       นิดมองดูสรรค์ ใจนึกถึง ตอนที่เสียมกำกับท่าตอนวาดภาพสาวน้อยบนเกาะวิมานน้อย
      
       นิดทั้งสุขทั้งเศร้าพลุ่งขึ้น อารมณ์นั้นแผ่ซ่านออกผ่านดวงตาที่เปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา เสียมทั้งแปลกใจทั้งดื่มด่ำ เดินไปหลังผ้าใบแล้วลงมือร่างรูป
      
       ในเวลาต่อมา นิดยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตรงส่วนทีช็อป ตรงหน้ามีน้ำชาและของว่างวางอยู่ สรรค์นั่งอยู่ตรงข้ามมองนิดอย่างพิศวง
       “แปลกจริง ตอนนี้คุณดูร่าเริงมีความสุขเหลือเกิน แต่ทำไมตอนโพสท่าถึงได้ดูเศร้านัก” สรรค์ถามด้วยความสงสัย
       “คุณเองต่างหากที่กำกับท่าทางดิฉันให้ออกมาอย่างนั้น” นิดบอก
       “ไม่จริงหรอก ผมแค่ทำตามสิ่งที่ผมเห็นจริงๆ ในตอนนั้น”
       นิดขยับกายเอนตัวมองดูสรรค์ ด้วยแววตายกย่อง
       “เพราะคุณเป็นศิลปินที่แท้จริง คุณถึงมองข้ามฉากหน้าของฉัน ไปเห็นความจริงภายในได้”
       “แปลว่า คุณมีความเศร้าบางอย่างอยู่ภายใน”
       “ค่ะ และเป็นความเศร้าอย่างลึกซึ้งด้วย ฉันเคยผ่านชีวิตที่ทุกข์อย่างที่สุดมาแล้ว ซักวันนึง ฉันจะเล่าให้คุณฟัง”
       นิดพูดอย่างรำลึกความหลังที่กึ่งเศร้ากึ่งสุข สรรค์มองอย่างสนใจมากขึ้น
      
       ภายในบ้านเช่า เวลากลางคืน นิดใบหน้าสดใสสวมชุดนอนนั่งอยูที่โต๊ะเขียนหนังสือ ซึ่งมีหนังสือเล่มใหญ่เปิดค้างอยู่ และมีสมุดโน๊ตที่ไว้เขียนย่อใจความ ตรงหน้ายังมีหนังสืออีกเป็นตั้ง นิดวางปากกา ปิดสมุด ปิดหนังสือ แล้วเดินมานั่งที่เครื่องแป้ง กระจกเงาสะท้อนภาพหญิงสาวบริสุทธิ์ปราศจากเครื่องสำอางใดๆ แหวนพลอยในกระจกทอแสงพราวพร่าง นิดกรายนิ้วขึ้นดู
       “แหวนจ๋า เมื่อไรท้าวทุษยันต์ของนิด ถึงจะจำศกุนตลาได้เสียที”
      
       เทอเรซบ้านเนาวรัตน์ เสวกนอนกลางวันอยู่บนเก้าอี้นอนหวายหรูหรา มือเสวกกอดหมอนอิงประทับอก ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้มพลางเพ้อ...
       “วนิดา วนิดา...นางฟ้าของผม”
       เสวกปรือตาขึ้นอย่างสลึมสลือ แล้วรู้สึกว่ามีมือมาโบกตรงหน้าเหมือนยั่วเย้า เสวกลืมตา แล้วตกใจจนตาเหลือกโพลง เพราะเห็นอนงค์ที่วาดคิ้วโก่งวงจันทร์ ทาตาสิบสี กรีดอายไลเนอร์ยาวไปถึงตีนผม ยื่นหน้าเข้ามา เสวกผวาลุกพรวดขึ้น
       “เฮ้ย เว้ย”
       อนงค์ค้อนขวับ
       ที่ด้านหนึ่ง รตีนั่งอยู่กับสุวลี บนโต๊ะมีของว่างและน้ำชามองมาพอดี
       “พี่เสวกเป็นอะไรไปคะ” สุวลีถาม
       “เอ้อ พี่ พี่ ฝันร้าย” เสวกบอก
       รตีหัวเราะแล้วบอกว่า
       “แต่พอลืมตาขึ้นมาแล้วร้ายกว่า”
       “นังเลว บิช” อนงค์กระฟัดกระเฟียด
       เสวกกับอนงค์เดินมานั่งโต๊ะ สุวลีรินน้ำชาให้ บนโต๊ะมีของว่างน้อยลงกว่าแต่ก่อน เหลือเพียง 2 อย่างเท่านั้น
       “แหม ตื่นมา ก็มานั่งกินเลยนะคะคุณพี่” สุวลีบอก
       “โธ่ พิธีรีตองอะไรกันนักหนา” เสวกว่า
       เสวกเอามือหยิบขนม สุวลีตีมือแต่อนงค์บ่น
       “แหม วันนี้ไม่มีสโคนเหรอ ฉันอยากกินสโคน”
       “คิดว่าวันนี้จะมีทาร์ตผลไม้เสียอีก” รตีพูดย้ำอีกคน
       เพียงเท่านั้น สุวลีก็รู้สึกเสียหน้า หันมองดูจวนที่มีอาการหวาดหวั่น
       “เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้างล่างทำของขึ้นมาแค่นี้” สุวลีถาม
       “คุณหญิงเป็นคนสั่งงดเองเจ้าค่ะ”
       “แปลกจริง”
       สุวลีสงสัยและเริ่มมีอาการไม่พอใจ เสวกหาเรื่องคุย
       “วันก่อนพี่ไปซื้อของที่มิ่งเมือง เจอวนิดากับพระรองที่ชื่อแก้วด้วย”
       “อุ้ย จริงเหรอคะ” รตีว่า
       “คุณพี่เสวกโชคดีจัง” อนงค์บอก
       สุวลีได้ยินชื่อวนิดาก็พาลอารมณ์เสียขึ้นมาทันใด พลางกระแทกถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ
       “คุณพี่คะ คุยเรื่องอื่นบ้างเถอะนะคะ สุเบื่อชื่อวนิดาเต็มทีแล้ว” 
ภายในห้องเขียนรูปของวันใหม่ในเวลากลางวัน นิดยังคงวางท่าและสวมเสื้อผ้าชุดเดิม ดวงตาเศร้าสร้อยทอดมา สรรค์ซึ่งอยู่หลังผืนผ้าใบเริ่มลงสี เงยหน้าขึ้นมาสบตานิดจนแทบจะละลายไปกับสายตาหวานเศร้านั้น
       ในช่วงพัก นิดและสรรค์จิบน้ำ สรรค์มองดูนิดที่สดใสด้วยแววตาเปี่ยมสุขจนอดถามไม่ได้
       “ทำไมตอนที่นั่งเป็นแบบ ดวงตาของคุณถึงเศร้านัก”
       “มีคนคนหนึ่งเคยบอกฉันว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น” นิดอมยิ้มบอก
       คนหนึ่งที่นิดพูดถึงนี้คือมารศรี ที่เคยพูดสอนเธอไว้อย่างนั้น
       สรรค์ยิ้มชอบใจ
       “seeming and being ใช่ไหม สิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็น”
       “คุยเรื่องของคุณดีกว่า .. ร้านคุณ ทำไมมีคนเข้าน้อยจังคะ”
       “เป็นธรรมดาช่างเขียนที่ยังไม่มีใครรู้จักกระมังครับ”
       “ยังไม่มีใครรู้จักคุณก็จริง แต่ร้านคุณเปิดมา 4 เดือนกว่าแล้วนะคะ”
       “มันก็แย่มาตั้งแต่เปิดแล้วล่ะครับ ถึงตอนนี้ผมขายรูปไปได้แค่สี่รูปเอง รวมทั้งรูปทะเลหัวหินของคุณด้วย”
       สรรค์เองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงวางใจปรับทุกข์กับคนที่เพิ่งรู้จัก
       “ส่วนทีรูมยิ่งแล้วใหญ่ ดูเหมือนคนไทยจะไม่คุ้นกับร้านแบบนี้ ไม่รู้ว่าไม่ต้องมาดูรูปก็เข้ามานั่งได้ หรือไม่อยากนั่งจะซื้อกลับบ้านก็ได้”
       “อย่าห่วงไปเลยค่ะ คุณและร้านของคุณจะมีชื่อเสียงโด่งดังในไม่ช้านี้แน่ อย่างน้อยที่สุดฉันก็จะช่วยโฆษณาร้านของคุณด้วยตัวดิฉันเอง”
       สรรค์มองนิดรู้สึกปลื้มใจและประทับใจ
       แม้ในร้านเงียบเหงา แต่สมพงษ์กับบัวกลับหน้าระรื่นคุยซุบซิบชื่นชมวนิดาอยู่ตลอดเวลา
       “ตอนไปดูละครเห็นไกลๆว่าสวยแล้ว มาเห็นตัวจริงใกล้ๆ แม่คุณเอ๊ย อย่างกับนางฟ้า” บัวว่า
       “สวยแล้วยังใจดีด้วยนะครับ พูดก็เพราะยิ้มก็หวาน ไม่เหมือน...” สมพงษ์พูดแล้วชะงักไว้แค่นั้น หน้าซีดเผือด
       “เหมือนใคร”
       สมพงษ์ไม่ตอบ มองไปที่หน้าร้านด้วยสีหน้าตกใจมาก บัวมองตามพลอยตกใจไปอีกคน
      
       ภายในห้องเขียนภาพ
       นิดกลับมานั่งวางท่าในท่าเดิม ดวงตาทอดมามองสรรค์อย่างเศร้าสร้อยลึกซึ้ง สรรค์ลงสีรูปอย่างมั่นใจ นิดมองดูน้ำตาเอ่อขึ้นอย่างตื่นตัน สรรค์มองมาก็ชะงักฝีแปรงไปเล็กน้อย จดจ้องแล้วลงสีต่อ นิดเบือนสายตาไป สรรค์ลงสีไปเรื่อยๆ
       สรรค์ถอยออกไปจากรูปภาพ วางจาน พู่กันและสีลงบนโต๊ะ
       “คุณน้อย เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ มาดูได้แล้ว”
       นิดราวกับได้ยินเสียงสรรค์ ใจวับ
       ใจอดนึกถึงอดีต ตอนที่เสียมวาดภาพเสร็จ
       “นิด เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ มาดูได้แล้ว”
       นิดก้าวไปข้างหน้าสรรค์แล้วมองดูรูปนั้นแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป รูปนั้นเป็นรูปนิดที่นั่งเท้าแขนบนโต๊ะ จรดคางลงบนหลังมือ ทอดสายตาไปอย่างเศร้าสร้อย งดงามด้วยแบบองค์ประกอบด้วย สีสัน แสงเงา พื้นผิว แม้กระทั่งแหวนพลอยก็ดูเรื่อเรือง
       นิดสะเทือนใจน้ำตาเอ่อแล้วไหลพรากออกมา สรรค์ตกใจ
       “คุณน้อย คุณร้องไห้”
       “รูปของคุณ รูปของคุณยิ่งทำให้ฉันยิ่งคิดถึงความเศร้าที่ดิฉันได้พานพบมา”
       “รูปของคุณต่างหากครับ คุณน้อย”
       “คุณเขียนได้สวยมากค่ะ เขียนได้สวยเกินกว่าความต้องการของดิฉันเสียอีก”
       “ผมดีใจเหลือเกินที่คุณชอบ ตอนแรกผมหวั่นๆ อยู่ตลอดว่าจะออกมาไม่ดี”
       “ดิฉันเชื่อฝีมือคุณค่ะ ดิฉันได้เห็นมาแล้ว”
       “หมายความว่ายังไงครับ”
       นิดไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตายังนองหน้าอยู่ แล้วเดินเข้าไปใช้ปลายนิ้วแตะรูปอย่างปลาบปลื้ม
       “เพียงเท่านี้ก็ดีจนไม่รู้ว่าจะชมอย่างไรแล้ว” นิดบอก
       “ดีแล้วทำไมคุณร้องไห้ล่ะครับ” สรรค์พูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
       นิดยิ้มจะเช็ดน้ำตา แต่สรรค์ท้วงไว้
       “เดี๋ยวก่อนเถอะครับ”
       สรรค์ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าด้วยความรู้สึกบางอย่าง สรรค์ยื่นผ้าเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบา นิดตัวชา มองสรรค์ที่มองตอบ นิดเผยอยิ้มขอบคุณ สรรค์เริ่มรู้สึกเผลอไผล
       สุวลีในชุดหรูหราก้าวมาที่หน้าประตู มองดูภาพตรงหน้าอย่างประหลาดใจ แล้วกระแอมเบาๆ สรรค์เหลือบไปเห็น ใจหายนิดหนึ่งขยับถอยห่างออกจากนิด นิดเหลือบมาเห็นสุวลีก็ตัวชาไปวูบหนึ่ง ด้วยความแค้น จงชัง รังเกียจ รู้เช่นเห็นชาติ แล้วพลันทำหน้าสงบ สุวลีก้าวเข้ามาในห้อง
       “ขอโทษค่ะสรรค์ สุไม่ทราบว่าสรรค์กำลังทำงานอยู่”
       “เปล่าหรอกสุ ผมเพิ่งวาดรูปคุณน้อยเสร็จพอดี”
       นิดยิ้มเล็กน้อยมองสุวลีด้วยดวงตาซื่อ สุวลียิ้มมุมปากให้เพียงเล็กน้อยอย่างไว้ตัวและมองอย่างพินิจ
       “ผมขอแนะนำ นี่คุณสุวลี กีรติขจร....เอ้อ คู่หมั้นของผม”
       “ส่วนดิฉันชื่อน้อยค่ะเป็นนางแบบของคุณสรรค์”
       สุวลีมีแววแปลกใจนิดหนึ่ง สรรค์รีบแก้ตัว
       “คุณน้อยพูดเล่นน่ะสุ คุณน้อยเป็นลูกค้าคนแรกที่มาจ้างผมวาดภาพเหมือน”
       “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” สุวลีบอก
       สุวลีค้อมศีรษะให้เล็กน้อย แต่นิดกลับยิ้มไม่ค้อมศีรษะตอบแต่อย่างใด
       “เช่นเดียวกันค่ะ คุณสุวลี”
       สุวลีแปลกใจ พลันนิดกลับยื่นมือมาให้ สุวลีเลิกคิ้วแล้วจับมือตอบเขย่าเบาๆ สองสาวมองกันด้วยดวงตาที่ยิ้มแย้ม เล่นละครใส่กันอย่างไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ สรรค์ยืนมองมือที่จับกันตรงหน้า
      
       นิดถือกระเป๋า เตรียมตัวจะกลับ สรรค์เดินมาส่ง สมพงษ์กับบัวยืนยิ้มแป้นแร้นอยู่ห่างๆ
       “ขอบคุณนะคะสำหรับภาพวาด”
       “ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณ สำหรับรูป พรุ่งนี้ผมจะใส่กรอบให้เรียบร้อย คุณน้อยจะมารับเองไหมครับ”
       “พรุ่งนี้วันศุกร์ดิฉันไม่ว่าง คงต้องวานให้เป็นธุระของคุณสรรค์ช่วยเอาไปส่งให้ดิฉันที”
       “ได้ครับ คุณจะให้ผมเอาไปส่งที่ไหน”
       “โรงละครจันทร์กระจ่าง ตอนค่ำค่ะ”
       “อ๋อ โรงละครจันทร์กระจ่างที่กำลังเล่นเรื่องสาวทรงเสน่ห์”
       “ค่ะ พรุ่งนี้ให้คุณซื้อที่นั่งแถวหน้าเวทีนะคะ แล้วคุณจะได้พบดิฉันแน่”
       “ครับ พรุ่งนี้เจอกันครับคุณน้อย”
       “ค่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”
       นิดสบตาสรรค์แล้วเดินออกไป สรรค์เปิดประตูให้ สรรค์มองตาม สุวลีทำเป็นยืนห่างๆ มองภาพเขียนอย่างไม่สนใจก่อนเดินเข้ามาถาม
       “ใครกันคะ ผู้หญิงคนนี้”
       “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แค่ลูกค้าคนหนึ่งน่ะสุ”
       “สวยดีนะคะ”
       สุวลีอยากให้สรรค์ตอบว่า “สวย แต่สู้สุไม่ได้” เหมือนที่เคยพูดอยู่ประจำ
       “ไม่ใช่แค่สวยธรรมดายังพูดจาฉลาดเฉลียว แล้วท่าทางจะมีฐานะด้วย”
       สุวลีอึ้งไปอีกครั้ง ดวงตาริษยา ใจคุกรุ่นแต่ทำเป็นยิ้มพราย
       “เพียบพร้อมจริงนะคะ แต่สุไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน คงไม่ใช่คนในแวดวงพวกเราแน่ คงเป็นพวกนูโวริชที่อยากเข้าสู่วงสังคม... แต่คุ้นตาเหลือเกินเหมือนสุเคยเห็นหน้ามาจากที่ไหนซักแห่ง”
       สมพงษ์ทำท่าอยากจะบอก แต่บัวถลึงตากระชากไว้
       “ผมเองก็เหมือนกัน ตอนเจอเขาครั้งแรกก็เหมือนเคยเห็นมาก่อน... แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน”
      
       สรรค์ครุ่นคิดอย่างแปลกใจแต่ไม่มีท่าทีเพ้อละเมอหา สุวลียังคงวางใจ เสียงดนตรีของเทวีแห่งแรงบันดาลใจแว่วมาแผ่วเบา...

ภายในห้องโถงบ้านโพธิ์ธารา เวลากลางวัน รูปนิดยามเศร้าใส่กรอบรูปไว้เรียบร้อยแล้วถูกวางไว้บนไซด์บอร์ด สรรค์ยืนคู่กับรูปอย่างภูมิใจ พระชาญชลาศัย แม่ผิน บัวและสมพงษ์ยืนชื่นชมอยู่
       “ฝีมือแกดีขึ้นมากเชียว” พระชาญชลาศัยบอก
       “สวย สวยจริงๆ ค่ะ คุณหนู” แม่ผินบอก
       มารศรีเดินเข้ามาพอดีโดยมีจงกลเดินตามหลัง มารศรีเห็นรูปเข้าก็ชะงักก่อนฉายยิ้มบนใบหน้า
       “สวยมากค่ะคุณสรรค์ สวยกว่ารูปคุณสุวลีเสียอีก”
       ทุกคนแทบสะดุ้งไปกับความตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมของมารศรี แม่ผินถลึงตา สรรค์มองหน้า มารศรีทำหน้าแบบจริงใจเหมือนไม่ได้คิดอะไร
       “อ้อ ขอบใจ”
       “นางแบบนี่เป็นใครกันหรือคะ” มารศรีแกล้งถาม
       สมพงษ์ทำท่าอยากบอก แต่บัวขยิบตาห้ามไว้
       “รู้แต่ว่าชื่อน้อย เขามาจ้างฉันวาดรูปเป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกัน”
       “อ๋อ หรือคะ คุณพระล่ะคะรู้จักไหม”
       พระชาญชลาศัยขมวดคิ้วแล้วบอก
       “ฉันจะไปรู้จักได้ยังไง เห็นเจ้าสรรค์ว่าท่าทางจะเป็นลูกสาวเศรษฐี”
       ผินได้จังหวะ จ้วงทันที
       “อู้ย ดูก็รู้ค่ะ งามออกอย่างนี้คงเป็นลูกผู้ดีมีสกุล ลูกชาติลูกตระกูล ไม่เหมือนอีบางคน” พูดแล้วแม่ผินก็ปรายตามองมารศรี
       มารศรีกลั้นยิ้มพราวอย่างสะใจ ไม่ได้สนใจแม้จะถูกผินจิกกัด ผินแปลกใจที่มารศรีไม่ต่อปากด้วยเลยต้องหาลูกคู่”
       “จริงไหม นังบัว
       “จริงค่ะ บัวมันเลือดไพร่เจ้าค่ะ”
       ผินค้อนทั้งบัวทั้งมารศรี มารศรียิ้ม
      
       เวลาเย็นที่หลังเวที โรงละครจันทร์กระจ่าง มารศรีโผล่เข้ามาที่หน้ากระจกซึ่งมี นิด แก้ว ประภา จิตรา ประภา จิตราซึ่งแต่งตัวเสร็จแล้วลุกขึ้นมาไหว้มารศรี มารศรีรับไหว้ นิดเห็นมารศรีในกระจกเงาก็ลุกขึ้นหันไปไหว้อย่างนอบน้ม แก้วลุกตามมาไหว้อีกคน
       “คุณหายไปไหนมาคะ” นิดถาม
       “คุณนายไม่ได้มาตั้งสองวีกแน่ะ” แก้วบอก
       “ฉันมันคนมีเหย้ามีเรือนแล้วก็ต้องดูแลสามีซีจ๊ะ”
       นิดทำหน้าย่นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงพระชาญชลาศัย มารศรีพิศดูนิดที่สวมชุดเตรียมแสดง งดงามแต่ใบหน้างามเปล่งปลั่งกว่าทุกวันเหมือนสมใจบางอย่าง
       “สวยจริงนิด แต่ก็ยังไม่สวยเท่ารูปที่คุณสรรค์จะเอามาให้เธอคืนนี้”
       “ต๊าย อุบเงียบเชียวนะยะ” แก้วว่า
       นิดอายหันไปหยิกแก้วทีหนึ่ง
       “คุณไม่ว่านิดนะคะที่ทำอะไรไม่ปรึกษา”
       “เธอทำถูกแล้ว ... เรารอมานานแล้วนี่ จริงไหมนิด”
       “ค่ะ นิดว่ามันได้เวลาแล้วที่นิดจะทวงพี่เสียมคืน คนใจร้ายอย่างเขาไม่คู่ควรที่ได้พี่เสียมไป” นิดพูดอย่างมุ่งมั่น
      
       ภายในห้องอาหารภายบ้านเนาวรัตน์ เวลากลางคืน แจกันแก้วปักกุหลาบดอกใหญ่งดงามเต็มแจกันวางอยู่บนโต๊ะอาหารที่หรูหรา แม้ไม่ได้มีแขก
       พระยากีรติสีหน้าหมอง คุณหญิงบัวผันดูดีกว่านิดหน่อย สุวลีในชุดอยู่บ้านแต่ก็ยังแต่งกายแบบระเหิดระหงกินอาหารเย็นอยู่ ตรงหน้ามีอาหารเต็มโต๊ะ ทั้งอาหารฝรั่ง จีน ไทย สุวลีตักซุปจากถ้วยซุปใบเล็กตรงหน้าขึ้นชิมแล้วขมวดคิ้ว
       “ทำไมซุปเหลวอย่างนี้คะ”
       พระยากีรติถอนหายใจ คุณหญิงมองหน้าสามี เฟื่องยืนอยู่เม้มปาก จวนนั่งก้มหน้า
       สุวลีมองดูปลาเจี๋ยนในจานใบใหญ่
       “ปลาเจี๋ยนก็ไม่มีกลิ่นน้ำมันงาเลย กุ๊กฟงไม่อยู่หรือคะ”
       “พ่อให้ออกไปแล้ว” พระยากีรติบอก
       “ทำไมหรือคะ”
       พระยากีรติอึกอัก จนคุณหญิงบัวผันต้องโกหกแทน แต่ไม่คล่องนัก
       “มันมาขอเงินเดือนขึ้นน่ะซี ว่ามีเหลามาชวนไปทำงาน พ่อกับแม่เห็นว่ามันอยากไปก็เลยให้ออก แม่เลยให้แม่สายทำแทน กะอีอาหารจีน อาหารฝรั่ง จะยากอะไรนักหนา”
       “แล้วเราก็ต้องทนกินอาหารรสชาติพิกลแบบนี้น่ะหรือคะ สุไม่กินดีกว่า”
      
       สุวลีหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นวางบนโต๊ะ คนสนิทพระยากีรติเข้ามา
       “เอ้อ คุณธนามาขอรับ ใต้เท้า”
       พระยากีรติสีหน้าเผือดลง
       “อ้อ”
       “มาอะไรตอนนี้ ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลย” บัวผันบอก
       “ช่างเถอะแม่บัวผัน ฉันบอกให้เขาแวะมาเอง”
       “เจ้าคุณพ่อจะซื้ออะไรอีกแล้วหรือคะ” สุวลีถาม
       พระยากีรติอึ้งแต่ไม่ตอบแล้วเดินลุกออกไป สุวลีครุ่นคิดตาแวววาว

source: manager.co.th  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น